ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 107.2 หาเรื่องก็ต้องมีเหตุผลด้วย (2)

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 107.2 หาเรื่องก็ต้องมีเหตุผลด้วย (2) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 107 หาเรื่องก็ต้องมีเหตุผลด้วย (2)

โรงอาหารแห่งที่สอง

ฟางผิงและฟู่ชางติ่งตรงดิ่งไปชั้นสองทันที รอจนขึ้นมาแล้ว ฟางผิงค่อยพบว่าที่นี่ไม่ได้ขาดคนเลย ตรงกันข้ามมีแต่คนเต็มไปหมด!

ฟางผิงกวาดสายตามองรอบๆ หาที่ว่างได้มุมหนึ่ง

ตอนที่สั่งอาหาร เขารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง

ซุปเห็ดเป๋าฮื้อและเห็ดหลินจือ 1888 หยวน

ปลิงทะเลตุ๋น 2888 หยวน

ซุปโสมไก่ดำ 3999 หยวน

สเต็กย่าง 1999 หยวน

“จะปล้นกันหรือไง?”

ฟางผิงอดด่าไม่ได้ แพงอะไรขนาดนี้ หมูเห็ดเป็ดไก่ของที่นี่ฝึกยุทธ์กันมาหรือไง?

ฟู่ชางติ่งกลับไม่แปลกใจ หัวเราะลั่น “ยังพอได้น่า ไม่ถือว่าแพงเกินไป ความจริงโรงอาหารพิเศษของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ล้วนผสมของพวกนี้ลงในอาหารอยู่แล้ว ในน้ำซุปมียาบำรุงเป็นส่วนประกอบ นายก็รู้ว่ามันราคาแพงตั้งเท่าไหร่ แม้กินข้าวหนึ่งมื้อจะสู้กินยาบำรุงหนึ่งเม็ดไม่ได้ แต่มันอร่อยกว่าอยู่แล้ว ย่อยง่าย ทั้งราคายังถูกกว่ามาก…”

“ผู้ฝึกยุทธ์ใช้เงินเหมือนกระดาษจริงๆ พวกนายจ่ายเงินค่าอยู่ค่ากินกันเกือบทีละล้านเลยหรือเปล่า?”

ฟางผิงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ ฟู่ชางติ่งยิ้มเจื่อน “จะเป็นไปได้ไง นายคิดว่าพวกเราใช้เงินเปลืองขนาดนั้นเลย? อาหารพวกนี้ พวกเราไม่ได้กินบ่อยๆ ปกติอย่างมากก็กินยาบำรุงเลือดหรือยาบำรุงกำลัง จากนั้นกินอาหารทั่วไปตาม ทั้งสถานการณ์ที่ปราณไม่ได้สิ้นเปลืองมากไปจนไม่อาจฟื้นฟูเองได้ ก็ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายซื้ออาหารพวกนี้กินอยู่ตลอดหรอก”

ฟู่ชางติ่งไม่อาจรักษาค่าปราณให้ถึงจุดสูงสุดตลอดเวลาเช่นกัน ขอแค่ปราณไม่ลดฮวบมากไปก็เพียงพอแล้ว

ปกติฝึกวิชาพอหอมปากหอมคอแล้วจะหยุดพัก

พวกเขายังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมข้างนอกบางคน หากไม่ถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คงไม่ฝึกวิชาจนปราณลดฮวบลง ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมส่วนมากจึงรักษาระดับไว้ที่ขั้นหนึ่งโดยตลอด สิ้นเปลืองปราณเยอะเกินไปไม่ได้จริงๆ

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ด้านข้างพลันมีคนเดินเข้ามา มองฟางผิงไปที ก่อนจะแค่นหัวเราะ “ฟางผิง?”

ฟางผิงเงยหน้ามอง เขาไม่รู้จัก แต่ยังคงพยักหน้ารับ

“รู้จักกับหวังจินหยาง?”

ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ข้อแรก ฉันรู้จักหวังจินหยาง แต่ถ้าพวกนายอยากล้างแค้น ไปหาเขาเถอะ ศัตรูเขามีเยอะเกินไป ฉันรับไม่ไหวหรอก”

“ข้อสอง อาจารย์ของฉันคือ ‘อู่อู๋ตี๋’ มีปรมาจารย์หนุนหลังอยู่ ก่อนจะหาเรื่องฉัน คิดให้ดีก่อน ข้อสาม นายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ฉันอยู่ขั้นหนึ่ง นายใช้ลำดับขั้นมาสร้างปัญหาให้ฉัน มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตหรอก! ข้อสี่ ฉันเพิ่งทะลวงด่าน ยังเป็นนักศึกษาใหม่ ไม่ค่อยเข้าใจอะไรกับกฎเกณฑ์ในมหาวิทยาลัย ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งอยากจะหาเรื่องฉันจริงๆ ฉันจะตอบรับ แต่ต้องรอสักระยะหนึ่ง ฉันว่าพวกนายคงไม่ถึงกับรอไม่ได้หรอกมั้ง? ข้อห้า ตอนนี้ฉันกำลังกินข้าว อีกอย่างที่นี่เป็นโซนหอพัก ห้ามมีการต่อสู้ ใช้ฝีปากข่มกันไม่มีประโยชน์หรอก ทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องขายหน้า”

คนที่ยืนด้านข้างอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวนี่ มีเหตุผลชัดเจนดี สมแล้วที่เป็นดาวเด่นหน้าใหม่ของรุ่นนี้! เป็นอย่างนี้แล้ว หนี้ของหวังจินหยาง นายพอจะยอมรับไว้สักส่วนได้หรือเปล่า?”

ฟางผิงระบายยิ้ม “ถ้าฉันไม่รับ พวกนายก็จะไม่หาเรื่องแล้ว?”

วัยรุ่นคนนั้นหัวเราะขึ้นมา “ไม่ใช่หาเรื่องสักหน่อย รุ่นพี่แค่แสดงอำนาจให้รุ่นน้องเห็นเท่านั้น ที่จริงถือเป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน รุ่นนี้นายดังที่สุดแล้ว แม้จะไม่มีเรื่องของหวังจินหยาง ฉันก็ต้องมาหานายอยู่ดี เด็กใหม่โดดเด่นแบบนี้ แสดงว่ารุ่นพี่อย่างพวกฉันไร้ประโยชน์ เอาแบบนี้แล้วกัน นายเพิ่งจะทะลวงด่าน พวกเราคงไม่เอาเปรียบนาย ให้เวลาหนึ่งเดือน หลังจากนี้หากมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งมาประลองกับนาย คงไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือเปล่า?”

ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่สนว่าเป็นหรือตายอะไรทำนองนั้น?”

“ไม่ขนาดนั้น”

วัยรุ่นคนนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เป็นนักศึกษาเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน ไม่ลงมือเหี้ยมโหดขนาดนั้นหรอก ทั้งพวกเรายังไม่อาจล่วงเกินอาจารย์หลู่ แค่แลกเปลี่ยนความรู้กันธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าหมัดเท้าไม่มีตา เจ็บหนักหน่อยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

ฟู่ชางติ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟางผิงเพิ่งทะลวงด่าน รุ่นพี่ที่นายพูดถึง คงจะอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายหมดใช่หรือเปล่า?”

“ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกสามครั้งคงไม่แตกต่างกับขั้นหนึ่งตอนปลายทั่วไปอยู่แล้ว? ดาวเด่นของรุ่นควรจะมีเกียรติศักดิ์ศรี ฟางผิง นายว่างั้นไหม?”

ฟางผิงแค่นเสียง “ฉันคิดว่างั้นๆ! แน่นอนว่าจะยังไงก็ได้แล้วแต่พวกนาย ไม่กล้าล้างแค้นหวังจินหยาง มาหาเรื่องฉันแทน ไม่ใช่คิดว่าฉันรังแกง่ายกว่าอย่างนั้นเหรอ? คนดีมักถูกคนรังแก หลักการนี้ฉันเข้าใจตั้งแต่เด็ก รอจัดการพวกนายแล้ว คงจบเรื่องแล้วสินะ? ฉันไม่ใช่หวังจินหยาง ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน หากขั้นสองอยากจะรังแกขั้นหนึ่งอย่างฉัน รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน หากพวกนายคิดว่าไม่เป็นไร จะเอาขั้นสองมาก็ได้!”

วัยรุ่นคนนั้นหลุดขำ “ไม่จำเป็นต้องยั่วยุ ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองลงมือหรอก ทุกคนไม่สามารถแบกความรับผิดชอบนี้ได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่านายจะเป็นฝ่ายท้าประลองเอง”

พูจบ เขายังกล่าวต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ไม่มีความจำเป็นต้องใกล้ชิดกับหวังจินหยางจนเกินไป สิ่งที่ฉันอยากจะสื่อ นายน่าจะเข้าใจดี ฉันคิดว่าดาวเด่นในมหาวิทยาลัยคงจะไม่ใช่คนโง่!”

ฟางผิงเผยยิ้ม “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้รุ่นพี่มากังวล ตอนนี้ผมกำลังจะกินข้าว รุ่นพี่…”

“ได้ เชิญพวกนายกินต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”

รุ่นพี่คนนั้นมีมารยาทไม่น้อย หัวเราะก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

รอเขาไปแล้ว ฟู่ชางติ่งค่อยขมวดคิ้ว “นายตอบรับทำไม? นายไม่สนใจพวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรนายหรอก!”

ฟางผิงเป็นนักศึกษาใหม่ ทั้งยังมีอาจารย์ที่แข็งแกร่งหนุนหลัง

ถึงจะไม่แยแสคนพวกนั้น พวกเขาคงไม่กล้าหาเรื่องฟางผิงอย่างไร้เหตุผลอยู่ดี

แต่ตอนนี้ฟางผิงรับปากแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวไม่อาจพูดอะไรได้เหมือนกัน อีกอย่างพวกเขายังอยู่ขั้นหนึ่งทั้งนั้น สอดคล้องกับกฎของมหาวิทยาลัยพอดี

ฟางผิงส่ายหน้า ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ฉันอยากลองสักหน่อย”

“หื้ม?” ฟู่ชางติ่งเผยสีหน้าสงสัย

“อยากรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงเป็นยังไง อยากสัมผัสการแข่งขันนองเลือดว่าเป็นแบบไหน ฉันอยากพิสูจน์ว่านักศึกษาของที่นี่ แตกต่างจากที่อื่นจริงๆ หรือเปล่า…”

ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้ นักศึกษาขั้นหนึ่งตอนปลายของที่นี่แข็งแกร่งกว่าที่นายคิดไว้มาก!”

“นายว่าถ้าสู้ไม่ได้ต้องยอมแพ้ยังไง?”

ฟู่ชางติ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง หมอนี่ยังไม่ทันเริ่ม คิดจะยอมแพ้ซะแล้ว?

ฟางผิงพูดพลางหัวเราะ “ล้อเล่นน่า อันที่จริงแบบนี้ดีแล้ว ทุกคนคุยกันด้วยเหตุผล ครั้งนี้ฉันต้องการสร้างความเกรงขาม เอาชนะพวกขั้นหนึ่ง หลังจากนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ความจริงพวกเขาไม่มาหาฉัน ฉันก็คิดว่าต้องหาใครสักคนมาสร้างบารมีให้ตัวเองอยู่ดี ไม่งั้นต่อไปคงถูกคนหาเรื่องไม่จบไม่สิ้น น่ารำคาญจะตายไป”

“ฉันกลัวนายจะไม่ได้สร้างบารมีให้ตัวเองแต่ไปสร้างบารมีให้คนอื่นเนี่ยสิ…” ฟู่ชางติ่งพึมพำ

ต่อให้ฟางผิงจะแสดงฝีมือไว้ดีขนาดไหน แต่เขาเพิ่งจะทะลวงด่าน ต้องมาเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลาย แทบไม่มีความได้เปรียบเลย

ฟู่ชางติ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเด็กใหม่และนักศึกษาปีสูง เด็กใหม่มีสิทธิ์เอ่ยเงื่อนไขได้ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเกินควร นายไม่ให้พวกปีสูงใช้อาวุธใช้แต่วิชาหมัดขาได้ จะได้ไม่เจ็บหนัก”

ฟางผิงเงียบไปพักหนึ่ง “มีเหตุผล ถึงเวลานั้นฉันพกดาบโลหะผสมไปเล่มหนึ่ง เชือดเขาให้ตาย อย่ามาโทษว่าฉันลงมือหนักละกัน พวกเขาเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

ฟู่ชางติ่งขำแห้ง หมอนี่ตอบรับไปซะงั้น เขายังคิดว่าฟางผิงจะปฏิเสธ

ฟางผิงกลับไม่ได้ใส่ใจมาก แม้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะหลอมกระดูกแล้ว แต่ปราณไม่สูง การระเบิดพลังจึงมีจำกัด

จากพื้นฐานหลอมกระดูกสามครั้งของฟางผิง แม้จะถูกชกหรือเตะ ถ้าไม่บาดเจ็บโดนหัว คงยากที่จะเกิดปัญหาใหญ่กับเขา

แต่อาวุธโลหะผสมไม่เหมือนกันแล้ว ดาบมีดนั้นไม่มีตา ถ้าถูกฟันเขา เสียแขนเสียขาแทบเป็นเรื่องปกติ

ถ้าไม่ใช่ส่วนที่หลอมกระดูกแล้ว ถูกฟันเข้าที่อื่น คงไม่พ้นเลือดตกยางออก ตายเหมือนคนทั่วไป!

เรื่องในวันนี้ฟางผิงคาดการณ์ไว้ตั้งนานแล้ว

ตั้งแต่ถูกหลู่เฟิ่งโหรวเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขาและเหล่าหวัง รวมทั้งการเตือนของเธอก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้แล้วว่า ไม่เร็วก็ช้าวันนี้ต้องมาถึง

“ไม่รู้ว่าเหล่าหวังจะชดใช้เรื่องนี้ให้ฉันด้วยยาบำรุงสักหน่อยได้หรือเปล่า นี่มันศัตรูของเขาชัดๆ”

ฟางผิงพึมพำ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ มื้อนี้เสียไปเกือบหมื่น เขาไม่กินให้หมด คงต้องปวดใจไปอีกนาน

เห็นฟางผิงกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟู่ชางติ่งจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

ขั้นหนึ่งประลองกับขั้นหนึ่ง ฟางผิงที่หลอมกระดูกสามครั้งแล้ว อาจจะไม่ได้แพ้ให้ใครเสมอไป

ในเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยห้ามปรามอะไรมากมาย

——————-

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด