War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3413

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ ตอนที่ 3413 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 3,413 : จักรพรรดิอมตะหนามม่วง
  ในสายตาของต้วนหลิงเทียนการตายของไป๋ลี่หงและสหายคนอื่นๆ คิดไปคิดมาแล้วสุดท้ายก็หนีไม่พ้นอวิ๋นชิงเหยียน ที่จับตัวทุกคนไปยังดินแดนการล่มสลายของทวยเทพ
  หาไม่แล้วป่านนี้ไป๋ลี่หงและคนอื่นๆก็คงอยู่เสพย์สุขใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลที่ระนาบเซียน
  เพราะตราบใดที่ทุกคนอยู่ในระนาบเซียน ก็จะปลอดภัยไร้อันตรายใดๆทั้งสิ้น
  ‘เหลือเวลาไม่ถึง 700 ปีแล้ว…หลังจากช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ ข้าต้องเร่งเข้าสู่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพทันที ยังต้องเร่งบ่มเพาะในขอบเขตเทพเพื่อให้มีกำลังมากพอช่วยเค่อเอ๋อ และทวงความเป็นธรรมให้ทุกคนที่ตกตาย!’
  สำหรับพวกไป๋ลี่หงและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดกับทุกคนเหลือเกิน และตอนนี้ความรู้สึกผิดดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นแสนสาหัส!
  ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งในใจ ตลอดการเดินทางต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
  และลี่เฟยก็เข้าใจความรู้สึกของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่กุมมือต้วนลิงเทียนเอาไว้เงียบๆไม่พูดอะไร
  ‘บางที…คงมีแต่ชายหนุ่มที่มีลักษณะเหนือคนธรรมดาเช่นนี้ จึงจะคู่ควรกับคุณหนูเฟยเอ๋อ’
  โฉมสะคราญนั้นก็เหินร่างติดตามลี่เฟยมาและอยู่ไม่ห่างผู้เฒ่าหั่วมากเท่าไหร่ นางเอาแต่จับจ้องมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย ลอบกล่าวในใจอย่างชื่นชม
  ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า
  แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ ความรู้สึกที่ส่งออกมา รวมถึงลักษณะท่วงท่านั่น ไม่คล้ายชายหนุ่มในวัยเดียวกันที่นางพบมาก่อน อีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย ผิดกับพวกคุณชายที่ชาติตระกูลสูงส่งทั้งหลายมาก
  เพราะเท่าที่นางทราบมา
  คุณหนูเฟยเอ๋อของนาง ยังพึ่งมีอายุได้ 300 ปีเศษๆเท่านั้น สามีที่คบหากันตั้งแต่ระนาบโลกียะเองก็สมควรมีวัยไล่เลี่ยกัน และอยู่ในช่วง 300 ปีเศษ
  อายุได้ 300 ปีเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
  ไม่นานนัก ภายใต้การนำทางของลี่เฟย ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างทะลุแพเมฆหนาที่ลอยล่องอยู่เหนือมหาสมุทรสุดไพศาล จนเกาะลอยฟ้ามหึมาปานทวีปย่อมๆได้ประจักษ์สู่สายตา
  “ตัวเลวร้าย เบื้องหน้าเจ้าก็เป็นที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแล้ว”
  ลี่เฟยเอ่ยแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
  เดิมทีระหว่างเดินทางลี่เฟยก็มีเรื่องราววมากมายคิดถามไถ่ต้วนหลิงเทียน อย่างไรก็ตามนางย่อมมองเห็นชัดเจนว่าชายคู่ชีวิตมีอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงไม่เอ่ยกวนใจอะไรอีกฝ่ายตลอดการเดินทาง
  “อือ”
  ต้วนหลิงเทียนเงยหน้ากวาดตามองเกาะลอยฟ้ามหึมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ก้มลงมองแพเมฆขาวเบื้องล่าง ฉากดังกล่าวละม้ายคล้ายพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกอื่นที่เขาเคยเห็นมาบ้าง
  อย่างน้อยๆก็มีพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนที่หนึ่ง
  พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียน เรียกว่าตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้าขนาดมหึมาดุจเดียวกัน และส่วนที่ต่างจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้ ก็คือเกาะที่นั่นลอยอยู่เหนือที่ราบทุ่งหญ้าสุดไพศาล ทว่าเกาะที่นี่มันลอยเหนือมหาสมุทร
  “ตัวเลวร้าย ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ของข้าก่อน”
  ถึงแม้จะมีเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ลี่เฟยก็ประหม่าไม่น้อย เสมือนเด็กสาวชาวโลกพาแฟนหนุ่มเข้าบ้าน หมายเปิดตัวให้พ่อแม่และครอบครัวรู้จักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
  ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิอมตะหนามม่วงดีกับนางเหลือเกิน แทบไม่ต่างอะไรจากมารดาแท้ๆเลย
  อีกทั้งระยะเวลาที่ลี่เฟยใช้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็เนิ่นนานกว่าผู้อาวุโสคนไหนในอดีต…ยังยาวนานเสียยิ่งกว่าเวลาที่ใช้อยู่ร่วมกับต้วนหลิงเทียนหลายเท่า
  ที่สำคัญก็คือลี่เฟยในตอนเด็กนั้นเติบโตมากับท่านปู่ และด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทำให้นางไม่แม้แต่จะมีโอกาสเห็นหน้าพ่อแม่ด้วยซ้ำ เช่นนั้นพอได้รับการดูแลอย่างดีจากจักรพรรดิอมตะหนามม่วง นางก็ยึดถือจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเป็นดั่งมารดาแท้ๆ
  ด้วยเหตุนี้นางก็เลยบังเกิดความประหม่า ยามพาสามีมาเปิดตัวกับผู้ที่เป็นดั่งมารดา
  “เบื้องหน้าก็เป็นที่พักของท่านอาจารย์แล้วล่ะ…”
  ตลอดทางที่ลี่เฟยพาต้วนหลิงงเทียนเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียน จะหน้าประตูก็ดี หรือผ่านอาคารส่วนกลางใดๆก็ดี ล้วนราบรื่นไร้ผู้ใดขวางขัดหยุดตรวจ เพราะผู้คนในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนรู้จักลี่เฟยกันดี และไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ำยามพบเจอก็ทักทายลี่เฟยด้วยความสุภาพเคารพว่า ‘คุณหนูลี่เฟย’ ทั้งนั้น….
  เพราะศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสววรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน มีอยู่ด้วยกันแค่ 3 คนเท่านั้น และอาจารย์ของลี่เฟย จักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คือศิษย์คนเล็ก และยังเป็นศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย แต่นี้ต่อไปจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนไม่คิดรับศิษย์อีกแล้ว
  สถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาอันเต็มไปด้วยความร่มรื่น ลานตาไปด้วยสีสันแห่งธรรมชาติอันเขียวขจี แว่วเสียงสกุณาขับขานเจื้อยแจ้ว จรรโลงใจให้พบความสงบ ยังมีเหล่าวิหกอมตะเชื่องๆฝูงหนึ่งโผบินมาฉวัดเฉวียนรายล้อม เป็นการต้อนรับลี่เฟยอย่างซุกซน
  “คุณหนูเฟยเอ๋อ”
  “คุณหนูเฟยเอ๋อ”
  …
  เรียกว่าวิหกฝูงนี้เฉลียวฉลาดและน่ารักยิ่ง พวกมันมาชอบแวะมาหาลี่เฟยเสมอ พอมาถึงก็กล่าวทักเสียงเจื้อแจ้วทันที
  ลี่เฟยพอเห็นก็โบกมือเบาๆด้วยรอยยิ้ม
  “คุณหนูเฟยเอ๋อ นี่คือบุรุษที่ท่านกล่าวถึงอยู่เสมอรึเปล่าเจ้าคะ”
  วิหกตัวสีแดงสดที่เป็นจ่าฝูงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ สองตากลมใสชมมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ “ก่อนหน้าคุณหนูบอกว่าท่านมีสามีแล้ว พวกเราไม่เชื่อกันเลย…ดูเหมือนว่าคุณหนูไม่ได้หลอกพวกเราจริงๆด้วย”
  “เอ๋า แล้วข้าจะไปหลอกพวกเจ้าทำไมเล่า”
  ลี่เฟยส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะ จากนั้นก็แนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก “ตัวเลวร้าย เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์น้องจอมซนของข้าก็ว่าได้…พวกนางถือได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน”
  “ฮิฮิ!”
  จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น วิหกน้อยแต่ละตัวเปล่งแสงสว่างจ้า ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มเด็กสาว บ้างโตวัยประถมบ้างยังเป็นเด็กน้อย โร่มามองสำรวจต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ว้าว นี่คือสามีของคุณหนูลี่เฟยเหรอ หล่อเหลายิ่ง ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนของพวกเราไม่เห็นจะมีใครหล่อเท่านี้เลย”
  ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เข้าใจความรู้สึกของเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ยามพบเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว…
  ต่อหน้ากลุ่มสาวน้อยไม่เดียงสา ต้วนหลิงเทียนแม้จะไม่คุ้นชินกับสายตาของพวกนางเท่าไหร่ แต่ก็ยังยิ้มทักทายออกไปอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณทุกคนมาก ที่คอยช่วยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อมาหลายปี…”
  “เอาล่ะ พวกเจ้าพอได้แล้ว ไปเล่นที่อื่นเสีย”
  ตอนนี้เองโฉมสะคราญที่ติดตามมาด้านหลังลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียน ก็กล่าวขึ้น “คุณหนู…ยังต้องพาสามีไปพบใต้เท้าจักรพรรดิอมตะอีก”
  พอโฉมสะคราญเอ่ยจบคำ เหล่าเด็กสาวน้อยใหญ่ก็ร้องโอ้ว จากนั้นก็หวนคืนสู่ร่างวิหกพากันโผบินหายไปทันที ทิ้งไว้แต่เสียงเจื้อยแจ้วแว่วดังว่า หล่อมาก น่าดูยิ่ง…ฯลฯ
  ต่อมาลี่เฟยก็พาต้วนหลิงเทียนเข้าไปในหุบเขา
  แรกเข้าหุบเขา กลิ่นหอมจรุงก็โชยเตะจมูกต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น ให้ความรู้สึกคล้ายบุปผาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เชิง ยังมีกลิ่นเข้มขนราวกับสุราหมักชั้นดี เพียงแค่สูดดมก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจิตสงบอย่างบอกไม่ถูก
  และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงลี่เฟยพลันดังขึ้น “นี่เป็นกลิ่นของสุราหมื่นบุปผาอมตะ เป็นสุราอมตะที่ท่านอาจารย์หมักเอง…”
  “บุปผาอมตะที่นำมาใช้หมักสุรานั้นปกติแล้วก็มีพลังวิญญาณ…ท่านอาจารย์เองก็ปลูกบุปผาอมตะเหล่านี้เอาไว้เป็นพิเศษ…และหากบุปผาอมตะต้นไหนเผยให้เห็นศักยภาพการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินไม่ธรรมดา ท่านอาจารย์ก็จะนำไปดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้สักวันจะก่อเกิดสำนึกสติและสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”
  “ศิษย์พี่ของข้าคนหนึ่งก็เป็นบุปผาอมตะที่ท่านอาจารย์ปลูกกับมือ…หลังจากจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็คอยอบรมสั่งสอน จนวันนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามไปแล้ว ทว่าปกตินางไม่ค่อยอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สักเท่าไหร่…”
  ลี่เฟยกล่าว
  “อ้อ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ
  จากนั้นหลังเหินตามลี่เฟยต่อไปได้สักพัก เขาก็ตระหนักว่าโฉมสะคราญที่ติดตามพวกเขามาตลอดทาง ไม่ได้เหินตามมาอีกต่อไป
  ทว่าด้านผู้เฒ่าหั่วก็ยังคงเหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนมาติดๆ เพราะมีหน้าที่คอยปกป้องดูแลรักษาความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน
  ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วมีสัมพันธ์อันดีกับต้วนหลิงเทียนตั้งแต่ในอดีต ตอนนี้ด้วยความเมตตาของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็มากพอให้ผู้เฒ่าหั่วถวายตัวรับใช้ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของผู้มีพระคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้แล้ว
  ผู้เฒ่าหั่วรู้ดี..
  ด้วยความแข็งแกร่งของงจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน การช่วยมันไม่ถือว่าลงแรงอะไรมากมายเลย แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ…เกรงว่ามันก็คงไม่อาจกลับมามีชีวิตและได้รับอิสระอย่างวันนี้อีกครั้ง
  และภายใต้การนำของลี่เฟย ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงบริเวณแปลงบุปผาอมตะ ในลานด้านหลังของบ้านลานเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ปลูกสร้างไว้ในส่วนลึกของหุบเขา
  จักรพรรดิอมตะหนามม่วงยังมีรูปลักษณ์เสมือนดรุณีวัย 20 ต้นๆ รูปร่างค่อนข้างสูงเพรียว หากแต่แลดูสง่างามไม่เก้งก้าง มองไปพบว่านางก็กำลังก้มตัวง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่าง หากเขาจำไม่ผิดดูเหมือนนางจะกำลังทาบกิ่งหรือติดตาอะไรทำนองนั้น
  “ท่านอาจารย์”
  จนเมื่อลี่เฟยพาต้วนหลิงเทียนเดินตัดลานเข้ามาห่างแปลงบุปผาไม่ไกลและคำนับทักทายนาง จักรพรรดิอมมตะหนามม่วงจึงลุกขึ้นยืนและหันกลับมามองลี่เฟย
  และพอนางเหลือบมามองต้วนหลิงเทียน ดวงตาที่เฉยเมยก็ฉายประกายเรืองขึ้นอย่างหาได้ยาก “เฟยเอ๋อ…นี่คือสามีเจ้าหรือ?”
  ตั้งแต่ตอนที่ลี่เฟยกับต้วนหลิงเทียนได้พบกันอีกครั้ง จักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็ได้รับทราบเรื่องราวจากโฉมสะคราญที่ติดตามลี่เฟยไปเรียบร้อยแล้ว
  “ใช่ค่ะ อาจารย์”
  ลี่เฟยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคารพ “เขาคือสามีข้า เรียกว่าต้วนหลิงเทียน”
  แทบจะพร้อมกันกับบที่ลี่เฟยกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานโค้งคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วงปานผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
  “อีกทั้งข้าต้วนหลิงเทียน ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิอมตะหนามม่วงมาก ที่คอยดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อตลอดหลายปีที่ผ่าน…วันหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนด้วยกำลังทั้งหมดที่ข้ามี!”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าว
  “อืม”
  จักรพรรดิอมตะหนามม่วงรับคำเสียงแผ่ว “ในเมื่อเจ้าเป็นสามีของเฟยเอ๋อ เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็พักอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแห่งนี้เถอะ เฟยเอ๋อได้พบเจ้าแล้วแบบนี้ หากต้องแยกจากเจ้าอีกครั้ง ข้าเกรงว่านางจะไม่มีกะจิตกะใจฝึกปรือ…”
  “แต่…ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือของเฟยเอ๋อ เพราะหากไม่มีอันใดผิดพลาดความสำเร็จของเฟยเอ๋อ วันหน้าย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าข้าแน่”
  ฟังจากคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง เห็นได้ชัดว่านางตีค่าลี่เฟยไว้สูงมาก
  และคำพูดของนางก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงไม่อนุญาตให้สงสัยคลางแคลง ราวกับว่าต้วนหลิงเทียนจำต้องปฏิบัติตามคำพูดของนางอย่างเคร่งครัดไม่อาจขัดขืน
  ได้ยินคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง หากแต่ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้มยินดี เพราะสิ่งนี้เผยให้รู้ว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเอาใจใส่ลี่เฟยมากจริงๆ
  อย่างไรก็ตามความหวังดีของนางที่มีต่อลี่เฟย ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจเท่านั้น
  “จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
  ต้วนหลิงเทียนมองสบตาจักรพรรดิอมตะหนามม่วง จากนั้นก็กล่าววออกด้วยน้ำเสียงท่าทางไม่นอบน้อมแต่ไม่ถือดี “ที่ข้ามาพบท่านวันนี้ ประการแรกข้าอยากจะขอบคุณที่ท่านเมตตาดูแลเสี่ยวเฟยเอ๋อเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่าน…ประการที่ 2 ข้าคิดพาเสี่ยวเฟยเอ๋อมาร่ำลาท่าน เพราะในเมื่อข้าพบเจอนางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจากนางอีกครั้ง เช่นนั้นข้าจึงคิดพานางกลับไปฝึกฝนบ่มเพาะกับข้า”
  “หืม? เจ้าคิดจะพาเฟยเอ๋อจากไปงั้นรึ?”
  แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก็คล้ายจะถูกฉาบไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งทันที
  ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังยะเยือกขุมหนึ่งก็กำจายออกมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่เพียงแค่ลานบ้านเท่านั้นแต่เป็นทั่วทั้งหุบเขา! ก่อเกิดน้ำค้างแข็งจับตัวไปทุกแห่งหน!!
  เพียงเวลาชั่วพริบตา อุณหภูมิโดยรอบก็ลดต่ำลงหลายองศา!
  ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!
  …
  ด้วยไอพลังเยียบเย็นที่แผ่ปกคลุมไปในบรรยากาศ ไม่ต้องให้ใครบอกต้วนหลิงเทียนก็รู้ได้ทันทีว่าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเชี่ยวชาญกฏน้ำแข็ง
  หนึ่งโทสะ แช่แข็งไปพันลี้!
  “ท่านอาจารย์!!”
  สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์จะมีโทสะขนาดนี้ ขณะเดียวกันนางก็ทำอะไรไม่ถูก เรื่องนี้ตัวเลวร้ายดันไม่ปรึกษากับนางก่อนเลย อยู่ๆก็เอามาพูดกับอาจารย์โดยตรง!
  ลี่เฟยรู้ดี ว่าอาจารย์ตั้งความหวังไว้กับตัวนางมากขนาดไหน
  ตอนนี้ไม่พ้นอาจารย์ต้องกำลังคิดว่า หากนางติดตามสามีไป อนาคตอันใดของนางล้วนจบสิ้น ความหวังทั้งมวลเป็นอันต้องพังทลายแน่แท้!!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด