กำเนิดใหม่สาวนักเรียนเซียนธุรกิจ – ตอนที่ 155 – 156: คำเชิญจากฉินอี้ฉิง, กู้หนิงโกรธแล้ว
Chapter 155: คำเชิญจากฉินอี้ฉิง
ฉินฮ่าวเจิ้งและภรรยาของเขาได้บอกฉินอี้ฉิงผู้เป็นบุตรสาวคนโตว่าไม่ต้องไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของฉินอี้ฟานให้มากนัก ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยพอใจที่เห็นบุตรชายเพียงคนเดียวไปชอบพอกับเด็กสาวธรรมดาๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากเห็นลูกๆของตัวได้รักกับคนที่อยากรักและมีชีวิตที่มีความสุข
พวกเขาคิดว่าลี่เจินเจินเป็นตัวเลือกที่ดีก็จริง แต่ในเมื่อฉินอี้ฟานไม่ชอบเธอ พวกเขาก็ไม่สามารถบังคับได้ ถ้าพวกเขาบังคับฉินอี้ฟานให้แต่งงานกับลี่เจินเจิน ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกชายย่อมร้าวฉาน
อย่างไรก็ตามฉินอี้ฉิงเป็นคนหัวแข็งและดื้อรั้น แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมเธอได้
แต่อย่างน้อยพวกเขาเชื่อว่าฉินอี้ฟานสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
ท่าทีของฉินอี้ฟานทำให้ลี่เจินเจินใจแตกสลาย เธอจึงขอตัวกลับเมือง G เช้าวันเสาร์ ฉินอี้ฉิงเลยเป็นคนไปส่งเธอที่สนามบินเอง
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉินอี้ฉิงโกรธกู้หนิงมาก ในสายตาของเธอมันเป็นความผิดของกู้หนิงคนเดียว ฉินอี้ฟานตีตัวออกห่างจากลี่เจินเจินเป็นเพราะกู้หนิง ดังนั้นเมื่อลี่เจินเจินกลับไป ฉินอี้ฉิงจึงโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งเพื่อขอเบอร์กู้หนิง จากนั้นเธอก็โทรหากู้หนิงโดยตรง
กู้หนิงอยู่ระหว่างการปีนเขาเมื่อเธอรับสายจากฉินอี้ฉิง
“สวัสดีค่ะ นั่นใช่กู้หนิงรึเปล่า?” ฉินอี้ฉิงเอ่ยถามอย่างสุภาพ “ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่านั่นใครคะ?” กู้หนิงถามกลับ
“ฉันคือพี่สาวของฉินอี้ฟาน ฉินอี้ฉิง มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอจ๊ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้เธอสะดวกรึเปล่า? พวกเรามาเจอกันหน่อยได้ไหม?” ฉินอี้ฉิงถาม
ฉินอี้ฉิงกังวลว่ากู้หนิงจะวางสายถ้าเธอทำตัวไม่สุภาพ หรือไม่กู้หนิงอาจจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
กู้หนิงรู้ว่าฉินอี้ฟานมีพี่สาวชื่อว่าฉินอี้ฉิง แต่พวกเธอเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวตอนงานวันเกิดนายท่านตระกูลฉิน พวกเธอไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ ทำไมพี่สาวของฉินอี้ฟานต้องการพบเธอ?
