ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 49 อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ!

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 49 อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“เอ่อ ข้าเดาผิดไปหรือ”

ชายแคระชราเอียงศีรษะ

“พลังฌานถดถอยอีกแล้วสินะ อนิจจา”

ชายแคระชราล้วงบุหรี่ออกมาสูบด้วยตัวเอง ช่างเศร้าใจเหลือเกิน

โจวเจ๋อสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าที่เขาทำนายมามันก็สมเหตุสมผลอยู่หลายส่วนนะ

“ผู้อาวุโส ข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องยมทูต”

“ยมทูตหรือ” ชายแคระชราขมวดคิ้ว “ข้าคิดว่าคนรุ่นใหม่ไม่มีอะไรทำอย่างเจ้า จะมาถามเรื่องยมทูตไปทำไมกัน คนพวกนั้นไม่ได้น่าคบถึงเพียงนั้น หากเจ้าเจอพวกมันก็ควรจะหลบซ่อนจากพวกมันไปเสีย เจ้ามีกายเนื้อและสามารถรอดกลับมาได้ นี่เป็นเหตุบังเอิญอย่างมาก แอบเล่นสนุกกับตัวเองไปเถอะ”

ชายชราเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ

โจวเจ๋อขมวดคิ้วน้อยๆ ชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้ มองไม่ออกว่าตัวเองเป็นยมทูตหรอกหรือ

ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นพนักงานชั่วคราวก็ตาม แต่เมื่อดูจากวิธีการที่ชายชราได้ทำนายไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่จะไม่เก่งอะไรโดยสิ้นเชิง แต่ทว่าเขากลับดูไม่ออกถึงตัวตนยมทูตของตัวเองเสียด้วยซ้ำ

นี่หมายความว่าสาวน้อยโลลิปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนพนักงานชั่วคราวจริงๆ และนอกจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ประตูสู่นรกภูมิ’ แล้วเธอยังมีสิ่งสำคัญอื่นๆ ที่ไม่ได้มอบหมายให้ตัวเองใช่หรือไม่

สวี่ชิงหล่างเคยพูดไว้ว่าสาวน้อยโลลินั้นไปๆ มาๆ อย่างรีบร้อน แน่นอนว่าไม่ได้อยากให้รับช่วงต่องานจริงๆ หรอก เธอแค่มีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ ถึงได้จับเอาตัวเองเป็นแรงงานฟรีๆ ไปพลางๆ ก่อน

สำหรับเหตุผลที่จับตัวเองให้เป็นแรงงานนั้นก็ง่ายมากๆ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าตัวเองไม่หาเรื่องใส่ตัว และไม่สร้างเรื่องลำบากให้เธอในตอนที่รับช่วงต่อหรอกหรือ

แต่โจวเจ๋อจะต้องเรียนรู้ตัวตนนี้เอาไว้ ชีวิตของเขาได้พังทลายไปครั้งหนึ่งแล้ว และชีวิตในครั้งนี้เขาจะต้องเด็ดมาอยู่ในกำมือของเขาให้ได้ และตัวตนของยมทูตคือยันต์ป้องกันตัวที่ดีที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ไม่กลายเป็นคนเร่ร่อนที่ไม่มีหลักแหล่ง กระวนกระวายตื่นกลัวตลอดเวลา

โจวเจ๋อแบฝ่ามือให้ชายชรา และเปิดเผยสัญลักษณ์นั้นต่อหน้าชายชรา

ทันใดนั้น สีหน้าของชายชราชะงักค้างและลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่งทันที ในขณะเดียวกันดวงตาก็กลอกหมุนไปรอบๆ ‘เหมือนสัตว์เลี้ยง’จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้

“ข้าเข้าใจแล้ว สาวน้อยลิ้นยาวคนนั้นให้เจ้ามาทำงานแทนสินะ”

ชายแคระชราเอามือไพล่หลังและเดินวนไปวนมาบนเนินดินสูง ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และโจวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ นั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เพื่อรบกวนเขา

ในที่สุดชายชราก็ถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าตั้งใจจะทำการใด”

“เพื่อความปรองดองของนรก เพื่อความสงบสุขของโลกมนุษย์ และเพื่อเพิ่มพูนความสามารถของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”

