ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 106 ตายนานแล้ว!

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 106 ตายนานแล้ว! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 106 ตายนานแล้ว!

“เถ้าแก่ วันนี้จะเปิดร้านไหม”

ไป๋อิงอิงเดินมาข้างๆ โจวเจ๋อ ทำหน้าเศร้าและขุ่นเคืองใจ

โจวเจ๋อยิ้มแล้วดื่มน้ำหนึ่งที ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พวกเขาดีใจ ปล่อยให้พวกเขาสนุกไปเถอะ”

จากนั้นโจวเจ๋อก็มองกระดาษเงินบนพื้นพวกนั้นกับภาพวาดน้ำหมึกเปื้อนกลิ่นคาวเลือดของถังซือ แล้วจึงมองไป๋อิงอิงอย่างสงสาร พลางพูดปลอบใจว่า

“เย็นนี้ปล่อยให้พวกเขาสองคนรับหน้าที่ทำความสะอาด”

“อืม ได้เลยเจ้าค่ะ!”

สาวน้อยเซ่อซ่าไป๋อิงอิงดีใจขึ้นมาทันที

“ช่วยรินกาแฟให้ผมหนึ่งแก้ว แล้วก็หยิบหนังสือพิมพ์มาหนึ่งฉบับ”

โจวเจ๋อนวดคลึงฝ่ามือข้างขวาของตัวเอง ความเจ็บปวดเริ่มหายไปอย่างช้าๆ แต่ความรู้สึกที่จะได้กุญแจแห่งประตูนรกกลับมานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงไม่หยุด เพียงแต่ความรู้สึกแสบซ่านที่มาเป็นพักๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ประสาทของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

เดิมทีเขาก็มีอาการสาหัสอยู่แล้ว และเพิ่งจะฟื้นได้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย จึงทำอะไรได้ไม่มาก

ไป๋อิงอิงยกกาแฟกับหนังสือพิมพ์เข้ามาอย่างเอาใจ จากนั้นก็ดอดหนีขึ้นไปข้างบน ในเมื่อเถ้าแก่พูดว่าวันนี้ไม่เปิดร้าน อย่างนั้นเธอก็จะกลับไปเล่นเกมที่ห้อง

ได้ยินว่ามีสกินปืนใหม่เพิ่งออกมา เธอตัดสินใจสละของใช้ที่ฝังไปกับคนตายของตัวเองชิ้นหนึ่งเพื่อไปซื้อสกินนี้

เสียดายที่หลุมน้ำเงินไม่รู้การมีตัวตนของนาง ไม่อย่างนั้นคงจะมอบรางวัลหนึ่งให้กับนาง…รางวัลนักเล่มเกมระดับฟอสซิล!

ส่วนโจวเจ๋อก็นั่งริมหน้าต่างต่อ พลางเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือ

การต่อสู้ทางนั้นยังคงดำเนินต่อไป โจวเจ๋อเดิมทีคิดว่าจะไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้านอีก แต่ก็มีเข้ามาหนึ่งคนจริงๆ

ซึ่งทำให้โจวเจ๋อเกิดภาพหลอนอย่างหนึ่ง ‘หา ไม่กลัวตายจริงๆ เหรอ’

คนที่มาเป็นลูกค้าประจำ เดินจูงสุนัขคอร์กี้ตัวหนึ่งเข้ามา เป็นลูกค้าคนแรกตอนที่โจวเจ๋อเปิดร้านที่เก่า ตอนนั้นเธอทำสุนัขสุดที่รักของตัวเองหายไป และตามหากลับมาได้เพราะการช่วยเหลือของโจวเจ๋อ

สวี่ชิงหล่างเดิมทีอยากแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีห้องชุดยี่สิบกว่าห้องต่อหน้าเธอ

ผลปรากฏว่าเธอบอกว่าบ้านที่ได้รับการสร้างใหม่จากรัฐบาลของเขา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวเธอเป็นคนให้ ทำเอาสวี่ชิงหล่างหงุดหงิดไปสองสามวัน แค่อยากจะอวดเท่เอาใจสาวแต่ดันพลาดท่า ดังนั้นเขาจึงรับไม่ได้

“เถ้าแก่ ร้านของคุณดูคึกคักดีนะคะ”

หญิงสาววัยรุ่นนั่งลงตรงหน้าโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อผลักกาแฟตรงหน้าตัวเองไปหาเธอ “ยังไม่ได้ดื่มครับ”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ดื่มอันนี้ค่ะ พวกเขาเป็นอะไรเหรอคะ”

หญิงสาวชี้ไปที่ถังซือกับนักพรตเฒ่าที่กำลังร้องเล่นเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“อ้อ เพิ่งจะเปิดร้าน จึงเชิญคณะละครมาสร้างความคึกคักหน่อย”

หญิงสาวหัวเราะ แต่ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่ จากนั้นตัวเธอจึงเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว แล้วเดินกลับมาเอ่ยว่า “เถ้าแก่คะ ยังจำที่ฉันเคยคุยกับคุณได้ไหมคะ ถ้าเปิดร้านใหม่ ฉันอยากขอเป็นหุ้นส่วนด้วย”

“ธุรกิจขาดทุน กลัวจะทำให้คุณลำบากไปด้วยน่ะครับ”

“วันนี้บังเอิญฉันผ่านมาพอดี เห็นชื่อร้านว่า ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’ ยังลังเลเล็กน้อย ปรากฏว่าย้ายร้านจริงๆ ด้วย โอเคเลย ทำเลแถวนี้ดีมากค่ะ ฉันเลยแวะเข้ามาทักทาย เจอกันใหม่คราวหน้านะคะ”

หญิงสาวไปไวมาไวเป็นอย่างมาก

โจวเจ๋อยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่มหนึ่งที แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านต่อ แต่กลับพบว่ามีเงาสีดำอยู่ข้างเตียงของตัวเอง

โจวเจ๋อหันไปมองนอกหน้าต่างกระจก มีหญิงชราตัวผอมแห้งคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้ด้วยใบหน้ามึนงง

เขายื่นมือออกไปเคาะหน้าต่างกระจกเล็กน้อย อีกฝ่ายจึงหันหน้าแล้วมองเข้ามา

แต่ยังทำใบหน้างุนงงเหมือนเดิม

“นี่ เสร็จหรือยัง”

โจวเจ๋อตะโกนพูดกับถังซือและนักพรตเฒ่าที่อยู่ทางนั้น

พวกเขาร้องถึงท่อนสุดท้ายแล้ว นักพรตเฒ่าร้องจนเหนื่อยหอบทรุดลงไปนอนกับพื้น ถึงซือก็ไม่หัวเราะและไม่ร้องไห้แล้ว

โจวเจ๋อส่งสัญญาณให้ถังซือมองออกไปนอกหน้าต่าง ถังซือเข้าใจแล้ว เธอจึงเดินออกไป ไม่ช้าหญิงชราคนนั้นก็ถูกบังคับให้เข้ามาในร้าน

“คุณสามารถส่งเธอไปลงนรกได้ไหม” โจวเจ๋อถาม

ตอนนี้เขายังอ่อนแออยู่บ้าง เปิดประตูแห่งนรกไม่ได้

“ให้วิญญาณแตกสลายแบบนั้นใช่ไหม” ถังซือถาม

“ช่างเถอะ”

โจวเจ๋อมองหญิงชรา พบว่าดวงตาทั้งคู่ของเธอไม่มีแวว นอกจากมองคนในตอนแรกแล้ว ที่เหลือก็นิ่งเฉยจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง

โจวเจ๋อมองตามสายตาของเธอไป พบว่าเธอจ้องมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพง

มีลูกค้าเข้าร้าน แต่ตัวเขาไม่ค่อยสบาย จึงไม่สะดวกต้อนรับ ทว่าจะไล่ลูกค้าออกไปก็ไม่ได้

“ให้เธออยู่ที่นี่เถอะ รอวันพรุ่งนี้ให้พลังหยวนชี่ของผมฟื้นฟูกลับมาหน่อย แล้วค่อยดูว่าจะเปิดประตูแห่งนรกส่งเธอลงไปได้ไหม”

ขาของยุงก็คือเนื้อ โจวเจ๋อไม่รังเกียจและจะไม่ยอมปล่อย

“ใครจะเป็นคนเฝ้าเธอ” ถังซือถาม

ภายในร้าน คนที่มีไหวพริบสามารถเฝ้าผีได้มีอยู่สี่คน

โจวเจ๋อหนึ่งคน สวี่ชิงหล่างหนึ่งคน ถังซือหนึ่งคน ไป๋อิงอิงหนึ่งคน นักพรตเฒ่าที่พอได้แบบงูๆ ปลาๆ ไม่นับ

แต่วันนี้สวี่ชิงหล่างกลับบ้านเก่าของเขา ไม่อยู่ที่นี่

โจวเจ๋อก็ร่างกายอ่อนแอ เฝ้าไม่ไหว

ดังนั้นจึงเหลือถังซือกับไป๋อิงอิง ความหมายของคุณถังคือให้คุณเรียกสาวรับใช้ของคุณที่เล่นเกมอยู่ข้างบนลงมาเฝ้าผี เพราะเธอไม่มีเวลาว่างช่วยเขาจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดเหล่านี้

แต่ไป๋อิงอิงเพิ่งจะขึ้นไปเล่นเกม ตอนนี้เรียกนางลงมาอีก โจวเจ๋อรู้สึกเห็นใจนางอยู่บ้าง

สาวน้อยคนเซ่อนางนี้ยอมเอาของใช้ที่ฝังพร้อมคนตายไปจำนำเพื่อเปิดร้านให้เขา เวลาปกติก็ยุ่งอยู่แล้ว แถมยังต้องดูแลอาบน้ำและนอนเป็นเพื่อนเขาอีกด้วย เขาจึงรู้สึกเกรงใจที่จะแย่งเวลาทำงานอดิเรกของนาง

“โอเค งั้นก็ปล่อยเธอไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ดูท่าทางแล้ว เธอคงไม่หนีไปไหน” โจวเจ๋อได้แต่ยักไหล่

“เหอะๆ ผีที่อยู่รอบๆ ถูกดึงดูดเข้ามาเพราะมีต้นเหตุมาจากคุณ แต่ไม่นานพวกเขาก็จะรู้ตัวว่าที่นี่เป็นสถานที่อะไร จากนั้นก็จะเริ่มกลัว เริ่มหลบซ่อน สุดท้ายก็ถือจังหวะตอนที่คุณเผลอแล้วหนีไป การรักตัวกลัวตาย เป็นนิสัยของมนุษย์ แม้แต่ผีก็ไม่มีข้อยกเว้น”

โจวเจ๋อชี้ไปที่หญิงชราคนนั้น เธอยังคงจ้องมองนาฬิกาต่อไป เขาเอ่ยว่า “รู้สึกเหมือนสมองของเธอจะมีปัญหา ในบรรดาผีก็มีพวกที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ด้วยเหรอ”

“ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้เหมือนกัน”

“ช่างเถอะ ถึงจะไปก็ไม่เป็นไร ไม่สามารถส่งเธอลงนรกโดยตรงได้ แต่วันนี้จะทุบเธอให้แตกสลายก็คงทำไม่ได้ ที่แห่งนี้ของผมเป็นสถานีขนส่ง ไม่ใช่โรงฆ่าสัตว์”

“แล้วแต่คุณค่ะ” ถังซือเตรียมลุกขึ้นเดินไปข้างบน

“นี่” โจวเจ๋อตะโกนเรียกเธอ

ถังซือไม่หยุดเดิน แถมยังเดินเร็วขึ้น

เห็นได้ชัดว่า เธอรู้ว่าโจวเจ๋อจะพูดอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอยิ่งไม่อยากทำมากกว่าการเฝ้าผี!

“เถ้าแก่ สะใจมากเลย!”

นักพรตเฒ่าลุกคลานขึ้นมา เขาปิดการไลฟ์สดไปแล้ว เจ้าลิงก็วางโทรศัพท์ลง แล้ววิ่งไปหาของกินที่เคาน์เตอร์

“นักพรตเฒ่า สบายใจหรือยัง” โจวเจ๋อถาม

“สบายใจแล้ว ไม่ได้สบายใจขนาดนี้มานานแล้ว”

ความไร้เดียงสาของนักพรตเฒ่าทำให้โจวเจ๋อทนไม่ค่อยได้

แต่โจวเจ๋อก็ยังเอ่ยปากว่า “ทำความสะอาดด้วย”

“…” นักพรตเฒ่า

และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนถังซือกับนักพรตเฒ่าเสียงดังโวยวายเกินไปหรือเปล่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว นอกจากหญิงชราคนนั้น ก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นเข้ามาในร้านเลย

โจวเจ๋อนั่งพิงโซฟา เล่นโทรศัพท์และอ่านหนังสือพิมพ์ครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาเป็นคนเจ็บ เคลื่อนตัวไม่สะดวกนัก จึงได้แต่คอยรักษาอาการบาดเจ็บอย่างเชื่อฟัง

นักพรตเฒ่าใช้เวลากว่าสองชั่วโมงทำความสะอาดร้านเสร็จ จากนั้นก็มานั่งตรงหน้าโจวเจ๋อ ทุบเอว ร้อง…โอดครวญพลางเอ่ยว่า “เอวของข้า ใกล้จะหักแล้ว”

“ถึงยังไงคุณก็อายุมากแล้ว เอวไม่ดีไม่เป็นไรหรอก” โจวเจ๋อพูดแซว

นักพรตเฒ่าพูดด้วยความน้อยใจ “อายุมากก็จริง แต่หนอนไหมที่ใกล้ตายยังคายไหมออกมา เทียนดับมอดน้ำตาถึงเหือดแห้งไม่ใช่เหรอ อายุข้าปูนนี้แล้ว ยังสามารถช่วยผู้หญิงที่ค้าประเวณีได้กี่คนก็ช่วยเท่านั้น มนุษย์เรามีชีวิตบนโลกใบนี้ ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

โจวเจ๋อขี้เกียจสนใจคำพูดเพ้อเจ้อของนักพรตเฒ่า เขาจึงหันหน้าแล้วบิดคอของตัวเองเล็กน้อย พบว่าหญิงชราคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น

นักพรตเฒ่ามองไม่เห็นเธอ เพราะเขาไม่ได้ทาน้ำตาวัว ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงไม่รู้ว่ามีผีแปลกหน้าตนหนึ่งยืนอยู่ในร้านตลอดเวลา

ส่วนโจวเจ๋อ พูดตามตรง เมื่อครู่เขาเหม่อนิดหน่อย หลังจากผ่านเรื่องราวศาลเจ้าของเจ้าแม่ชิงอี และได้เจอการต่อสู้ครั้งใหญ่ของยมทูตที่มีปัญหาด้วยกันเหล่านั้น ตอนนี้โจวเจ๋อให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มากน้อยแค่ไหนนั้นพูดไม่ถูกจริงๆ

แต่หญิงชราหลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมงแล้ว เธอก็ยังอยู่

เธอยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน และเอาแต่จ้องมองนาฬิกา

หรือว่าหญิงชราคนนี้เมื่อก่อนเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับนาฬิกา

แต่ก็ไม่ถูกนะ นาฬิกาเรือนนี้ของโจวเจ๋อมีราคาสองสามร้อยหยวน เป็นของราคาถูก ไม่ใช่ของสะสมโบราณอะไรควรค่าแก่การมองนานๆ ขนาดนี้เลยเหรอ

เวลานี้ไป๋อิงอิงเดินลงมา เธอเล่มเกมเสร็จแล้ว ดูท่าทางมีความสุขมาก น่าจะเล่นชนะ

“เถ้าแก่ พวกเราขึ้นไปนอนกันเถอะ”

สาวน้อยจอมเซ่อยังพูดจาตรงไปตรงมาเหมือนเดิม

นักพรตเฒ่ามองโจวเจ๋ออย่างอิจฉาอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขารู้สึกแปลกใจว่า ผีผู้ชายที่หลุดออกมาจากนรกล้วนโชคดีเรื่องผู้หญิงแบบนี้หรือเปล่า

เถ้าแก่ร้านของชำคนตายคนก่อนของเขาที่เมืองหรงเฉิง ทุกคืนจะมีผู้หญิงสวยๆ เป็นฝ่ายเข้ามานอนเป็นเพื่อนเขาตรงเวลา ตอนนั้นเขากับเสี่ยวเฉียงอิจฉามาก

เสี่ยวเฉียง

นักพรตเฒ่าถอนหายใจ

“อ้าว มีคนยืนอยู่ตรงนั้น” ไป๋อิงอิงมองเห็นหญิงชรา จึงเดินไปอยู่ตรงหน้าเธอแล้วโบกมือ หญิงชราไม่ขยับเลยสักนิด ยังคงจ้องมองเวลาต่อไป

“นี่ๆๆ นี่ๆๆ มองข้าเร็ว ถ้าไม่มองข้าข้าจะกินท่านแล้วนะ”

ไป๋อิงอิงชะโงกหน้าไปหาหญิงชรา แต่หญิงชราไร้ซึ่งการตอบสนอง

“เถ้าแก่ เป็นท่านหรือคุณถังที่ตีนางจนเอ๋อเจ้าคะ”

“หลังจากเธอเข้ามาก็เป็นแบบนี้ตลอด”

โจวเจ๋อฝืนยันตัวลุกขึ้น เดินเข้ามาภายใต้การประคองของไป๋อิงอิง

และในเวลานี้ เข็มนาฬิกาเดินมาที่เวลาหกโมง

‘ต่อง…ต่อง…ต่อง…ต่อง…ต่อง…ต่อง!’

เสียงนาฬิกาแขวนดังขึ้น หญิงชราที่ก่อนหน้านั้นยังทำหน้าเหม่อยลอยเริ่มอ้าแขน ส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะนี้ทำให้โจวเจ๋อตกใจ

ไม่ได้ตกใจเพราะผี แต่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่คุณเดินอยู่บนถนนแล้วจู่ๆ ก็มีคนตะโกนชื่อคุณจากข้างหลัง

“ฮ่าๆๆๆๆ ได้เวลาแล้วๆ! ฉันตายได้แล้วๆ ในที่สุดฉันก็ตายได้แล้ว!”

หญิงชรากระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ เหมือนกับการหลุดพ้น ดีใจเหมือนเด็กอายุเจ็ดสิบกว่าปีคนหนึ่ง

“คุณยาย ท่านสมองบวมเหรอ” ไป๋อิงอิงเอ่ยอย่างงุนงง “ท่านตายนานแล้ว วิญญาณของท่านหลุดออกจากร่างนานแล้ว”

หญิงชราได้ยินดังนั้น จึงตกตะลึงในทันใด แล้วมองไปรอบๆ เหมือนไม่อยากจะเชื่อ เธอน่าจะพบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ แต่เป็นสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง เป็นร้านหนังสือแปลกๆ หญิงชราชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง แล้วมองไป๋อิงอิงอย่างสับสน “ฉันตายนานแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว” ไป๋อิงอิงพูดอย่างมั่นใจ

หญิงชราหมอบลงไปบนพื้นทันที แล้วร้องไห้โฮขึ้นมา “ตายนานแล้ว หมดกันๆ! ตายนานแล้ว แย่จริงๆ ยังไม่ถึงเวลาเลย…”

…………………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด