Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 182
“ฆ่า!”
ที่ด้านใต้ยกพื้น ทหารประเทศอู่เกือบหนึ่งหมื่นตะโกนออกมาพร้อมกัน ปลุกจิตวิญญาณต่อสู้ให้ลุกโชน
หลังจากนั้นครู่เดียว ทหารม้าอีกห้าพันจากประเทศหยวนก็ขี่ผ่านไป แสดงทักษะยิงธนูบนหลังม้า พวกมันแต่ละคนร่างกายสูงใหญ่ และตอนที่กระบวนทัพวุ่นวายเล็กน้อย มันก็เต็มไปด้วยรังสีของเหล่าคนเถื่อน ความดุดันที่มีเพียงผู้ที่อยู่ภายใต้การต่อสู้นองเลือดเท่านั้นที่จะมีได้ทำให้สีหน้าของผู้นำประเทศอื่น ๆ เปลี่ยนไป
“องค์ราชามีรับสั่ง!”
องค์ชายแปดเก่อรื่อถูทำทีราวกับรอบด้านไม่มีใครและพูดต่อ “สำหรับการประชุมวันนี้นั้น ผู้นำคือประเทศของข้า! มิฉะนั้น…”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน ทุกประเทศก็มีความคิดเช่นเดียวกันว่าเขาต้องการพูดอะไร
ได้เวลาประเทศทางใต้แสดงท่าทีตอบการท้าทายนี้แล้ว!
“เหอเหอ!”
ได้ยินดังนี้ ราชาของประเทศอู่กลับไม่ขยับ แต่อู่อู๋เต๋าหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าองค์ชายแปดให้คำมั่นว่าหลังจากร่วมมือกันแล้ว ท่านจะไม่รุกล้ำดินแดนทางใต้ จะมีอะไรหยุดพวกเราจากการยอมให้ท่านเป็นผู้นำภาคีได้เล่า?”
อันที่จริงแล้ว เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่อะไรที่เขาจะตอบตกลงได้
ถ้าเขาตกลง มันก็จะแสดงให้ศัตรูของเขาเห็นว่าเขานั้นอ่อนแอ ซึ่งในทางกลับกัน ก็จะทำให้ประเทศหยวนเข้าใจได้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรและพวกเขาก็จะบุกลงใต้อย่างกระตือรือร้นกว่าเดิม
อันที่จริง คนของประเทศหยวนนั้นทะเยอทะยานมาก ดังนั้นไม่ว่าการประชุมครั้งนี้จะไปในทางใด ก็ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกพอใจได้อย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะยังคงช่วงชิงแผ่นดินทางใต้ต่อไป นี่เป็นความเข้าใจของทุกประเทศ
ถึงตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดก็ทำได้เพียงพึ่งพาภาคีเพื่อกดข่มความกำแหงนี้และบีบให้ประเทศหยวนรู้ตำแหน่งแห่งที่ของตน
“การตรวจกำลังพลสิ้นสุดแล้ว ต่อไปจะเริ่มการประลองยุทธ์!”
ตามคาด องค์ชายแปดย่อมไม่รับปากสัญญาอะไรโง่ ๆ กลับกัน เขาแค่นเสียงเย็นชาก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเป็นอย่างอื่น
หากการตรวจกำลังพลคือการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพของประเทศ เช่นนั้นการประลองยุทธ์ก็คือการแสดงความแข็งแกร่งของเหล่าทหารยศสูง
โดยเฉพาะเมื่อมีความไม่ลงรอยกันระหว่างแต่ละประเทศ พวกเขาย่อมใช้การประลองนี้เป็นการแก้ปัญหา
แต่ว่า ถึงตอนนี้แล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุดในใจของทุกคนก็คือความน่ากลัวของทหารม้าของประเทศหยวน!