“โอ้” ชายชราส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้าอีกครั้ง “หึ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะทำอะไร เจ้าอยากจะชิงอำนาจและแทนที่สาวน้อยลิ้นยาวคนนั้นใช่หรือไม่”

โจวเจ๋อไม่ได้ตอบโต้กลับ การไม่ตอบโต้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลายๆ

“ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี แถมยังง่ายมากอีกต่างหาก” ชายแคระชราครุ่นคิดและเอ่ยขึ้น “เห็นแก่เจ้าที่นำของมาเซ่นไหว้ให้ข้ามากมายในเย็นวันนี้ ข้าก็จะบอกเจ้า”

“จงตั้งใจฟังให้ดี”

“ผู้ที่อาศัยอยู่ในวัดขงจื๊อล้วนแล้วเป็นนักปราชญ์ทั้งนั้น นักปราชญ์อยู่เบื้องบน มนุษย์เดินดิน ผีอยู่ทางสะพานไน่เหอ นักปราชญ์มองทะลุได้ในพริบตาเดียว เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่”

“ใช่ครับ” โจวเจ๋อพยักหน้า

“สาวน้อยลิ้นยาวให้กุญแจดอกนี้แก่เจ้า ก็เท่ากับว่าเป็นการมอบตัวตนครึ่งหนึ่งให้เจ้าแล้ว แต่นางก็สามารถเอามันกลับคืนไปได้ทุกเมื่อ” ชายชราครุ่นคิดและเอ่ยขึ้น

“แต่ตราบใดที่เจ้าเข้าไปในวัดขงจื๊อ ข้าผู้นี้จะกล่าวอธิษฐานถึงนักปราชญ์ให้ เจ้าก็กล่าวต่อหน้านักปราชญ์ ให้คำมั่นสัญญาและแสดงความมุ่งมั่นอีกครั้ง ก็คือให้กล่าวถ้อยคำไพเราะทั้งหมดทั้งมวลที่ก่อนหน้านี้เจ้าได้เคยพูดเอาไว้อีกครั้ง และให้มันไพเราะน่าฟังมากกว่านี้อีกหน่อย ขอเพียงแค่นักปราชญ์คนใดคนหนึ่งพยักหน้า ตัวตนของเจ้าก็ถือว่าได้รับการยืนยันแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าห้ามทำโดยเด็ดขาดคือ นักปราชญ์สายตาแหลมคม รู้ทุกอย่าง หากเจ้ามีความคิดแย่ๆ ภายในใจ หรือทำอะไรนอกลู่นอกทางในอนาคต นอกจากเจ้าจะถูกลงโทษตามกฎระเบียบยมโลกแล้ว ยังมีความพิโรธของนักปราชญ์อีกเท่าทวี!”

ชายแคระชราสีหน้าจริงจัง

“ง่ายถึงขนาดนี้เลยหรือ” โจวเจ๋อถามกลับ

“ช่างยากเสียจริง” ชายแคระชราถอนหายใจ “อยากจะได้รับความโปรดปรานจากนักปราชญ์และมอบตัวตนให้แก่เจ้า นี่ก็เป็นแค่หนึ่งวิธีการและเป็นวิธีการทดลองชั่วคราวเท่านั้น”

โจวเจ๋อพยักหน้าและเอ่ย “งั้นก็มาลองกันสักตั้งก็แล้วกัน”

ชายแคระชราเดินไปที่ประตูของวัดขงจื๊อและพ่นลมหายใจเข้าไปด้านใน มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังออกมาจากด้านหลังประตูและน่าจะเป็นสลักของประตูไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมา

“เจ้าเข้าไปก่อน กล่าวต่อหน้ารูปปั้นนักปราชญ์ดีๆ ล่ะ จากนั้นข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง”

โจวเจ๋อเอื้อมมือผลักประตูเปิดออก มองไปยังชายแคระชราที่อยู่ข้างๆ และเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้นพลางเอ่ยด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“ท่านผู้อาวุโสไม่เข้าไปกับข้าหรือ”

“ตลกล่ะ ข้าเป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้นักปราชญ์ตัวหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีธุระไหนเลยจะกล้าเดินเตร่ต่อหน้านักปราชญ์เล่า ในตัวเจ้ามีร่างที่รับหน้าที่อยู่ครึ่งหนึ่ง เข้าไปก่อนเถอะน่า”

โจวเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า

ชายชราประสานมือกันเบาๆ ประตูไม้ก็ปิดสนิทลงอีกครั้ง

“กล่าวกับนักปราชญ์ดีๆ ล่ะ!”

ต่อมา ชายชราหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบในปากมวนหนึ่ง ไม่ต้องจุดไฟบุหรี่ก็ไหม้เองโดยอัตโนมัติ

หลังสูบบุหรี่เสร็จแล้ว ชายชรายิ้มๆ ปลดฆ้องตัวเองออกมาแล้วตีแรงๆ หนึ่งที!

เพียงได้ยินเสียง

ชายชราตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง “อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ!”

ทันใดนั้นเสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง “อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ!”

ชายชราตีฆ้องทั้งร้องทั้งเต้นตรงทางเข้าวัดขงจื๊อคล้ายกับเทพเจ้าเข้าทรงของทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เขามีรูปร่างเตี้ย เมื่อกระโดดขึ้นมาดูน่ารักมากอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าหนู คุยกับรูปปั้นนักปราชญ์ต่อไปเรื่อยๆ กล่าวแสดงความคิดให้มากๆ ข้าจะช่วยให้สวรรค์ฟังเจ้า!”

ชายแคระชราแหกปากตะโกนเข้าไปในวัดขงจื๊อ

“ได้ครับ ลำบากท่านผู้อาวุโสแล้ว”

เสียงของโจวเจ๋อดังมาจากด้านหลังกำแพง

“ไม่ลำบาก ไม่ลำบากอะไรเลย อีกหน่อยเจ้าก็เอาบุหรี่มาให้ข้ามากอีกสักสองสามกล่องและมาเยี่ยมข้าบ้างเป็นครั้งคราวก็พอแล้ว ข้าเองก็ไม่มีลูกไม่มีหลาน ขาดการเซ่นไหว้และคำยกยอปอปั้นมานาน ตอนนี้อยากจะสูบบุหรี่สักมวนก็ช่างยากเหลือเกิน แม้ว่าในวัดขงจื๊อจะไม่ขาดแคลนอาหารและเครื่องดื่ม แต่สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าของนักปราชญ์นั้น ให้ความกล้าอีกสิบเท่าข้าก็ไม่กล้าแตะต้องหรอก”

ชายแคระชราหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จากนั้นก็ตีฆ้องเล่นอย่างสนุกสนาน

“อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ!”

‘โหม่ง’!

“อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ!”

‘โหม่ง’

เสียงฆ้องเบาลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน ค้อนที่ห่อด้วยผ้าขาวของคนแคระชรานั้น ก็เริ่มชุ่มไปด้วยสีเลือด

ในตอนแรกสีเลือดจางๆ เป็นจุดๆ เพียงน้อยนิด แต่เมื่อฆ้องถูกตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีเลือดก็เริ่มกระจายลามออกไป

มันเริ่มเข้มขึ้น และเริ่มเปลี่ยนเป็นประกายมากขึ้น

จนในท้ายที่สุด

ทุกครั้งที่ชายแคระชราตี ทำให้เลือดวงใหญ่สาดกระเซ็นออกมา ย้อมลงบนเสื้อผ้าของเขา และทำให้ภาพลักษณ์ที่น่ารักของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้ายเล็กน้อย!

“อากาศแห้งแล้ง ระ! วัง! ฟืน! ไฟ!”

‘โหม่ง!’

เสียงฆ้องสุดท้ายดังขึ้น

ชายแคระชราโยนฆ้องในมือที่แดงฉานโชกไปด้วยเลือด เข้าไปในวัดขงจื๊อพร้อมกับตะโกนขึ้น

“นักปราชญ์เบิกเนตรแล้ว ความชั่วต้องถูกลงโทษ!”

หลังจากตะโกนเป็นเสียงสุดท้าย

ชายชราราวกับถูกไฟดูดไปทั่วร่าง ร่างกายของเขาเลือนรางกว่าเมื่อก่อนมาก รางเลือนจนกระทั่งมีท่าทางที่ต่างออกไป

แต่เขาก็ยังหัวเราะอย่างไม่เจียมตัวพร้อมกับตะโกนเข้าไปข้างใน

“รู้สึกสบายไหม ตอนนี้เจ้าสบายดีหรือไม่!”

“ไม่สบายเลย”

เสียงของโจวเจ๋อดังออกมาจากด้านหลังกำแพง

“ไม่สบายก็ถูกต้องแล้ว คนรุ่นหลังเอ๋ย วันนี้ข้าค่อยสอนเจ้าว่าอะไรคือความไม่เที่ยงในโลกและใจคนยากแท้หยั่งถึง! คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ นับประสาอะไรกับผีตนหนึ่ง! ข้าสละบุญบารมีที่คอยปรนนิบัติรับใช้ไปหกสิบปี และยังขอให้นักปราชญ์ฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”

“ข้ากับท่าน…มีความแค้นต่อกันหรือ” เสียงของโจวเจ๋อดังมาจากอีกด้านหนึ่งของรั้วกำแพงและเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน

“ความแค้นหรือ มีความแค้นอย่างแน่นอน!” ชายแคระชราตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ยังตะโกนต่อไปเรื่อยๆ

“ข้าไม่ไปเกิดใหม่ ไม่เวียนว่ายตายเกิด ไม่ยอมรีบไปเกิด! ยอมรับใช้วัดขงจื๊อนี้ ยอมปรนนิบัติเหล่าบรรพบุรุษไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เพื่ออะไรถ้าไม่ใช่สะสมบุญกุศลทีละเล็กละน้อยเพื่อให้คนรุ่นหลังและลูกหลานในชาติหน้า! และเนื่องจากความหายนะสายเลือดบรรพบุรุษของข้าที่ผ่านมาทำให้ตระกูลเปราะบาง ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ที่นี่ เพียงเพื่อให้ของเซ่นไหว้เข้าถึงไม่ขาด! แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ทายาทรุ่นสุดท้ายของข้าและเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวกลับสูญสิ้นไป! เจ้าจะให้ข้า ปรนนิบัติรับใช้หกสิบปีให้หลานปลอมๆ อย่างนี้ จะมีความหมายอะไร”

ชายแคระชราตะโกนร้องไห้ฟูมฟาย

“วันๆ คอยแต่รับใช้พวกรูปปั้นดินเผาเหล่านี้ น่าสนุกไหมล่ะ ฮ่าๆๆ สวรรค์มีตา ‘ล้างประตู’ ชิงธูปวันนั้น ข้าแค่เหลือบมองเจ้านิดหน่อย ยืมบุหรี่เจ้าสูบ กลับมองไม่เห็นอะไร แต่มาวันนี้ข้าลองคำนวณดูดีๆ แล้ว ไปหายาลิ่วเว่ยตี้หวงหวันมากินซะ มารดามันเถอะ! เจ้าให้ข้าทำนายการตายตั้งแต่เยาว์วัยของเจ้าและทายาทรุ่นสุดท้ายของข้ากลับมีความเกี่ยวข้องกันจนแยกไม่ออก! นี่เป็นเหตุที่เจ้าสร้างขึ้น วันนี้เจ้าก็มารับผลนี้ไป! ข้าจะใช้บุญกุศลที่ปรนนิบัติรับใช้มาหกสิบปีแลกกับคนขี้ขลาดตาขาวอย่างเจ้า ถือว่าเจ้าคุ้มแล้ว! เจ้าไม่เสียเปรียบ!”

“ทายาทรุ่นสุดท้ายของท่านเสียชีวิตบนเตียงผ่าตัดหรือ” โจวเจ๋อถามขึ้นจากด้านหลังกำแพง

“ไม่ ไม่ได้เสียชีวิตบนเตียงผ่าตัด เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์”

ชายแคระชราเช็ดน้ำตา แม้ว่าร่างของเขาจะเลือนรางไปมาก ทว่าน้ำตาของเขาดูเหมือนมีหยดเลือดสีแดงปะปนอยู่ด้วย

“ชาติที่แล้วผมไม่ได้ขับรถซะหน่อย”

โจวเจ๋อยังอยากจะบอกว่าชาติที่แล้วตัวเองก็ถูกรถชนเสียชีวิตเหมือนกัน

“ไอ้สารเลวเมาแล้วขับคนนั้น เดิมทีมันควรจะตายไปแล้ว อายุขัยก็น่าจะสิ้นแล้ว แต่เจ้าดึงดันช่วยชีวิตมันบนเตียงผ่าตัดและให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกครึ่งเดือน! จนท้ายที่สุด เวลาของมันมาถึงแล้วและเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเมาแล้วขับ แต่ก็ยังเกี่ยวพันไปถึงกับหลานชายแสนดีของข้าต้องจากไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกัน

เจ้าว่า นี่เป็นเหตุและผลของเจ้าหรือไม่

นี่เป็นความผิดที่เจ้าก่อหรือไม่!

นี่เป็นหนี้ที่เจ้าต้องจ่ายหรือไม่!”

“ท่านสมองกลับไปแล้ว ช่างทรงพลังเหลือเกิน” โจวเจ๋อทอดถอนใจ

ชายแคระชราค่อยๆ ดึงสติกลับมาจากความตื่นเต้นของการได้แก้แค้นในตอนแรก และทันใดนั้นก็พบเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ตามหลักแล้วตัวเองใช้บุญกุศลที่ปรนนิบัติรับใช้มาหกสิบปี เพื่อขอให้นักปราชญ์ท่านหนึ่งในวัดขงจื๊อลืมตาสักครั้ง

จากพลังของนักปราชญ์รูปปั้นเหล่านั้น ในวันธรรมดาทั่วไปมักจะขี้เกียจตัวเป็นขนเลยทีเดียว ขอเพียงแค่มีผีอยู่ตรงหน้า แม้แต่ยมทูตตัวจริงก็อาจถูกฆ่าพร้อมกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจวเจ๋อเลยด้วยซ้ำ

โจวเจ๋อในตอนนี้ไม่ควรอยู่ในสายตาของนักปราชญ์ ดวงวิญญาณจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงวิญญาณควรกระจัดกระจายและกำลังได้รับความเจ็บปวดทุกทรมานอยู่ไม่ใช่หรือ

แต่ทำไมน้ำเสียงที่ตอบกลับตัวเองทุกครั้งถึงได้ดูผ่อนคลายกันนะ

นี่ไม่ถูกต้อง

นี่มันไม่ถูกต้อง!

“ทำไมเจ้าถึงไม่เป็นอะไร ทำไมเจ้าถึงไม่เป็นอะไรเลย!”

จู่ๆ ชายแคระชราก็ตะโกนขึ้น

เขาใช้บุญกุศลที่ปรนนิบัติรับใช้ไปตั้งหกสิบปีเชียวนะ!

โจวเจ๋อเดินออกมาจากหลังกำแพงอีกด้านและมองไปที่ชายแคระชรา

วิหารของวัดขงจื๊อล้อมรอบด้วยกำแพงสี่เหลี่ยม ตอนที่โจวเจ๋อเอ่ยพูดในก่อนหน้านี้ก็ยืนอยู่นอกกำแพงอีกด้าน ดังนั้นตอนที่ชายแคระชรายืนอยู่ที่ประตูใหญ่ ฟังดูแล้วเหมือนโจวเจ๋อกำลังยืนอยู่ในวัดและตอบตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

ชายแคระชราราวกับว่าถูกไฟช็อตไปทั้งร่างและมองไปยังโจวเจ๋อที่ตอนนี้ปรากฏตัวอยู่นอกวัดขงจื๊ออย่างไม่เชื่อสายตา

“ทำไมเจ้าถึงอยู่ด้านนอก เจ้าออกมาได้อย่างไร!”

โจวเจ๋อบุ้ยปากหันไปด้านหลังและเอ่ยขึ้น

“ท่านอยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่า จริงๆ แล้วที่นี่ออกทางประตูหลังได้น่ะ”

……………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด