Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 116
จนเมื่อถอดผ้าคลุมหน้าของนางออก ฟางหยวนก็ต้องตกใจกับรูปลักษณ์งดงามอย่างไม่น่าเชื่อของสืออวี้ถง
ภายใต้คิ้วโก่งสวยของนางคือดวงตาหงส์คู่หนึ่ง นางมีริมฝีปากเล็กและผิวราวกับกระเบื้องไร้ตำหนิ แม้ว่านางจะไม่เยาว์วัยอีกต่อไปแล้ว แต่วันเวลาก็ดูจะทำอะไรนางไม่ได้นัก นางดูราวกับอายุอย่างมากที่สุดก็สามสิบปีเท่านั้น แต่มีรัศมีของผู้หญิงที่เติบโตเต็มวัยแล้ว
แม้ว่านางจะอยู่ในภาวะหมดสติ แต่ร่องรอยความเจ็บปวดเล็กน้อยบนคิ้วโค้งงดงามก็เพียงพอที่จะปลุกความปรารถนาลึกสุดในตัวของผู้ชายที่พบเห็นขึ้นมาได้
แม้แต่หลิงอิ๋นที่ก็นับว่าเป็นแม่นางน้อยผู้งดงามผู้หนึ่ง แต่เมื่อมีสืออวี้ถง นางก็ดูด้อยกว่าไปทันที
“นายท่าน… นายท่าน…”
แน่นอนว่าฟางหยวนก็ย่อมต้องยินดีที่มีอาหารตาเช่นนี้ในขณะที่ผู้อื่นที่ข้างตัวเขาล้วนตระหนก
หลังจากงันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดโจวเหวินอู่ก็เค้นคำพูดออกจากบอกได้และพูด “นายท่าน… ท่าน… ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านจะออกเดินทางล่าสัตว์สักระยะ…”
‘แล้วกลายเป็นว่าท่านพาแม่นางทั้งสองกลับมาจากการเดินทางไปล่าสัตว์ได้อย่างไร?’
นี่คือคำถามที่โจวเหวินอู่อยากถามแต่ได้แต่กดเอาไว้ในใจ ไม่มีความกล้าที่จะพูดออกไป
“โอ้… ตอนที่ข้าเดินทางอยู่บังเอิญได้ยินแม่นางทั้งสองนี้พูดคุยกันว่าจะทำลายข้าอย่างไรดี ดังนั้นข้าจึงลงมือและพาพวกนางกลับมาที่นี่!”
ฟางหยวนแคะหูขณะพูดความจริงออกไปทื่อ ๆ
‘ดูเหมือนท่านจะมีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินทางไปล่าสัตว์และสุดท้ายแล้วท่านก็แค่ลอบติดตามพวกนางไป’
อวี้ซินโหลวและอีกสองสามคนกลอกตาใส่คำพูดของฟางหยวน หวงฝูเหรินเหอกระแอมก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและถาม “ตอนนี้พวกเราก็มีผู้นำของสำนักกุยหลิงทั้งสองแล้ว จะต้องไปเกรงกลัวอะไรพวกมันอีก?”
“ถูกต้อง!”
ดวงตาของโจวเหวินอู่เป็นประกายขึ้นมาทันทีและพูด “นายท่านก็เป็นอู่จงเหมือนกัน!”
ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสำนักกุยหลิงทำให้จิตใจของเขามืดมัวไปครู่หนึ่ง ตอนนี้จิตใจของเขาปลอดโปร่งแล้ว เขารู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อคิด “ผู้ใดที่มีความสามารถย่อมสามารถอาศัยในมณฑลชิงเหอได้! อะไรทำให้สำนักกุยหลิงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของพื้นที่นี้กัน!”
“คิคิ…”
ฟางหยวนกลอกตาให้กับความคิดเพ้อฝันนั้น
ต้องยอมรับว่า ตอนนี้หุบเขาสันโดษนั้นอยู่ภายใต้การปกครองสูงสุดโดยฟางหยวนผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์และมีสัตว์วิญญาณ ไม่มีความแตกต่างระหว่างหุบเขาสันโดษกับสำนักกุยหลิงหรือสำนักห้าผี แต่พวกเขาแตกต่างกันอย่างมากในด้านของรากฐาน
ตามการคำนวณของฟางหยวน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะครอบครองเมืองชิงเย่ด้วยทรัพยากรน้อยนิดที่เขามี นอกเสียจากศิษย์ทั้งหมดของสำนักกุยหลิงจะสาบานตนเข้าร่วมกับเขา
ถ้าเขาพยายามจะครอบครองมณฑล มันย่อมนำไปสู่ความวุ่นวายและไม่สงบ มีการสูญเสียมากกว่าที่จะได้ประโยชน์
“ขออภัยที่พูดเรื่องไร้สาระขอรับนายท่าน!”
โจวเหวินอู่หน้าแดงด้วยความอับอาย
ในฐานะศิษย์เก่าของสำนักกุยหลิง โจวเหวินอู่นั้นอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน เขาอยากจะแสดงความภักดีต่อเจ้านายคนใหม่มาก ทางที่ดีที่สุดที่ทำได้ก็คือทำให้ชื่อเสียงของสำนักเดิมแย่ลงไปเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาถูกบังคับจากคนพวกนั้นเพียงใด
“อย่างไรเจ้าก็พูดถูก บางทีพวกเราคงไม่สามารถเข้าครอบครองมณฑลชิงเหอได้ แต่ข้าอยากจะได้เมืองชิงเย่จริง ๆ”
ฟางหยวนพยักหน้าและพูด “โจวเหวินอู่ โอกาสที่เจ้าจะปกครองเมืองได้เมื่อเจ้ากลับไปมีสักเท่าใด?”
“เอิ่ม…”
ภายใต้สายตาของฟางหยวน โจวเหวินอู่ตอบ “ถ้าหากท่านขึ้นเป็นอู่จง และข่าวการจับตัวสืออวี้ถงไว้กระจายออกไป ความเป็นไปได้อยู่ที่ 5-6 ส่วนขอรับ!”
“ดูเหมือนความคิดของเจ้าจะปลอดโปร่งขึ้นแล้ว การประเมินของเจ้าไม่คลุมเครือ!”
ฟางหยวนพยักหน้าและพูด “ข้าจะให้ฮวาหูเตียวและจางเฉิงอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้า กลับไปและให้ทุกคนจับกุมหรือขับไล่ศิษย์สำนักกุยหลิงออกไปทันที!”
“ขอรับนายท่าน!”
หลังจากคำนวณดูแล้ว โจวเหวินอู่สรุปได้ว่าหลังจากกำจัดตระกูลกั๋ว เมืองชิงเย่ตอนนี้อยู่ภายใต้การแย่งชิงระหว่างตระกูลโจวของเขา ตระกูลจาง และตระกูลหลินของผู้ดูแลหลิน ตระกูลจางนั้นได้รับอิทธิพลจากหุบเขาสันโดษมากและการโน้มน้าวพวกเขาย่อมไม่มีปัญหา อุปสรรคหลัก ๆ ที่เหลืออยู่ของเขาก็คือตระกูลหลินและสำนักกุยหลิง ผู้ดูแลหลินนั้นเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ถ้าเขารู้ว่าสืออวี้ถงพ่ายแพ้และถูกกุมตัวเอาไว้ เขาย่อมเปลี่ยนมาเข้าร่วมหรืออาจจะคงสถานะเป็นกลางเพื่อให้ตระกูลของเขาอยู่รอดไปได้
ส่วนตอนนี้ ผู้เดียวที่ต้องรับมือก็คือเจ้าเมืองคนใหม่และศิษย์อีกนับพันของสำนักกุยหลิง
โจวเหวินอู่รับรู้พลังล้ำลึกของฮวาหูเตียวด้วยตนเองมาก่อนแล้ว มันเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ และยังเสริมด้วยพลังอันร้ายกาจของคนทำความสะอาดผู้นั้น มีโอกาสสูงมากที่ภารกิจจะสำเร็จ โจวเหวินอู่แทบจะเปล่งประกายความมั่นใจออกมาเมื่อคิดถึงตรงนี้
ถ้าเขาฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้และเพิ่มความมั่นคงให้กับตระกูลของเขาขึ้นเป็นตระกูลอันดังสูงในเมือง วันเวลาข้างหน้าก็สดใสยิ่งแล้ว
“แต่นายท่าน… ทำไมท่านจึงไม่นำพวกเราทำภารกิจนี้ด้วยตัวนายท่านเองเล่า?”
หลังจากฟางหยวนตอบ ความสงสัยก็พุ่งขึ้นในใจโจวเหวินอู่
เขาเชื่อว่าถ้าฟางหยวนจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ด้วยชื่อเสียงในฐานะอู่จงของเขา ศิษย์สำนักกุยหลิงย่อมยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้และทุกตระกูลย่อมสาบานเข้าร่วมฝ่ายเขาโดยทันที
“ข้า… มีเรื่องสำคัญอื่นอีกมากต้องไปทำ!”
ฟางหยวนอุ้มแม่นางที่หมดสติอยู่ทั้งสองคนขึ้นหลังเจ้าอินทรีดำหางเหล็กและสั่ง “ไปจัดการงานของเจ้าเสีย ข้าหวังว่าข้าจะได้เมืองชิงเย่มาอยู่ในการครอบครองเมื่อข้ากลับมา!”
“แกว๊ก แกว๊ก!”
อินทรีดำหางเหล็กกระพือปีกแล้วบินออกไป
เพราะมีน้ำหนักของมนุษย์เพิ่มขึ้นมาอีกสองคน มันก็ค่อนข้างเป็นภาระหนักสำหรับมันเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังคงบินออกไปแล้วหายลับไปกลางกลุ่มเมฆ
…
“แม้ว่าข้าจะจับตัวแม่นางทั้งสองนี้มาได้ ข้าก็นำปัญหามาให้ตัวเองไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงสืออวี้ถง หลิงอิ๋นนั้นเป็นศิษย์ของลู่เหรินเจีย ถ้าเขารู้เข้าเขาย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้จบไปง่าย ๆ และข้าคงมีทางเลือกเหลือไม่มากนักหากเขาทำเช่นนั้น!”
ฟางหยวนสั่งให้อินทรีดำหางเหล็กปล่อยเขาลงที่จุดซ่อนตัวลับ เขาทิ้งสืออวี้ถงไว้ที่ที่เขาเคยขังท่านหญิงเอี๋ยนเอาไว้และจากนั้นก็นำหลิงอิ๋นไปที่อี้ซานฝู
“เพราะข้าไม่สามารถเชื่อใจลู่เหรินเจียได้ ข้าจึงได้แต่พาตัวเองไปเข้ากับเจ้าเมืองอี้ซานฝูแล้ว ข้าคิดว่านี่จะเป็นบันไดให้ข้าและยังเป็นบันไดขั้นสำคัญด้วย!”
ฟางหยวนเหลือบมองหลิงอิ๋นที่หมดสติซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตานิ่งเฉย
ผ่านการฝึกในโลกเสมือนมา ฟางหยวนก็เคยพบกับผู้หญิงที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อมาแล้ว ความงามของหลิงอิ๋นจึงไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวได้
ความงามเช่นนี้ไม่ได้ยั่งยืน
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟางหยวนได้คือสิ่งของวิเศษและเครื่องประดับอื่น ๆ ของนาง
“ตราบเท่าที่เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ ย่อมสามารถใช้ยันต์สร้างสิ่งของวิเศษได้ แต่เครื่องประดับส่วนใหญ่ของนางล้วนเป็นยันต์ที่หายากอย่างที่สุด…”
ที่กลางอากาศ มีพลังที่มองไม่เห็นลอยอยู่ที่ด้านหน้าฟางหยวนประมาณครึ่งลี้ ขวางกระแสลมแรงไม่ให้เข้าถึงตัวเขา ทำให้เขานั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงขณะเล่นกับกำไลสีเขียวในมือ
“ของวิเศษชิ้นนี้… ดูน่าสนใจมาก…”
สายตาของฟางหยวนจ้องลึกลงไปในแผ่นยันต์ ไม่นานเขาก็ขุดเอาส่วนที่มีค่าที่สุดในกำไลออกมาได้
กำไลไม่ใช่ทั้งทองหรือหยก และแสงของพลังเวทย์ก็แผ่ออกมาจากมัน คาถาหลายชนิดร้อยเรียงอยู่ในกำไล เกิดเป็นลักษณะคล้ายโซ่
“เป็นของวิเศษที่ดีนัก!”
จากนั้นฟางหยวนก็พยายามใส่พลังธาตุฝันเข้าไป กำจัดประทับเดิมของหลิงอิ๋นออก จากนั้นฟางหยวนก็ตัดสินใจทิ้งประทับของตัวเองเอาไว้ในนั้นแทน
“เพี๊ยะ!”
เมื่อประกายแสงระเบิดออก กำไลสีเขียวก็เปลี่ยนไปเป็นมีดสั้นในมือเขา บนมีดสั้น มีประกายแสงเย็นตาล้อมรอบแสงจากพลังเวทย์ก่อนหน้าเอาไว้ เพียงแค่มองก็บอกได้ว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา
มีคาถาซับซ้อนสลักเอาไว้บนตัวมีด เหมือนจะเกิดเป็นคำในภาษาโบราณว่า ‘อสรพิษเขียว’
“มีดสั้นอสรพิษเขียวในตำนาน?”
ฟางหยวนปล่อยมือและพลังเวทย์ก็สลายไป มีดสั้นสีเขียวหลอมเป็นรัศมีสีเขียวไหลเข้าสู่ร่างของเขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเขา
“สุดยอด!”
หลังจากการทดลองนี้ ฟางหยวนก็รู้สึกยินดีเป็นที่สุด
“แม้ว่าข้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ผู้ใช้อาวุธ พลังของของวิเศษนี้ก็ยังนับว่าสูงมาก มันน่าจะดีพอที่จะเป็นประโยชน์แก่นักรบศักดิ์สิทธิ์”
ดูท่าแล้วของชิ้นนี่คงจะเป็นของขวัญจากลู่เหรินเจียแก่หลิงอิ๋นแล้ว
อันที่จริง ถ้าฟางหยวนระแวงกว่านี้อีกสักนิด เขาย่อมต้องรู้ว่าลู่เหรินเจียเคยใช้ของชิ้นนี้มาก่อนและน่าจะเป็นที่รู้กันดีท่ามกลางหมู่คนชั้นสูงในอี้ซานฝู
เมื่อมอบของชิ้นนี้ให้หลิงอิ๋น เขามองไปถึงการปกป้องนางผ่านชื่อเสียงของของชิ้นนี้ ต่อให้นางต้องเผชิญกับนักรบศักดิ์สิทธิ์หรืออู่จง คงมีคนไม่มากที่จะกล้าท้าทายเขาด้วยการจู่โจมใส่นาง
แต่ด้วยวิธีคิดที่ไม่เหมือนทั่วไปของฟางหยวน แผนการของลู่เหรินเจียไม่เพียงล้มเหลว แต่ยังกลายเป็นการมอบของวิเศษอันมีค่าควรเมืองแก่ฟางหยวน
“เจ้าเป็นของข้านับแต่นี้เป็นต้นไป!”
แม้ว่าฟางหยวนจะไม่ได้รู้อะไรมากนัก เขาก็ประเมินจากท่าทีของโลหิตสังหารและบอกได้ว่ามีดสั้นเล่มนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง มันน่าจะเป็นของล้ำค่าของลู่เหรินเจียก็ได้
แต่ว่า เขาได้ทำสิ่งที่เป็นการท้าทายลู่เหรินเจียไปแล้ว มันจึงไม่สำคัญสำหรับฟางหยวนแล้วที่จะนำเอาของล้ำค่าของเขาไปด้วย ถึงตอนนี้ เขาก็เก็บของชิ้นนี้ลงไปอย่างพึงพอใจและยินดี และมองดูของชิ้นอื่นที่ได้มาต่อ
“เอิ่ม นอกจากของวิเศษหลายชิ้นที่ไม่รู้วิธีใช้ ที่เหลือล้วนเป็นเม็ดยาธรรมดา ข้าจะให้หวงฝูเหรินเหอจำแนกพวกมันออกมาตอนข้ากลับไป…”
หลังจากครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ลูบคางคิดถึงเรื่องบางอย่าง
เขาค่อนข้างผิดหวังที่ไม่พบตำราลับของนักเล่นแร่แปรธาตุหรือของนักรบศักดิ์สิทธิ์บนร่างหลิงอิ๋น แต่เขาก็ได้ของอื่นที่ทดแทนไม่ได้มา
“อันที่จริง ในฐานะศิษย์วิญญาณ นางมีค่าสำหรับข้ามาก แค่คิดถึงว่า ถ้าข้าสามารถพัฒนาไปได้อีกสักหนึ่งระดับในขอบเขตของจ้าวแห่งฝันและได้เป็นผู้สร้างฝัน ข้าสามารถรีดเค้นทุกอย่างที่ลู่เหรินเจียสอนนางออกมาได้ตราบใดที่มันไม่ได้ถูกปกป้องไว้ด้วยเจตจำนงค์แห่งเวทย์…”
จ้าวแห่งฝันนั้นจำต้องเตรียมตัวในหลาย ๆ ด้านเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าฟางหยวนเพิ่งได้พลังธาตุฝันมา เขาก็ยังได้รับตัวช่วยในด้านอื่น ๆ ซึ่งเพียงพอที่จะให้เขาประสบกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้คาดคิดไว้มากมาย
…
แม้ว่าอี้ซานฝูจะไกลจากมณฑลชิงเหอมาก แต่ก็เฉพาะกับผู้ที่เดินทางบนพื้นดิน
ด้วยความเร็วระดับที่อินทรีดำหางเหล็กบิน ไม่นาน เมืองอี้ซานฝูก็ปรากฏขึ้นราวกับยักษ์ใหญ่ตัวดำตรงหน้าฟางหยวน
เทียบกับความยิ่งใหญ่และงดงามเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้เมืองดูเสียหายและตกต่ำลง สิ่งที่เหลืออยู่ของเมืองนั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยถูกเผาและคราบเลือด นี่ย่อมเป็นผลมาจากสงครามที่เกิดขึ้น
ในตอนนั้น เจ้าเมืองอี้ซานฝู หลิวเอี๋ยน พยายามจะตีกรอบล้อมลู่เหรินเจีย แต่ว่าเขาประเมินคู่ต่อสู้ของเขาต่ำเกินไป นอกจากนี้ เขายังดำเนินกลยุทธ์ล่าช้าเกินไปและจำต้องรับมือกับสามตระกูลแข็งแกร่งที่ทรยศเช่นเดียวกับคนในระดับสูงของกองทัพบางคน นำมาซึ่งการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากทั้งสองฝ่ายและทั้งเมืองถูกทำลาย ชาวบ้านทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด ลู่เหรินเจียก็เป็นฝ่ายถอยก่อนแต่เขาเข้ายึดครองสามมณฑลและยังคงรักษาสภาวะสงครามกับอี้ซานฝูเอาไว้ ดังนั้น อี้ซานฝูจึงไม่มีพลังแบบที่เคยมีอีกต่อไปแล้ว
คอมเม้นต์