ผลก็คือ ราชาของทุกประเทศนั้นเพียงแค่มองตากันไปมาเงียบ ๆ
ภายใต้ความเงียบราวกับป่าช้านี้ เป็นราชาแห่งประเทศเซี่ยที่ลุกก่อน
ชายผู้นี้ไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าใบหน้าจะซีด แต่น้ำเสียงยังมีพลังมาก “ข้าหาใช่ผู้มีคุณธรรมสูงและยังมีความสามารถน้อยนัก และตั้งแต่ข้าขึ้นสู่บัลลังก์ ก็เกิดภัยธรรมชาตินับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดข้าก็อยากช่วยรับรองตำแหน่งของชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมผู้หนึ่ง เจ้าเมืองอี้ซานฝู ฟางหยวน อยู่ที่นี่แล้ววันนี้ เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีศีลธรรมดีงามและเมืองอี้ซานฝูก็อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ข้าต้องการสนับสนุนเขาขึ้นมา…”
“เดี๋ยวก่อน!”
ราชาแห่งประเทศอู่ขัดขึ้นเสียงดัง
“ราชาเซี่ย ท่านหมายถึงว่าท่านต้องการยกดินแดนบางส่วนแก่เจ้าเมืองฟางและให้เขาขึ้นเป็นราชา? ดินแดนของเขาคือที่ใดกัน?”
“ย่อมเป็นอี้ซานฝู!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นขัด
“เขา เขา…”
อู่เฉียนคุนส่ายหน้าก่อนตอบ “นอกเสียจากสายตาของข้าจะทรยศข้าแล้ว ตามแผนที่ตอนนี้ ประเทศของท่านได้ยกพื้นที่อี้ซานฝูให้ประเทศข้าครอบครองแล้ว วิธีที่ท่านจะยกดินแดนให้เขาและสนับสนุนเขาขึ้นเป็นราชาก็คือการยึดเอาดินแดนของผู้อื่นแล้ว”
เมื่อคำพูดพวกนี้หลุดออกจากปากของเขา ไม่เพียงแค่เซี่ยหลิงอวิ๋นจะฉุนเฉียว แต่หลานเซียวเฉิงเองก็ร้อนรนขึ้นเล็กน้อย
“ท่านพูดถูก!”
มีเสียงดังชัดเจนเสียงหนึ่ง ทำให้ผู้คนหันไปมองทางนั้นอย่างไม่เชื่อหู เป็นฟางหยวน!
“อี้ซานฝูนี้เดิมทีเป็นของประเทศเซี่ย! แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ถูกยกให้แก่ประเทศอู่!”
ฟางหยวนพูดอย่างเรียบเรื่อย ราวกับเขามั่นใจเป็นอย่างมาก “จากนั้นข้าก็นำมันกลับมาจากมือของประเทศอู่หลังจากสงครามครั้งใหญ่ นอกจากนี้ ข้ายังทำข้อตกลงกับประเทศอู่ว่าภายในหนึ่งร้อยปีนี้พวกเขาจะไม่สามารถรุกล้ำดินแดนเข้ามา และยังมีสนธิสัญญาเป็นเครื่องยืนยัน ตั้งแต่โบราณมา นี่คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งตนขึ้นเป็นประเทศ!”
สิ่งที่เรียกว่า ‘วิธีการที่เหมาะสมในการตั้งตนเป็นประเทศ’ นั้นมีจุดสำคัญเพียงอย่างเดียว ก็คือมีอำนาจอย่างแท้จริง
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ สมาชิกของประเทศอู่หลายคนก็ขุ่นเคืองขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ทัพเฟยหลงและอู่อู๋เต๋า การพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของพวกเขา
‘คนผู้นี้เสียสติไปแล้ว เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าเขากำลังกลายเป็นหนามข้างบัลลังก์ของข้า? การประชุมนี้จะเป็นที่ตายของเขา!’
อู่อู๋เต๋าวางแผนอยู่ในใจขณะมองไปทางองค์ชายแปด
องค์ชายแปดเองก็มองมาในเวลาเดียวกัน และราวกับเขาเข้าใจความคิดของอู๋เต๋า เขาพูดขึ้น “พวกท่านคนทางใต้ช่างเอนไปเอียงมา เรื่องดินแดนนั้น มันก็ย่อมต้องเป็นของผู้ที่ครอบครองมันอยู่ และถ้าท่านต้องการเหตุผลใดในการประชุมนี้ เช่นนั้นก็ประลองยุทธ์สิ!”
‘ในทุ่งหญ้า ไม่ใช่ว่านั่นหมายถึงสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งรึ?’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางหยวนก็แอบกลอกตา
คนเดียวที่เป็นตัวแทนของอี้ซานฝูก็คือเขา เช่นนั้นเขาย่อมต้องเข้าประลอง
เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างย่อมต้องนำมาใช้
แม้ว่าประเทศหยวนจะร้ายกาจเพียงใด ก็ทำได้เพียงบุกลงไปภาคใต้บนหลังม้า ในที่สุดแล้วย่อมต้องกลับคืนสู่ดินแดนทุ่งหญ้า และที่ถูกทำลายไปในการต่อสู้ก็มีเพียงแค่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น
แต่ว่า ถ้ามีนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุปรากฏตัวขึ้นสักคน ทุกประเทศย่อมถูกคนผู้นั้นจัดการได้โดยง่าย
ความหมายโดยนัยของสถานการณ์นี้นั้นทุกคนรู้อย่างชัดเจน
ฟางหยวนยังไม่ทะลวงผ่านสู่ระดับเปิดชีพจร เขาจึงยังไม่กล้าเข้าถ้ำเสือด้วยความมั่นใจถึงเพียงนั้น
“ได้!”
อู่เฉียนคุนเป็นผู้แรกที่เห็นด้วย
เหตุผลที่เขาพ่ายแพ้อย่างง่ายดายส่วนใหญ่แล้วก็เพราะฟางหยวน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะเกลียดชังเขา
แม้ว่าจะมีข้อตกลงไม่รุกรานอี้ซานฝู 100 ปี มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ลงมือต่อตัวฟางหยวนเอง
“อาจารย์?”
เซี่ยหลิงอวิ๋นหน้าซีดลงเล็กน้อยและขยับเข้าใกล้ฟางหยวนมากขึ้น “ประเทศอู่มีผู้มีความสามารถมากมาย ท่านไม่สามารถรับมือพวกเขาได้ เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่รอโอกาสหน้าเล่า!”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น!”
ฟางหยวนปัดความเป็นห่วงของนางออกไป
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่เขาอดทนรอมานั้นก็เพื่อโอกาสสร้างความตระหนกให้ทุกคนหรอกหรือ?
ผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ขอบเขตแยกธาตุได้นั้นคืออัจฉริยะ และมักจะถูกกำจัดทิ้งไปก่อนเสมอ แต่ว่า สำหรับบางคนที่ขึ้นถึงระดับนั้นไปแล้ว เขาเหนือกว่าทุกคนมาก และทุกคนต้องก้มหัวให้เขา
“พวกเจ้า ใครจะขึ้นมารับความตายก่อนดีเล่า?”
เข้าไปในสนามประลอง ฟางหยวนเหลือบมองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ เปล่งรัศมีคมกริบออกมาจากร่าง
เมื่อสายตาของแม่ทัพเฟยหลงและอู่อู๋เต๋าสบกับเขา ทั้งคู่ก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกสายหนึ่งวิ่งไปตามสันหลัง รู้สึกราวกับทำบางอย่างผิดพลาดไป
พวกเขาเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะแม่ทัพทั้งหลายได้เชียวนะ!
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศหยวน ถัดจากเก่อรื่อถู จ้าวลี่เก่อถู เลียริมฝีปากตัวเอง รู้สึกเหมือนเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา
“ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของอี้ซานฝู ประเทศอู่ย่อมต้องส่งคนลงไปสักผู้หนึ่ง!”
ตอนที่อู่เฉียนคุนกำลังบอกแม่ทัพเฟยหลง เขาก็เห็นสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของเฟยหลง และเขาก็รู้สึกไม่ดีอยู่ข้างในขณะพูด “ข้าคงต้องรบกวนราชครูของราชวงศ์เราแล้ว!”
“ได้!”
เพียงแค่โบกแขนเสื้อสีขาว อู่อู๋เต๋าก็เข้าสู่สนามประลอง
ระหว่างเขากับฟางหยวนนั้นมีความอาฆาตแค้นถึงตายอยู่เพราะศิษย์ระดับรวมธาตุของเขานั้นถูกฟางหยวนสังหาร
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาบาดเจ็บอยู่ เขาคงจะสู้ตายกับฟางหยวนไปก่อนแล้ว
“ยินดีที่ได้พบ ข้าอู่อู๋เต๋า!”
อู่อู๋เต๋าก้าวเท้าไปก้าวหนึ่ง ทั่วร่างเปล่งรัศมีอันหนาหนักราวภูเขาลูกหนึ่ง “เจ้าเมืองอี้ซานฝู ท่านสังหารศิษย์รักของข้าและยังยึดครองดินแดนของประเทศของข้า ข้าจะจบเรื่องทั้งหมดวันนี้!”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน!”
ฟางหยวนหัวเราะ แต่ข้างในนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าจะลงมืออย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้นและใช้วิทยายุทธ์ของเขาสังหารจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ภายในไม่กี่กระบวนท่า
‘หนึ่งหมัด? นั่นจะสร้างความตระหนกเกินไปใช่หรือไม่?’
‘เช่นนั้นก็สองหมัด แต่มันก็ยังคงดูน่าตระหนกไปสักนิด เช่นนั้นสามหมัดก็แล้วกัน…’
‘ช่างเถิด เหตุใดข้าจึงต้องคิดให้มากมาย ฆ่าเขาด้วยหมัดเดียวนั่นดีแล้ว!’
ถ้าอู่อู๋เต๋าได้ยินสิ่งที่ฟางหยวนคิด เขาคงจะต้องกระอักเลือดซ้ำ ๆ เป็นแน่
“หว่อ หวู่!!!”
ทว่า ตอนที่เก๋อรื่อถูกำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ชมการประลอง เสียงเป่าเขายาวลึกก็ดังมาจากที่ไกล ๆ มันค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับสัญญาณควัน
“อะไรนะ? เป็นเสียงแตรหมาป่าสีเทา?”
ทุกคนสงสัย และสายตาสงสัยของทุกคนก็ไปอยู่บนร่างเก่อรื่อถู
ในตอนนั้นเอง เก่อรื่อถูรู้สึกราวกับตนเองตกลงไปกลางฝูงสุนัขป่า
“รีบไป! จ้าวลี่เก่อถู เจ้าไปส่งสาร ข้าจะไปสั่งการทหาร!”
ประเทศหยวนนั้นมีกฏเกณฑ์ เมื่อใดก็ตามที่แตรหมาป่าสีเมาดังขึ้น มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในประเทศ!
เมื่อเกิดภาพเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา กระทั่งองค์ชายแปดก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและเตรียมจากไปในทันที
“เดี๋ยวก่อน! พิธีการยังไม่จบ…”
ขณะที่อู่เฉียนคุนเสแสร้งหน้าฉากอยู่นั้น เขาก็แอบสั่งแม่ทัพเฟยหลงให้เคลื่อนทัพ แต่ยังคงรักษารอยยิ้มใสซื่อเอาไว้บนใบหน้า “ในเมื่อองค์ชายแปดมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของบิดาของท่าน ท่านจะกลับไปก่อนได้อย่างไรกัน?”
“ข้าไม่ใช่หนึ่งในพวกเจ้า! เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงต้องสนใจมารยาทของคนทางใต้อย่างพวกเจ้าด้วย?”
ปัญหาในประเทศของตนนั้นเร่งด่วนมากแล้ว จนแทบจะเผาขนคิ้วเขาแล้ว ดังนั้นเก่อรื่อถูจึงตะโกนออกไปอย่างหยาบคายก่อนที่จะพุ่งลงจากยกพื้นไป
มือธนูยอดเยี่ยมหลายคนตามหลังเขาไปติด ๆ เพื่อปกป้อง
“เฮ่ย… ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องสำคัญมากขึ้นในประเทศหยวนแล้ว!”
ราชาของประเทศเซี่ยมองไปยังเงาร่างขององค์ชายแปด และทั้งคณะขององค์ชายแปดก็ลับหายไปที่ขอบฟ้า และก็ให้คำแนะนำออกมา “เหตุใดพวกเราจึงไม่ชะลอการประชุมเอาไว้ก่อนเล่า?”
“เห็นด้วย!”
“ข้าเห็นด้วย!”
ราชาอื่น ๆ นั้นเห็นด้วยกับคำแนะนำนี้ พวกเขาทั้งหมดอยากจะจากไปจนแทบทนไม่ได้แล้ว รวมกำลังคนและหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้น
‘น่าเสียดาย… ต้องปล่อยเจ้าเด็กนี่หลุดมือไปอีกแล้ว!’
ไม่ว่าอู่อู๋เต๋าจะไม่ยินยอมเพียงใด เขาก็ทำได้แค่กลับลงไปยืนอยู่ข้างตัวอู่เฉียนคุน
“แต่ว่า…”
อู่เฉียนคุนพยักหน้า “องค์ราชาทั้งหลาย ได้โปรดอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไป การเปลี่ยนแปลงกะทันหันในดินแดนทุ่งหญ้าเช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา!”
“น่าเสียดาย…”
ไม่มีใครรู้เลยว่าฟางหยวนนั้นก็มีความคิดเดียวกับอู่อู๋เต๋า และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงในประเทศหยวนที่ถึงกับทำให้องค์ชายแปดเสียมารยาทได้เพียงนั้น?
…
คืนนั้น ฟางหยวนและผู้ที่มีฐานะสูงส่งทั้งหลายก็ได้รับรายงานอย่างละเอียด
“การล่มสลายของประเทศ…”
หลังจากได้ยินข่าวนี้ เซี่ยหลิงอวิ๋นก็ยังเป็นคนที่สงบที่สุดในห้อง “เป็นไปได้ไหมว่าองค์ราชาคนก่อนนั้นล้มป่วยอาการรุนแรง? ทำให้องค์ชายแปดต้องมาเข้าประชุมแทน?”
“เป็นไปไม่ได้!”
ความคิดนี้ถูกทิ้งออกไปทันที
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้เกิดความวุ่นวายถึงเพียงนี้ได้ จากการที่องค์ชายแปดและกองทัพรีบเร่งจากไป เขาเองก็ไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเองก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน!”
“ใช่แล้ว!”
ฟางหยวนเห็นด้วย “องค์ชายทั้งหมดของประเทศหยวนนั้นมีคนและกองทัพของตน แม้ว่าจะดูเหมือนเพื่อสนับสนุนองค์ราชา แต่มันก็เป็นช่วงเวลาอันตรายของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาเองก็นับเป็นคนนอก…”
“ถึงตอนนี้ ในเมื่อกองทัพที่ดีที่สุดของประเทศเราอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าพวกเราตัดสินใจลงมือในตอนนี้ มันอาจจะสามารถทำลายผู้นำของศัตรูได้…”
หลานเซียวเฉิงหยิบพัดขึ้นมา กระทั่งลมหายใจยังกระชั้นขึ้นกว่าก่อนหน้า
“นั่นเป็นไปไม่ได้!”
ข้อเสนอนี้ดูเย้ายวนนัก ดวงตาของเซี่ยหลิงอวิ๋นเป็นประกายขึ้นมาและดับไปในทันทีเมื่อนางมองออกไปนอกค่ายทัพ
กองทับของทุกประเทศนั้นไม่ได้อยู่ไกลกันนัก แต่ก็ยังระมัดระวัง อย่างไรความต้องการของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด
“แม้ว่า… แม้ว่าพวกเราทุกประเทศจะร่วมมือกันต่อสู้และกำจัดประเทศหยวนทิ้งไป ก็ยังมีเผ่าอื่น ๆ ในดินแดนทุ่งหญ้าตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมาได้… เมื่อพวกเขามีกำลังมากพอ ก็จะยังคงมุ่งหน้าสู่ทางใต้เช่นเดิม”
ฟางหยวนส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ นี่เป็นการปะทะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองและชนเผ่าเร่ร่อน
ชนเผ่าพื้นเมืองต้องการครอบครองพื้นที่ และตลอดประวัติศาตร์ที่ผ่านมา นอกเสียจากการพัฒนาทางอุตสาหกรรม พวกเขาถ้าไม่ล้มเหลวก็ถูกกลืนกินทางวัฒนธรรมโดยไม่มีทางเลือกอื่น
“ตอนนี้ข้าสงสัยนักว่าท่าทีของอู่เฉียนคุนจะเป็นอย่างไร?”
ดวงตาของเซี่ยหลิงอวิ๋นเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง หันหน้าไปมองออกไปทางค่ายพักของประเทศอู่
คอมเม้นต์