กู้หนิงอยากจะรู้สาเหตุ ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงนัดเจอกันในตอนบ่าย
ฉินอี้ฉิงไม่สนใจเรื่องเวลาตราบใดที่กู้หนิงยอมออกมาพบเธอ
ชั่วโมงแห่งการปีนเขายังดำเนินต่อไป ยกเว้นกู้หนิง ซื่อตู้เย่และฉู่ซวนเฟิงที่เพียงหน้าแดงเล็กน้อย คนที่เหลือต่างพากันหอบแฮ่ก โดยเฉพาะอ้ายยี่และหยูหมิงซี เพราะพวกเขาเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอที่สุดของกลุ่ม
โชคดีที่พวกเขาออกกำลังกายค่อนข้างเยอะในช่วงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปีนเขาได้
ทุกคนหยุดพักร่างกายกันอยู่หลายนาที
ยิ่งปีนสูงขึ้นเท่าไหร่อากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่อากาศเย็นแต่พวกเขากลับรู้สึกอุ่นในร่างกายแทน เพราะพวกเขาปีนเขามาสักพักหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นหน้าร้อนเกรงว่าจะเป็นลมกันไปหมด
สองชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดทุกคนก็ปีนขึ้นมาถึงจุดสูงสุด
บนยอดเขามีพื้นที่ขนาดสามร้อยตารางเมตรพร้อมร้านอาหารขนาดเล็กและร้านสะดวกซื้อสำหรับผู้มาเยือน ภูเขาหยุนไท่มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก
มองตรงไปข้างหน้าจากรั้วด้านบนมีกลุ่มเมฆสีขาว เมฆอยู่ใกล้มากจนรู้สึกเหมือนได้สัมผัสด้วยมือของตัวเอง นี่คือจุดที่ผู้เข้าชมสามารถชื่นชมก้อนเมฆ และมองลงไปด้านล่างก็มีหน้าผา ต้นไม้และหุบเขาที่สวยงาม
ฮ่าวหรันและคนอื่นที่เหลือต่างควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้นแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยล้าเต็มที
“สวยโคตรๆ! นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ขึ้นมาจุดสูงสุดของภูเขาหยุนไท่
“ใช่ อย่างกับสวรรค์แหน่ะ”
“มานี่ ฉันจะไปยืนบนก้อนหิน ถ่ายรูปให้หน่อยสิเอาเมฆเป็นฉากหลังนะ ฉันจะทำเหมือนบินในท้องฟ้า!”
“ฉันด้วย!”
กู้หนิงไม่สนใจที่จะถ่ายรูป เธอเดินไปริมหน้าผาเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์อย่างเงียบๆ
เธอกำลังดูดซับพลังที่นี่ ใช่แล้ว อากาศบนยอดเขานี้ไม่มีมลพิษแถมมันยังสะอาดอีกด้วย แม้ว่าพลังจะเบาแต่ก็มีอยู่รอบตัวมากมาย
กู้หนิงรวบรวมพลังจำนวนมากเข้าด้วยกันและพลังก็ก่อตัวหนาขึ้น เมื่อพลังถูกดูดซึมเข้าไปในตาทิพย์ของเธอมากขึ้นเท่าไหร่ การมองเห็นของเธอก็ค่อยๆดีขึ้นและชัดเจนขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นเองกู้หนิงพบว่ามีกระแสพลังที่เธอไม่สามารถดูดซับได้
พลังที่เธอดูดซับไม่ได้ต้องเป็นพลังที่ไม่ได้เป็นของสวรรค์ โลกหรือหยก มันจะต้องเป็นของโบราณ
พลังนั้นบางเบาและอยู่ห่างไกล ดูเหมือนว่ามันอยู่ใต้หน้าผา
กู้หนิงมองลงไปหาตำแหน่งของมัน ในไม่ช้าเธอก็เล็งไปที่รอยแตกระหว่างซอกหิน ด้วยความช่วยเหลือของตาทิพย์ กู้หนิงจึงเห็นด้านในของรอยแตก
มีช่องๆหนึ่งหลังกำแพงหินหนาหนึ่งเมตร ช่องนั้นกลมกว้างหนึ่งเมตรและสูงสามเมตร ลึกลงไปสองเมตรมันก็แคบอีกครั้ง ช่องนั้นเต็มไปด้วยหมอกสีขาว
อย่างไรก็ตามกู้หนิงไม่เห็นแหล่งที่มาของพลังเพราะช่องนั้นลึกเข้าไปข้างในอีก ตาทิพย์ของกู้หนิงไม่สามารถตรวจจับได้ไกลเกินไป แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นแต่เธอก็มั่นใจว่าต้องมีของโบราณอยู่ในหลุมนั้นแน่ๆ
พลังของมันไหลออกมาไปตามอากาศ ดังนั้นของโบราณชิ้นนี้ต้องมีพลังที่แข่งแกร่งหรือไม่อาจจะมีของโบราณอยู่หลายชิ้นรวมๆกัน กู้หนิงอยากรู้แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะเท่าไหร่
วันหลังเธอค่อยมาใหม่ และมาได้เฉพาะตอนกลางคืน นอกจากนี้เธอยังต้องการเชือกและเครื่องมือเพื่อลงไปในหลุม
เธอต้องลงไปที่นั่นด้วยเชือกก่อนแล้วจึงใช้เครื่องมืองัดหินออกจากกันเพื่อให้เธอเข้าไปได้
ต้องมีทางเข้าอื่นไปยังหลุมนี้ กู้หนิงตัดสินใจตรวจสอบรอบๆก่อน หากมีทางเข้าสู่หลุมเธอจะเข้าไปทางเข้า แต่ถ้าไม่เธอถึงจะงัดหินออกจากกัน
กู้หนิงกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนหลังจากดูดซับพลังจนพอแล้ว
เมื่อทุกคนเห็นดวงตาของเธอ พวกเขาก็ทำท่าทางลุ่มหลง เห็นแบบนั้นแล้วกู้หนิงก็เกิดประหม่าขึ้นมา ตาของเธอมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?
“เป็นอะไร? ทำไมเอาแต่จ้องฉันแบบนั้น?” กู้หนิงถาม
พวกเขาไม่ได้สติจนกระทั่งได้ยินเสียงกู้หนิง ฉู่เพ่ยหานลุกขึ้นทันทีและวิ่งมาหากู้หนิง “หนิงหนิง ฉันเพิ่งพบว่าตาเธอน่าดึงดูดมาก!”
คนที่เหลือล้วนเห็นด้วย
“ใช่ๆ ฉันก็เพิ่งรู้นี่แหละ ดวงตาของเธอกระจ่างใสมากๆ!”
“อย่างกับเวทย์มนตร์แหน่ะ! พวกเราไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลย”
“และฉันเองก็รู้สึกผ่อนคลายไม่มีสาเหตุ”
ได้ยินแบบนั้น กู้หนิงพลันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตาทิพย์ของเธอดูดซับพลังงานเต็มที่ ดังนั้นจึงทำให้ตาของเธอได้รับผลกระทบไปด้วย
ตาของเธอเหมือนมีเวทย์มนตร์? พวกเขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้? พวกเขารู้สึกผ่อนคลายโดยไม่มีสาเหตุ?
กู้หนิงอดคิดไม่ได้ว่าเธอสามารถยั่วยวนคนให้ลุ่มหลงด้วยดวงตาของเธอได้? แน่นอนเธอไม่ต้องการแบบนั้น อีกอย่างเธอไม่ชอบใครมาจ้องตาของเธอ ดังนั้นเธอจึงจงใจมองฮ่าวหรันและคนอื่นๆด้วยสายตาเย็นชาเพื่อให้พวกเขากลัว
Chapter 156: กู้หนิงโกรธแล้ว
สายตาของเธอแหลมคมประหนึ่งคมมีดซึ่งดูน่ากลัวสุดๆ ทุกคนนิ่งงัน
กู้หนิงเองก็ประหลาดใจ พลังไม่เพียงทำให้ดวงตาของเธอดูน่าหลงไหลแต่ยังทำให้คนที่พบเห็นตกใจกลัวได้?
แม้แต่ซื่อตู้เย่และฉู่ซวนเฟิงยังประหลาดใจกับสายตาน่ากลัวของเธอ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฉู่เพ่ยหานก็เปลี่ยนน้ำเสียงอ่อยๆ “บอส เธอดูน่ากลัวจัง! ฉันรู้สึกเหมือนมีมีดมาจอที่คอหอยตัวเองยังงั้นแหละ!” ฉู่เพ่ยหานยืนข้างกู้หนิง ดังนั้นเธอจึงรู้สึกได้ชัดเจน
“ใช่! ถ้าสายตาฆ่าคนได้พวกเราคงตายไปหมดแล้ว” ฮ่าวหรันบ่นราวกับว่าเพิ่งรอดชีวิตจากหายนะมา
“ฉันเกือบหัวใจวายตาย!” มู่เค่อพูดเสริมขึ้นบ้าง เขาเอามือกุมหน้าอกเหมือนเขากำลังทรมานจริงๆ
กู้หนิงไม่รู้จะพูดอะไร ตัวเธอเองไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ถึงแม้ดวงตาของเธอจะเปลี่ยนไปแต่ตราบใดที่พวกเขาไม่จ้องตาเธอก็คงไม่เป็นอะไร
พวกเขาไม่ได้ลงจากเขาทันที ตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงแล้ว พวกเขาจะกินข้าวบนนี้ก่อน มีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อข้างบน แค่พวกเขาได้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มก่อนมาที่นี่แล้ว
พวกเขาไม่ได้ซื้อกินข้างบนเนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มค่อนข้างแพง เป็นความตั้งใจของกู้หนิงส่วนหนึ่งด้วยที่ต้องการให้พวกเขาแบกอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาด้วย
“ที่นี่มีถ้ำหรืออย่างอื่นอีกไหม” กู้หนิงถามขึ้นมาลอยๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“บอส เธอกำลังหาที่ผจญภัยหรอ?”
“ประมาณนั้น” กู้หนิงตอบ
พวกเขามีเวลาพักสิบนาทีหลังจากรับประทานอาหาร ประมาณบ่ายโมงพวกเขาก็เดินลงมาจากบนเขา
ปีนลงง่ายกว่าปีนขึ้นมาก ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกับอีกสี่สิบนาทีเท่านั้นก็กลับมาถึงจุดสตาร์ท
ขณะนั้นเวลาเกือบบ่ายสามโมง
ฮ่าวหรันเสนอที่จะหาที่ดื่มต่อ แต่กู้หนิงปฏิเสธเพราะเธอมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ เนื่องจากกู้หนิงจะไม่ไป คนอื่นๆ ก็ไม่ไปด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันกลับ
ซื่อตู้เย่ต้องการไปส่งกู้หนิงแต่ถูกเธอปฏิเสธ เขาไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายที่บังคับผู้หญิงให้ทำในสิ่งที่ตัวเขาเองต้องการ
ก่อนที่กู้หนิงจะกลับ เธอโทรหาฉินอี้ฉิงก่อน ตอนนี้เธอว่างแล้วและออกไปพบได้
ฉินอี้ฉิงกำลังช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า เธอเลยนัดสถานที่ที่คาเฟ่ข้างๆห้างสรรพสินค้า กู้หนิงตอบตกลงและบอกว่าจะไปถึงภายในสามสิบนาที
จากนั้นกู้หนิงก็ขึ้นรถแท็กซี่ไป
ผ่านไปยี่สิบนาทีกู้หนิงก็มาถึงสถานที่นัดพบ เธอเดินตรงเข้าไปคาเฟ่ทันที
ฉินอี้ฉิงรอเธออยู่ที่คาเฟ่เรียบร้อยแล้ว กู้หนิงเดินตรงเข้าไปหาเธอ
ฉินอี้ฉิงเป็นนักออกแบบเสื้อผ้า ดังนั้นเธอจึงแต่งกายอย่างพิถีพิถันและสง่างาม ฉินอี้ฉิงเป็นผู้หญิงที่มีความทะเยอทะยานดังนั้นเธอจึงมีความภาคภูมิใจอย่างมาก นอกจากนี้เธอยังหัวสูงและมองไปที่กู้หนิงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
“คุณกู้ ยินดีที่พบค่ะ เชิญนั่งสิคะ” ถึงแม้ฉินอี้ฉิงจะพูดจาสุภาพ แต่กู้หนิงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเธอได้
ฉับพลันนั้นเองกู้หนิงก็เข้าใจว่าการที่ฉินอี้ฉิงโทรมาหาเธอคงไม่ใช่เรื่องดี ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังใจเย็น เธออยากเห็นว่าฉินอี้ฉิงจะทำอะไรต่อไป
กู้หนิงนั่งลงและถามเสียงเรียบไปว่า “คุณฉิน ขอถามได้ไหมคะว่าเรียกฉันมามีเรื่องอะไร?”
“เธอพอจะบอกได้ไหมว่าพ่อแม่เธอทำงานอะไร?” ฉินอี้ฉิงถามราวกับว่าตัวเองเป็นราชินี
กู้หนิงไม่ได้คิดอะไรกับคำถามของฉินอี้ฉิง เธอตอบตามความจริง “ฉันมาจากครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ แม่ของฉันเลี้ยงฉันมาคนเดียว เธอทำงานในโรงงานแต่ลาออกแล้วเนื่องจากสุขภาพไม่ค่อยดี ตอนนี้เธออยู่บ้านเฉยๆ”
“โอ้!” ได้ยินคำตอบของกู้หนิง ฉินอี้ฉิงรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก เธอคิดว่าอย่างน้อยกู้หนิงก็น่าจะมาจากครอบครัวธรรมดาอย่างคนทั่วไปที่สามารถเข้าถึงมาตรฐานการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ คาดไม่ถึงว่าครอบครัวของเธออยู่ในสภาพที่แย่มากขนาดนี้ แม่ของเธอลาออกซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่มีรายได้เลย
ตอนนี้ฉินอี้ฉิงยิ่งไม่ชอบกู้หนิงมากกว่าเดิม
“ถ้าแม่ของเธอว่างงานแล้วพวกเธอใช้ชีวิตอยู่กันยังไง? แม่ของเธอเคยทำงานในโรงงาน ฉันคิดว่าค่าจ้างคงไม่ได้เยอะ พวกเธอมีเงินเหลือพอประทังชีวิตเหรอ?” พูดออกไปแบบนั้นแล้ว ฉินอี้ฉิงก็ไม่ปิดบังความไม่ชอบใจบนใบหน้าตัวเองอีก
“ฉันไม่คิดว่าคุณฉินสนใจความเป็นอยู่ของครอบครัวฉันมากขนาดนี้!” กู้หนิงยิ้มเย็นชาบางๆ
ฉินอี้ฉิงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “คุณกู้ พวกเรามาวางไพ่บนโต๊ะกันเถอะ ที่ฉันนัดให้เธอมาพบที่นี่วันนี้เพื่อที่จะบอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับอี้ฟานเลยสักนิด”
กู้หนิงนิ่งไปด้วยความงุนงง อะไรนะ? เธอไม่ได้มีอะไรกับฉินอี้ฟานเสียหน่อยแล้วไหงเธอถึงกลายเป็นไม่เหมาะสมกับเขาไปได้? เธอกับฉินอี้ฟานเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามกู้หนิงไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างฉินอี้ฟานกับเธอ และจุดประสงค์ของฉินอี้ฉิง
ใครเป็นคนบอกฉินอี้ฉิงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินอี้ฟาน? บ้าไปแล้ว!
“ใครเป็นคนบอกคุณคะว่าฉันมีความสัมพันธ์กับฉินอี้ฟาน?” กู้หนิงถาม
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคืออี้ฟานชอบเธอ เขาเป็นทายาทตระกูลฉินของเราที่มีทรัพย์สินกว่าสองพันล้าน ส่วนเธอจนยิ่งกว่าซินเดอเรลล่า เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะแต่งงานเข้ามาในครอบครัวของเรา ดังนั้นกรุณาอยู่ห่างจากอี้ฟาน”
ฉินอี้ฟานชอบเธอ? กู้หนิงประหลาดใจ
เมื่อต้องเจอกับเรื่องตลกร้าย กู้หนิงก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแต่เธอระงับความโกรธเอาไว้ได้ “คุณฉิน ฉันคิดว่าเรื่องนี้มีการเข้าใจผิด ฉินอี้ฟานกับฉันเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
ฉินอี้ฉิงไม่เชื่อ เพราะน้องชายของเธอยอมรับว่าเขาชอบกู้หนิงและกู้หนิงก็เป็นแค่เด็กสาวยากจน ไม่น่าเป็นไปได้ที่เธอจะไม่มีความรู้สึกต่อผู้ชายที่หล่อเหลาและร่ำรวยมหาศาล
“คุณกู้ เลิกเถียงได้แล้ว ตราบใดที่เธออยู่ห่างจากอี้ฟานฉันจะให้เธอห้าแสนหยวน ฉันคิดว่าเช็คห้าแสนหยวนครอบครัวของเธอก็คงไม่เคยเห็นสินะ”
นี่มันเป็นการทำให้อับอายในที่สาธารณะชัดๆ
กู้หนิงตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้น ซึ่งทำให้ฉินอี้ฉิงประหลาดใจ การกระทำของกู้หนิงดึงดูดความสนใจคนที่อยู่รอบๆ
กู้หนิงไม่สนใจสายตาจากคนอื่นที่มองมา เธอจ้องฉินอี้ฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบ “คุณฉิน คุณไม่คิดว่าน่าขำไปหน่อยเหรอที่พูดให้ฉันอับอายก่อนที่คุณจะได้รู้ความจริง?”
สำหรับคนที่ไม่ให้เกียรติเธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกเขา
“อะไรนะ? เธอบอกว่าฉันน่าขำงั้นเหรอ?” ฉินอี้ฉิงหงุดหงิด
คอมเม้นต์