War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3365

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ ตอนที่ 3365 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 3365 : จ้าวหุบเขาจันทร์โลหิต

ทั้งๆที่ร่วมมือผสานพลังกันแล้ว แต่กลับแพ้พ่ายเสี่ยวจินแบบนี้ ทําให้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ซึมไปไม่น้อย

หลังจากที่ทั้งคู่หวนคืนสู่ร่างมนุษย์ สีหน้าแววตาก็แลดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เสี่ยวจินที่เคยอ่อนด้อยกว่าพวกมันในอดีต กระทั่งถูกพวกมันสะกดข่มทุกทาง ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆจะกลายเป็นแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ถึงขั้นทําให้พวกมันทั้ง 2 ร่วมมือกันก็แล้ว แต่ไม่วายพ่ายแพ้

แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นสหายสนิทราวพี่น้อง นอกจากจะสลดใจที่แพ้พ่ายแล้ว แต่ก็ยังบังเกิดความยินดีกับความก้าวหน้าของสหายจากใจ

แต่ก็นั่นละ

ความพ่ายแพ้ในลักษณะนี้ ก็ชวนให้หดหูใจอยู่ดี

“เสี่ยวจิน ไม่คิดเลยว่าไม่เจอกันแป็บๆ เจ้าก็จะวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพได้แล้วว่าแต่ร่างที่แท้จริงของเจ้ามันคือสัตว์เทพอะไรหรือ?”

เสี่ยวไป๋ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็อดหันไปมองถามเสี่ยวจินด้วยความสงสัยไม่ได้

“ตอนนี้ข้าเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกแล้ว!”

เสี่ยวจินคลี่ยิ้มตอบ

เสียงคุยกันของทั้ง 2 คนแม้จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ก็ยังดังพอให้หลายๆคนในลานประลองที่เงี่ยหูฟังอยู่ได้ยินชัดเจน ครู่ต่อมาก็อดฮือฮากันไม่ได้

“หนูเทพสังหาร 9 ยมโลก!? หากข้าจําไม่ผิด….ดูเหมือนผู้ก่อตั้งหุบจันทร์โลหิตก็เป็นหนู เทพสังหาร 9 ยมโลกเหมือนกันไม่ใช่หรือ!?”

“ใช่! เหมือนกัน!!”

“อีกทั้งผู้ที่เป็นจ้าวหุบจันทร์โลหิตแทบทุกรุ่น ก็ล้วนเป็นทายาทของหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกใช่ไหม?”

“ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ ที่หุบจันทร์โลหิตจะปรากฏหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกตัวที่ 2 ขึ้นมา!”

หลังเสี่ยวจินกล่าวบอกออกมาว่าร่างที่แท้จริงของนางคือหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก หลายคน ในเผ่ามังกรก็อดตะลึงไปไม่ได้ ถึงแม้พวกมันจะพอมองออกแต่แรกว่าร่างที่แท้จริงของเสี่ยวจินเป็นสัตว์เทพ แต่พวกมันก็ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์เทพสายพันธุ์ใด

ทว่าหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกที่ว่า มันก็คือสัตว์เทพที่ค่อนข้างโดดเด่นและมีพลังอยู่ในระดับแนวหน้าของสัตว์เทพทั้งหลาย!

“ให้ตายเถอะเสี่ยวจิน นี่เจ้าวิวัฒนาการไปเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้จริงๆ นี่เจ้าไปทําอีท่าไหนมา!?”

เสี่ยวไป๋อุทานถามออกมาด้วยความตกตะลึง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เสี่ยวจินจะกล่าวตอบ จี้หนิงอวิ๋นพลันเอ่ยแทรกออกมาเสียก่อน “เสี่ยวจินเจ้ามานี่เร็ว ข้าจะไปจัดหาที่พักให้เจ้าก่อน”

“เรื่องอื่นใด ไว้พวกเจ้าค่อยไปคุยกันทีหลัง”

เหตุผลที่จี้หนิงอริ้นเร่งกล่าวขัดออกมาแบบนี้ เพราะนางกลัวว่าพอเสี่ยวจินบอกออกไปว่าที่นางวิวัฒนาการเป็นสัตว์เทพได้สําเร็จ เพราะนางไปสมรภูมิอเวจีมา ที่นี้ไม่พ้นผู้คนของเผ่ามังกรหลายคนที่ได้ยิน ก็ต้องบังเกิดความคิดอยากลองเสียงสักครา และยกโขยงมุ่งหน้าไปสมรภูมิอเวจีเป็นแน่!

ในฐานะอาวุโสลําดับที่ 4 ของเผ่ามังกร นางไม่อยากเห็นฉากดังกล่าว!

อย่างไรก็ตาม หลังจี้หนิงอวิ๋นพาทุกคนไปยังที่พักแล้ว เสี่ยวจินที่นั่งอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็กล่าวตอบเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่เอาแต่มองจ้องไม่วางตามาตลอดทันที “ที่ข้าวิวัฒนาการเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้ ก็เพราะไปสมรภูมิอเวจีมาน่ะ”

“พูดไปแล้วข้าก็นับว่าโชคดีจริงๆ”

“ไม่คิดเลยว่าการกลืนกินพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ของเผ่าพยัคฆ์ขาว จะทําให้สายเลือดข้าพัฒนาไปครั้งใหญ่”

สําหรับเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ เสี่ยวจินไม่มีอะไรต้องปิดบัง

ถึงแม้จี้หนิงอวิ๋นจะอยู่ด้วย นางก็ไม่คิดจะปกปิด เพราะมันไม่จําเป็น อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ไม่มีทางคิดร้ายกับนางแน่

ที่สําคัญ เผ่าพยัคฆ์ขาวในระดับหนึ่งยังถือว่าเป็นศัตรูของเผ่ามังกรแห่งว่านโช่วเทียนมายาวนาน แม้จะไม่ถึงขั้นต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่ก็ไม่มีทางมานั่งคุยกันดีๆได้

“พยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์!?”

ได้ยินคําตอบของเสี่ยวจิน จี้หนิงอวิ๋นกับเสี่ยวไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง

มีก็แต่เสี่ยวเฮยที่ไม่รู้ว่าพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์มีความหมายอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้แลดูแปลกใจอะไรมากมาย แต่มันก็พอเดาได้รางๆว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นสัตว์เทพ

หาไม่แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวจินไปกลืนกินผู้อื่น แล้วจะกลายเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกไปได้

“ข้าไม่คิดเลยว่า ที่แท้จะปรากฏพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ขึ้นในเผ่าพยัคฆ์ขาวรุ่นนี้แล้ว…”

พยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ สําหรับเผ่าพยัคฆ์ขาวแล้ว ก็มีความสําคัญดุจเดียวกับมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บของเผ่ามังกร จี้หนิงอวิ๋นก็เลยรู้จักมันเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันนางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยความเหลือเชื่อ ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจถึงขั้นเข่นฆ่าพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ได้!

อย่างไรก็ตาม พอนึกขึ้นได้ว่าวันนั้น นางก็เห็นด้วนหลิงเทียนชัดจักรพรรดิอมตะสมญา นามของวังเทียนฉือที่เป็นถึงขุมกําลังระดับสวรรค์จนเปลี้ยมากับตา นางก็พอเข้าใจได้

ไม่ว่าพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ของเผ่าพยัคฆ์ขาวจะเก่งกาจเลิศล้ำแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะ 10 ทิศ

อาศัยพลังความแข็งแกร่งระดับนี้ ต้วนหลิงเทียนที่กล้าปะทะหักหาญกับจักรพรรดิอมตะสมญานามของขุมกําลังระดับสวรรค์อย่างไร้ครั่นคร้าม ย่อมมีหนทางจัดการได้แน่

“เสี่ยวจินเอย วันนี้เจ้าเลินเล่อเกินไปแล้ว”

ครู่ต่อมาจี้หนิงอวิ๋นก็หันไปกล่าวเป็นเชิงจําหนิเสี่ยวจิน ราวผู้ใหญ่ตําหนิลูกหลาน “ต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนั้น เจ้าไม่ควรเปิดเผยเรื่องที่เจ้าพัฒนาไปเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกออกมาเลย”

“ข้าเดาได้เลย ว่าตอนนี้ไม่พ้นเรื่องที่เจ้ากลายเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกคงรู้ไปทั้งเผ่ามังกรแล้ว..จะมากจะน้อยไม่พ้นต้องหลุดออกไปข้างนอกแน่”

กล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าจี้หนิงอขึ้นก็ฉายแววเป็นห่วงขึ้นมา

พอต้วนหลิงเทียนเห็นว่าจี้หนิงอลิ้นชักสีหน้าเป็นกังวล และกําลังจะถามอะไร ก็พอดีกับที่จี้หนิงอวิ๋นมองกล่าวกับเสี่ยวจินออกมาก่อน “หุบจันทร์โลหิตของเจ้า ไม่ใช่ว่าจะไม่มีศัตรูในว่านโช่วเทียนกระทั่งมีหลายขุมกําลังที่จ้องจะล้างผลาญพวกเจ้าอยู่ตลอดเวลา”

“กับหุบจันทร์โลหิตก่อนหน้านี้ ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ พวกมันก็แค่คอยจับตาดูเท่านั้น…อย่างมากยามพบเจออัจฉริยะหรือคนของหุบจันทร์โลหิตด้านนอก พวกมันก็แค่ฆ่าทิ้ง”

“แต่ทว่าการวิวัฒนาการของเจ้า เสมือนทําให้วันหน้ามีความเป็นไปได้สูงที่สมดุลของพลังระหว่างหุบจันทร์โลหิต กับศัตรูของพวกเจ้าต้องพังทลายลง”

“เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือ…เจ้าไม่ได้วิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพธรรมดาๆ แต่ดันวิวัฒนาการไปเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก สัตว์เทพที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของหุบจันทร์โลหิต!”

“ยามเมื่อเจ้าเติบโตขึ้น พลังของหุบจันทร์โลหิตจะก้าวเข้าสู่มิติใหม…ถึงตอนนั้นหุบ จันทร์โลหิตที่มีเจ้าที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพนําทัพ ย่อมบุกไปสยบปราบ กระทั่งล้างบางขุมกําลังศัตรูได้ไม่ยากเย็น”

“ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว เจ้ายังคิดว่าศัตรูของหุบจันทร์โลหิตทั้งหลาย จะนั่งรอให้เจ้าเติบโตจนมีพลังสูงพอล้างบางพวกมันหรือไม่เล่า?”

“ในความคิดข้าหลังจากที่พวกมันได้รับทราบข่าวของเจ้า ไม่พ้นพวกมันต้องเร่งส่งมือดีมาดักทางกลับหุบจันทร์โลหิตของเจ้าทุกทาง พอพบเจอก็ต้องฆ่าเจ้าทิ้งทันทีแน่”

กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของจี้หนิงอวิ๋นก็ฉายชัดถึงความกังวล

“เมื่อครู ข้าเร่งติดต่อไปหาผู้นําเผ่ามังกรของข้าแล้ว เพื่อให้ท่านผู้นําของข้าแจ้งเรื่องเจ้าไปยังจ้าวหุบจันทร์โลหิตของเจ้าโดตรง..หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้จ้าวหุบจันทร์โลหิตของเจ้า สมควรทราบเรื่องของเจ้าแล้ว”

พอกล่าวถึงตรงนี้ อยู่ๆจี้หนิงอวิ๋นก็นิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง ค่อยกลับมารู้สึกตัวเร่งกล่าวออกว่า “ไม่ทันขาดคํา ข้าพึ่งได้รับแจ้งจากท่านผู้นํามาว่า จ้าวหุบจันทร์โลหิตของเจ้าฝากฝังให้พวกเราดูแลเจ้าให้ดี”

“และตอนนี้จ้าวหุบของเจ้ากําลังนําคนมารับเจ้ากลับด้วยตัวเอง”

“ช่วง 2-3 วันหลังจากนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถอะ อย่าได้ออกไปชนที่ไหนนอกเผ่ามังกรอีกเชียว”

จี้หนิงอวิ๋นกล่าว ท้ายประโยคยังมองจ้องเสี่ยวจินด้วยสายตาแหลมคม

“เข้าใจแล้ว อาวุโสจี้”

เสี่ยวจินที่โดนสายตาทั้งดุทั้งห่วงของจี้หนิงอวินมองจ้องมา ก็ไม่กล้ารอช้าเร่งกล่าวตอบรับอย่างเชื่อฟัง และตอนนี้นางก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าแค่นางคิดอยากอวดร่างที่แท้จริงกับเสี่ยวเฮยเสี่ยวไป จะทําให้กลายเป็นเรื่องอันตรายขึ้นมาได้

ยังไม่เคยฝันมาก่อน ว่าเรื่องการวิวัฒนาการของนางจะเกี่ยวพันวุ่นวายไปถึงขั้วอํานาจอะไรแบบนี้

ขณะเดียวกัน สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเช่นกัน ด้วยไม่คิดว่าร่างที่แท้จริงของเสี่ยวจิน จะชักนําเภทภัยอะไรแบบนี้มาสู่เสี่ยวจินได้

เช่นนั้นหลังจากนี้ไม่กี่วัน ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะพักอยู่กับเสี่ยวจินพร้อมฮ่วนเอ๋อ รอคอยให้จ้าวหุบจันทร์โลหิตนํากําลังมารับเสี่ยวจิน

จ้าวหุบเขาจันทร์โลหิตนั้น มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดคลุมสีแดงเพลิง หว่างคิ้วปรากฏปานรูปเปลวเพลิง มองใกล้ๆยังคล้ายเปลวเพลิงดังกล่าวกําลังลุกโชนอยู่

ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่จะแลดูหล่อเหลาเท่านั้น ดวงตายังทอประกายวูบวาบปานสายฟ้า แลดูดุร้ายไม่เบา หากแต่ทั่วร่างกลับไร้ซึ่งกลิ่นอายสะกดข่มมากอํานาจบารมีอย่างที่ตัวตนระดับสูง พึงมีจนมองแทบไม่ต่างผู้ฝึกตนธรรมดา

ทว่าเพียงลอยร่างอยู่เฉยๆ กลับทําให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงอันตราย ราวกับอสุราไร้คู่เปรียบที่พร้อมเข่นฆ่าศัตรูทุกคนที่กล้าแหยม!

“ฮ่าๆๆๆ…เสี่ยวจิน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะวิวัฒนาการไปเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้”

ทว่ายามจ้าวหุบจันทร์โลหิต เชวียอวิ๋นเทียน” มองไปยังเสี่ยวจิน แววตาที่ดูดุร้ายของมันก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนราวสายน้ํา หัวเราะพลางกล่าวออกมาด้วยความยินดี “ตอนแรกข้าคิดพาท่านอาวุโสใหญ่มารับเจ้าที่นี้ด้วย แต่พอดีท่านผู้เฒ่ากําลังปิดด่านถึงช่วงสําคัญ ข้าจึงมิได้ไปรบกวน”

“หากท่านผู้เฒ่าล่วงรู้ว่าตอนนี้เจ้าวิวัฒนาการไปเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกแล้ว คงต้องยินดีมีความสุข และภาคภูมิใจในตัวเจ้าอย่างถึงที่สุดแน่!”

เชวียอวิ๋นเทียนคลี่ยิ้มจนมุมปากเจียนถึงหู เรียกว่าภาพลักษณ์ดุร้ายมาดเข้มในตอนแรกสลายหายไปไม่มีเหลือ ดูไปยังคล้ายชายหนุ่มที่พึ่งได้รับทราบว่าตัวเองกําลังจะเป็นพ่อคนอย่างไรอย่างนั้น นอกจากความตื่นเต้นแล้ว ก็มีแต่ความตื่นเต้นถึงที่สุด

“ทั้งหมดต้องขอบคุณพี่ใหญ่หลิงเทียน”

ในขณะที่เชียอวิ๋นเทียนยิ้มร่าหัวเราะออกมาด้วยความร่าเริงยินดี เสี่ยวจินก็ไม่ลืมยกต้วนหลิงเทียนขึ้นมากล่าว “หากไม่มีพี่ใหญ่หลิงเทียนคอยช่วยข้าในสมรภูมิอเวจี ข้าไม่มีทางวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพได้แน่ๆ”

“โอ!?”

เชวียอวิ๋นเทียนหันไปมองต้วนหลิงเทียนข้างๆเสี่ยวจินด้วยความประหลาดใจทันที และพอสายตามันเหลือบไปเห็นฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนโดยไม่ตั้งใจ สีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความแปลกใจออกมา

และครู่ต่อมา มันก็คล้ายจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทําให้ลูกตาหดเล็กลง กล่าวถามฮ่วนเอ๋อด้วยความประหลาดใจว่า “แม่นางน้อย…ท่าน…ท่านก็เป็นสัตว์เทพด้วยรึ?”

“พี่สาวฮ่วนเอ๋อ เป็นจิ้งจอกน้ําแข็งพันมายาที่จะถือกําเนิดขึ้นในเผ่าจิ้งจอกมาทุกๆในรอบล้าน”

เสี่ยวจนกล่าวตอบออกมาเร็วไว

“จิ้งจอกน้ําแข็งพันมายา!?”

เชวียอวิ๋นเทียนพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะละสายตาออกมา หันไปมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “น้องชายหลิงเทียน ต้องขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยให้ยาโถวเสี่ยวจินประสบความสําเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต”

“เสี่ยวจินเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆของข้า ข้าต้องช่วยนางอยู่แล้ว จ้าวหุบไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว

“จะอย่างไร การที่เสียวจินวิวัฒนาการเป็นหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกได้สําเร็จ ก็มีความหมายสําหรับหุบจันทร์โลหิตของพวกเราอย่างใหญ่หลวง วันหน้าเมื่อนางเติบโตขึ้น หีบจันทร์โลหิตของพวกเราจักรุ่งโรจน์ขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างในอดีตหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว!”

แววตาของเชวียอวิ๋นเทียนฉายชัดถึงความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า เพราะย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่บรรพบุรุษผู้ที่เป็นหนูเทพสังหาร 9 โยวโลกก่อตั้งหีบจันทร์โลหิตนั้นได้ ทําให้หุบจันทร์โลหิตอยู่ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด!

ในช่วงเวลานั้น แม้แต่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ในระนาบเทวโลกต่างๆ ยังไม่กล้าล่วงเกินหุบจันทร์โลหิตโดยง่าย!

และในตอนนั้น บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งหุบจันทร์โลหิต ยังปะทะกับจักรพรรดิสวรรค์แห่งว่านโช่วเทียน และอาศัยเพียง 3 กระบวนท่าก็เข่นฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ยุคนั้นลงได้ จนกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งว่านโช่วเทียน นําพาหุบจันทร์โลหิตถือครองเกียรติยศอันสูงสุด

ต่อมาภายหลัง เมื่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งทะลวงผ่านขอบเขตจักรพรรดิอมตะสู่ขอบเขตเทพ และไปยังระนาบเทพ แม้หุบจันทร์โลหิตจะไม่ถือว่าถดถอยด้อยลง

อย่างไรก็ตาม หุบจันทร์โลหิตที่ไร้ซึ่งหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก ความแข็งแกร่งโดย รวมก็ถือว่าด้อยกว่าครั้งยังรุ่งโรจน์มาก

ถึงแม้ภายหลังจะปรากฏยอดฝีมือที่ร้ายกาจขึ้นมามากมาย แต่พลังอํานาจก็ไม่ถึงขั้นตัวตนระดับยุทธวิธี และส่งผลในเชิงกลยุทธ์เท่ากับหนูเทพสังหาร 9 ยมโลก ยากจะทําให้หุบจันทร์โลหิตถือครองความยิ่งใหญ่อย่างในอดีต

ทว่าตอนนี้หุบจันทร์โลหิตได้ปรากฎหนูเทพสังหาร 9 ยมโลกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากสัญญาณการหวนกลับมาครองบัลลังก์สูงสุดอย่างในอดีตอีกครา!

โชคดีนักที่หุบจันทร์โลหิตไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกับเผ่ามังกร แม้พวกเราจะไม่ถือว่าเป็นพันธมิตรอะไรกัน แต่ก็มักอยู่อย่างสันติมาโดยตลอด…หาไม่แล้วเกรงว่าเสี่ยวจินคงไม่อาจรอดมาได้ถึงวันนี้

เชวียอวิ๋นเทียนลอบกล่าวในใจ

มันรู้ดีแก่ใจ ว่าถ้าหากเผ่ามังกรกับหุบจันทร์โลหิตมีเรื่องราวบาดหมางใดกันขึ้นมา อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมให้หนูเทพสังหาร 9 ยมโลกมีชีวิตอยู่แน่นอน!

“ผู้อาวุโสอวี่เหนียน บุญคุณของเผ่ามังกรท่านครั้งนี้ ข้าเชวียอวิ๋นเทียนซาบซึ้งนัก”

เขวียอวิ๋นเทียนหันไปมองอาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรจื้อเหนียน พลางกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “ขอบคุณพวกท่านอย่างยิ่งที่ช่วยดูแลเสี่ยวจินมาโดยตลอด”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด