ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 6 ความจนขัดขวางความฝันของผม

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 6 ความจนขัดขวางความฝันของผม อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 6 ความจนขัดขวางความฝันของผม

จิ่งหูหยวน

ตึกแถวที่ 6 ห้อง 101

ฟางผิงกลับถึงบ้าน ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ ของเขา

ฟางหยวนเคาะประตูเสียงดังอยู่หลายครั้ง แต่ฟางผิงก็ไม่ตอบอะไร ทำเอาฟางหยวนคิดอยากจะพังประตูเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด

ตอนนี้ฟางผิงไม่มาสนใจหรอกว่าฟางหยวนโกรธหรือไม่

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ถอนเงินนั้น เป็นเพราะมีบางอย่างที่เขาไม่ชัดเจน ฟางผิงเลยหาทางทดสอบไงเล่า

ในห้องเล็กๆ

เงินหนึ่งหมื่นหยวนที่ถอนมา ฟางผิงเอามันวางไว้ข้างมือด้านซ้าย ส่วนด้านขวามีแบงก์สิบหยวนที่เป็นเงินของเขาเอง

เวลานี้ฟางผิงได้สติขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงทำหน้าทำตาสงสัยอยู่

ช่วงเวลาที่ถอนเงินหน้าตู้เอทีเอ็ม ดึงเงินสองพันหยวนมาไว้ในมือ

จะมองอะไรก็พร่าไปหมด ไม่รู้ว่ากระจกตามีปัญหาหรือยังไง แต่ในทันทีทันใดก็เหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมา

ตอนนั้นแหละที่ฟางผิงชะงักไป

ไม่ใช่อาการตามัวอีกแล้ว สายตาของเขาเห็นตัวอักษรไม่กี่แถวเล็กๆ โผล่ขึ้นมา

ฟางผิงยังคงจำได้ อักษรสามแถวที่ปรากฏคือ

ทรัพย์สิน : 2000

ปราณ : 1

จิตใจ : 1

ตัวอักษรไม่กี่แถว ทั้งยังเป็นคำที่เข้าใจง่าย สิ่งที่ฟางผิงคิดได้อย่างแรกก็คือนี่เป็นระบบอะไรสักอย่าง

ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับฟางผิงหรอก ถึงจะไม่เคยประสบพบเจอ แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง

แต่ฟางผิงกลับพบว่า สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าตัวเองดูเรียบง่ายเกินไป!

แค่ตัวอักษรไม่กี่แถว ไม่มีคำอธิบายหรือชี้แจงเพิ่มเติม ยุคสมัยไหนแล้ว ระบบยังไม่พัฒนาอีก?

หรือว่า นี่จะเป็นของเกรดต่ำที่เกิดจากสายพานการผลิต?

ทั้งยังปรากฏอย่างกะทันหัน ไม่ให้ฟางผิงได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย

หากสิ่งนี้ปรากฏขึ้นเมื่อวานยามที่เขาตื่นขึ้นมาในห้องเรียน ฟางผิงก็คงยอมรับได้ง่ายกว่า ไฉนผ่านมาเป็นวันแล้ว ถึงเพิ่งปรากฏขึ้น?

นึกเชื่อมโยงกับคำว่าทรัพย์สินสองพัน ยามนั้นฟางผิงก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ทันที

เพื่อจะมั่นใจว่าตัวอักษรนี้เกี่ยวข้องกับเงินทองหรือไม่ ฟางผิงจึงได้ทดสอบที่หน้าตู้เอทีเอ็มทันที

ผลลัพธ์เป็นดังที่เขาคาด เมื่อถอนเงินจากตู้ออกมา ทรัพย์สินเบื้องหน้าของเขาก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

ยามนี้ฟางผิงจึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าทรัพย์สิน

แต่เมื่อทดสอบหลายครั้ง ฟางผิงก็ยังมีหลายสิ่งที่ไม่เข้าใจ

อย่างเช่นว่า อย่างแรกเมื่อวานเขามีเงินยี่สิบแปดหยวนติดตัว ยามนี้ยังเหลือสิบหยวนกลับมา

แต่เมื่อวานกลับไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น?

ครุ่นคิดอยู่ค่อนวัน รวมทั้งในมือตัวเองยังเหลือเงินอีกสิบหยวนที่ไม่ถูกระบบรวมเข้าไปอยู่ในรายการทรัพย์สิน ฟางผิงจึงเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

หากจะพูดง่ายๆ ก็คือ…เขาจนเกินไป!

ระบบอาจตั้งค่ากำหนดเงินขั้นต่ำเอาไว้

เงินต่ำกว่าหนึ่งร้อยหยวนจึงไม่ถูกรวม หากเปลี่ยนเป็นคนเกิดใหม่ที่มีเงินเกินหนึ่งร้อยหยวน เกรงว่าเมื่อวานก็พอจะสังเกตได้แล้ว

แต่ฟางผิงนั้นจนเหลือเกิน!

หากไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องถอนเงินมาใช้สมัครสอบ จากสถานการณ์ของเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พ่อแม่จะให้เงินหนึ่งร้อยหยวนในครั้งเดียว

ฟางผิงอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเจอสิ่งนี้เลยก็ว่าได้

เมื่อวานฟางผิงยังก่นด่าว่าสวรรค์ไม่มีหูมีตา ทำร้ายตัวเองจนมีชีวิตใหม่เช่นนี้

หันกลับมาดูตอนนี้ ประเด็นมันอยู่ที่เขาเป็นคนจนต่างหาก

“ตัวต้นเหตุก็คือความจน!”

เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ได้ ฟางผิงก็ทอดถอนหายใจ ยุคสมัยนี้แล้ว กระทั่งสวรรค์ก็ยังดูแคลนคนจน

เคยคำนึกถึงความรู้สึกเขาบ้างรึเปล่า?

หากว่าเขาไม่มีโอกาสได้จับเงินหนึ่งร้อยหยวน ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เห็นระบบนี้เลยหรืออย่างไร?

แน่นอนว่านี่มีความเป็นไปได้น้อย

เป็นเพียงข้อสงสัยแรกเท่านั้น

อย่างที่สอง ยามที่ฟางผิงถอนเงิน ก็พบความแตกต่างอยู่เล็กน้อย

ยามที่ทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงหนึ่งหมื่นหยวน ฟางผิงก็ถอนเงินจากบัตรมาเล็กน้อยอีกครั้ง แต่คราวนี้ทรัพย์สินกลับไม่เพิ่มอีกแล้ว!

ทดสอบหลายต่อหลายครั้ง ทรัพย์สินก็ยังหยุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นหยวนไม่ขยับไปไหน

เพราะตัวอักษรไม่กี่แถว ทั้งในสมองของเขาก็ไม่ได้ปรากฏเสียงอะไรไขข้อสงสัยให้ตัวเอง ไม่มีข้อความอธิบาย ฟางผิงทำได้เพียงตัดสินเอาเอง

ตามความเข้าใจของฟางผิง เงินหนึ่งหมื่นหยวนที่ถอนออกมา เพราะเป็นเงินที่พ่อแม่ให้ตัวเองใช้สมัครสอบ จึงนับว่าเป็นเงินของตัวเอง

หากไปถอนเงินพวกนั้นออกมา ก็คงจะเป็นของพ่อแม่

ทรัพย์สินรวมนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นทรัพย์สินของตัวเขาเอง

ไม่อย่างนั้นฟางผิงคิดว่า หากไปจับเงินเรื่อยเปื่อย ก็คงจะถูกรวมอยู่ในทรัพย์สินของตัวเองแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนั้นตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปทำงานธนาคารให้รู้แล้วรู้รอด หรือหางานที่ได้สัมผัสเงินก็เพียงพอแล้ว

แม้ว่าจะไม่ไปธนาคาร อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเงินทองในสังคมก็ยังมีมากมาย บางอาชีพยังไม่ต้องการมาตรฐานที่สูงนัก

เขาสามารถอาศัยงานพวกนี้เพิ่มพูนทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่ายามนี้เขาจะไม่ได้เข้าใจการเพิ่มทรัพย์สินของตัวเองชัดเจนเท่าไรก็ตาม

ไม่ชัดเจนไม่เป็นไร ฟางผิงรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เพียงพอแล้ว

“ตัวเลขนั้นคำนวณทรัพย์สินของตัวเอง แม้เจ้าสิ่งนี้จะล้ำสมัย กลับดูขัดๆ กับระบบที่เรียบง่ายนี้ แต่ก็พอฝืนยอมรับได้”

ฟางผิงบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “แค่เงินอย่างเดียว หรือรวมถึงสิ่งของมีค่าด้วย? อย่างเช่นอัญมณีเพชรพลอย?”

ยามที่มีเงินน้อย เงินสดยังไม่มีผล แต่เมื่อเงินมากแล้ว คงจะไม่ได้รวมแต่เงินสดอย่างเดียวหรือเปล่า

อีกอย่าง ทุกครั้งที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เขาต้องสัมผัสด้วยตัวเองอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ?

แต่สังคมในปัจจุบันนี้มีหุ้น สกุลเงินดิจิทัล ของพวกนี้เป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ ไร้ทางที่จะสัมผัส?

ฟางผิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะข้อจำกัดด้านฐานะ จึงทำให้เขาไม่อาจสรุปได้

หากเขามีเพชรพลอยแหวนทองในมือ ก็คงตอบข้อสงสัยได้

ของพวกนี้ทำได้เพียงรอให้ทดสอบทีหลังเท่านั้น

“ความจนช่างขัดขวางความฝันของผมจริงๆ…”

ฟางผิงรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เขาไม่ได้รีบร้อนจะพิสูจน์เรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นในไม่เร็วก็ช้าอยู่แล้ว

นอกจากข้อสงสัยสองอย่างที่เขาสรุปออกมา ฟางผิงยังตระหนักถึงอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือผลรวมของทรัพย์สิน เป็นแค่การคำนวณเงินอย่างเดียวหรือรวมถึงเงินที่ยืมมาด้วย?

ฟังแล้วดูขัดแย้งอยู่บ้าง แต่นี่โยงไปถึงการกระทำที่ฟางผิงจะดำเนินหลังจากนี้

ครั้งนี้เป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนที่พ่อแม่มอบให้ นับว่าเป็นของรางวัล ไม่อาจริบคืนไป

แต่ยังไงก็ไม่ใช่เงินที่ตัวเองหามา หากเป็นเงินของตัวเองคงไม่เป็นปัญหา แล้วถ้าเป็นเงินที่ตัวเองยืมมา ยังจะถือเป็นเงินของตัวเองหรือเปล่า?

อีกอย่าง หลังจากใช้เงินนี้เป็นค่าสมัครสอบแล้ว ทรัพย์สินจะถูกหักหรือไม่?

มีเงินต้องใช้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา

หากใช้เงินแล้วทรัพย์สินนี้ถูกหัก เช่นนั้นหากฟางผิงอยากเก็บเงินก้อนโต หลังจากนี้ไปคงต้องเป็นคนขี้เหนียวแล้ว

ทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะข้อจำกัดเรื่องเงิน ฟางผิงจึงไม่อาจหาคำตอบที่แน่นอนทันที ทำได้เพียงรอภายหลัง

แต่สิ่งที่ทำให้ฟางผิงสนใจยังคงเป็นค่าปราณและจิตใจ

ความจริงฟางผิงคาดเดาถึงบางอย่างได้แล้ว

คำว่าปราณและจิตใจ ตอนที่เขาเล่นเน็ตเมื่อวาน ก็เห็นมาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

แม้ว่ายามนี้จะมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่คนกลุ่มน้อยเช่นกัน

รวมทั้งปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารฉับไว ในอินเตอร์มักจะมีสิ่งต่างๆ ถูกเผยแพร่ออกมา

แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา ก็เข้าใจเช่นกันว่า ปราณและจิตใจนั้นเป็นพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์

ผู้ฝึกยุทธ์อันดับล่าง ค่าจิตใจก็จะน้อย ไม่เป็นที่สนใจเท่าใด

แต่มีความเห็นในบางเว็บคิดว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง โดยเฉพาะระดับปรมาจารย์ ความแตกต่างหลักๆ กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างก็คือค่าจิตใจ

แต่สิ่งนี้ยังห่างไกลจากฟางผิงอยู่มาก สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง เรื่องที่สำคัญยังคงเป็นค่าปราณ

พลังปราณเพียงพอ โรคภัยย่อมไม่เบียดเบียน!

แม้ว่าชาติก่อน ฟางผิงจะคุ้นเคยสิ่งนี้มาบ้าง ทั้งแพทย์แผนจีนก็มีการแก้ไขปัญหาสุขภาพโดยการบำรุงปราณเช่นกัน

คนที่มีลมปราณดี ร่างกายก็จะแข็งแรงกว่าคนอื่น

สิ่งที่มักจะบำรุงกันก็คือลมปราณ

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ หรือผู้ที่วางแผนจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์นั้น คนที่มีลมปราณสมบูรณ์ใช่ว่าต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์เสมอไป แต่ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเป็นคนที่มีลมปราณสมบูรณ์เท่านั้น!

เรียนวรยุทธ์ไม่ใช่การนั่งสมาธิ ยังมีความแตกต่างกับลัทธิเต๋าอยู่มากโข

ที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ก็คือคนธรรมดาที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด ทะลวงข้อจำกัดร่างกายของคนทั่วไป นี่คือที่มาของผู้ฝึกยุทธ์

มีลมปราณที่สนับสนุนเพียงพอ ร่างกายแข็งแรง ทนต่อการสิ้นเปลืองพลังงานได้ นี่จึงเป็นพื้นฐานของความแข็งแกร่ง

“ก็หมายความว่า หากเพิ่มพลังปราณ ฉันก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ง่ายขึ้น หลังจากเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก็จะปรับตัวกับการฝึกฝนได้ดีกว่า ค่อยๆ ทะลวงไปทีละขั้น…”

ฟางผิงพึมพำ ก่อนจะถามเองตอบเอง “ในเมื่อทรัพย์สิน พลังปราณและจิตใจล้วนมีหน่วยนับ นั่นไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนกันได้หรอกเหรอ? สัดส่วนการแลกเปลี่ยนนั้นคิดยังไงกัน?”

หนึ่งต่อหนึ่งอย่างนั้นหรือ ฟางผิงไม่รู้เหมือนกัน

ยามนี้ ค่าปราณและจิตใจของเขาต่างก็เป็นหนึ่ง

หากใส่อัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าเงินหนึ่งหยวนจะสามารถเพิ่มปราณของตัวเองให้มากกว่าคนธรรมดาหนึ่งเท่าหรอกหรือ ตีฟางผิงให้ตาย เขาก็ไม่เชื่อว่าเรื่องจะง่ายดายเช่นนี้

“เช่นนั้นต้องแลกเปลี่ยนยังไงกัน?”

ขณะที่ฟางผิงพูด ก็เอ่ยอย่างจนใจ “ยังไงก็ให้หนังสือคู่มือสักเล่มสิ คลำเอาเองแบบนี้ปวดหัวเกินไปแล้ว”

ยามนี้ฟางผิง ขอเพียงแค่พุ่งสมาธิไปมอง ก็จะสามารถเห็นตัวอักษรไม่กี่แถวเบื้องหน้าทันที

ฟางผิงจ้องตัวหนังสือนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิง “ระบบ ระบบ เพิ่มค่าปราณให้ฉันหน่อยสิ?”

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

“ระบบจ๋า ฉันจะใช้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนกับค่าปราณ?”

“…”

“สวรรค์ เทพเง็กเซียน ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า? พูดอะไรสักอย่างสิ?”

“…”

“โอม จงเปิด?”

“…”

“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว?”

“…”

“สามมหาเทพ? นะโมอมิตตาพุทธ? พวกเจ้าอวยพร…”

“เง็กเซียนได้ยินหรือเปล่า!”

ลองอยู่พักใหญ่ ตัวหนังสือสามแถวนั้นก็ไม่ขยับแต่อย่างใด ฟางผิงตัดใจ ดูท่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะรวบรวมสมาธิจ้องที่ตัวหนังสือพวกนั้นอีกครั้ง อยากดูว่าด้านหลังตัวอักษรนั้นมีเครื่องหมาย ‘บวก’ ที่ตัวเองมองข้ามไปหรือไม่

น่าเสียดายที่ไม่มี

ยามนี้ฟางผิงปวดหัวอย่างยิ่ง ใช้ไม่เป็นจริงๆ หรือเพราะระบบเสียกัน?

ของสิ่งนี้สรุปเชื่อถือได้หรือเปล่า?

เขาลอบก่นด่าอยู่ในใจ ‘แกเพิ่มค่าให้สูงครั้งเดียวเลยก็ดี แต่นี่จะขึ้นก็ไม่ขึ้น ลงก็ไม่ลง เคยรับรู้ความรู้สึกฉันหรือเปล่า?’

“เพิ่มค่าปราณหน่อย ไม่งั้นฉันต้องอัดแกให้ตาย!”

ฟางผิงจ้องตัวหนังสือเบื้องหน้าพวกนั้น หลุดปากออกไป คาดไม่ถึงว่าพูดไม่ทันจบ ตัวอักษรข้างหน้าก็เปลี่ยนแปลงทันที!

ทรัพย์สิน : 0

ปราณ: 1.1

จิตใจ: 1

“ชิบหายแล้ว!”

ชั่วขณะนั้นฟางผิงก็ตะลึงงัน มีแบบนี้ด้วยเหรอ?

เจ้าสิ่งนี้ต้องข่มขู่ถึงจะยอมงั้นเหรอ?

ขณะที่กำลังตกใจ ร่างกายของฟางผิงก็บิดไปมาอย่างไม่สบายตัว

แต่ไม่นาน ความรู้สึกนี้ก็สลายหายไป

ฟางผิงถอนหายใจยาว จู่ๆ ก็รู้สึกสบายไปทั่วทั้งร่าง

หากจะพูดถึงความรู้สึก คงจะเหมือนคนที่เป็นโรคหืดหอบ ไม่ก็โรคเลือดจาง จู่ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

พูดให้เข้าใจมากกว่านี้ก็คือ คล้ายว่าแรงโน้มถ่วงของโลกจะลดลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แม้ว่าความรู้สึกนี้จะรับรู้ได้อย่างเลือนรางก็ตาม

“สบายจริงๆ!”

แม้จะค่าปราณจะเพิ่มแค่ 0.1 แต่ฟางผิงกลับรู้สึกดีกว่าการได้ดาบวิเศษมาครองเสียอีก

ความรู้สึกนี้สบายเหมือนยามที่ผู้ชายเสร็จกิจ ใช้เวลาไม่มาก ไม่นานก็สูญสลายหายไป

แม้จะหายไปก็เถอะ ฟางผิงยังคงรับรู้ได้อย่างเลือนรางอยู่ดี ร่างกายของตนเองแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง

ตัวเองถึงจะเข้าใจตัวเองมากที่สุด ชั่วพริบตาที่ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง ตัวเองย่อมรู้สึกได้

แต่เมื่อเห็นทรัพย์สินเปลี่ยนเป็นศูนย์ ฟางผิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที!

เขารู้ว่าสัดส่วนการแลกเปลี่ยนคงจะไม่สูง แต่หนึ่งแสนต่อหนึ่งก็เกินไปหรือเปล่า!

ทรัพย์สินหนึ่งหมื่นเปลี่ยนค่าปราณเพิ่มขึ้นมา 0.1 ตัวเองไม่ได้เก่งล้ำคนอื่นขึ้นมา อย่างมากก็มีปราณดีกว่าคนทั่วไปเท่านั้น

เช่นนั้นหากเขาอยากพัฒนาปราณให้ได้มาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ์ ต้องใช้ทรัพย์สินเท่าไรกัน?

นึกมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ฟางผิงก็มองไปทางโต๊ะหนังสือ รอจนเห็นแบงก์สีแดงๆ พวกนั้นยังอยู่

เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ซวยที่สุด

หากทรัพย์ถูกใช้ เงินก็หายไป เช่นนั้นเขาคงไม่รู้จะให้คำตอบกับพ่อแม่อย่างไร

ฟางผิงยื่นมือไปคว้าเงินไว้ ก่อนจะจมดิ่งในความคิดอีกครั้ง

ดูท่า หลังจากนี้เขาต้องขยันหาเงินแล้ว เห็นได้ชัดว่า อยากจะสอบสายวรยุทธ์ กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยามนี้วิธีที่ง่ายที่สุดก็คืออาศัยทรัพย์สินแลกเปลี่ยนเป็นพลังปราณ

ทั้งหากไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ แม้ว่าจะสอบสายวรยุทธ์ อยากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ก็จำเป็นต้องใช้เงินทองจำนวนมากซื้อทรัพยากรอยู่ดี

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนหนีไม่พ้นเงิน

“สรุปแล้ว คนจนนั้นไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนเป็นคนแข็งแกร่งจริงๆ นี่มันบีบให้ฉันคิดวิธีหาเงินชัดๆ!”

———————

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด