ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 115 อยากแข็งแกร่ง อยากมีชีวิตรอด (1)

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 115 อยากแข็งแกร่ง อยากมีชีวิตรอด (1) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 115 อยากแข็งแกร่ง อยากมีชีวิตรอด (1)

หลู่เฟิ่งโหรวเหมือนมีธุระต่อจึงออกไปก่อน

คนอื่นๆ ต่างหายวับไปอย่างรวดเร็ว เหลือแค่เด็กปีหนึ่งสามคนที่เอาแต่มองกันไปมองกันมา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

จ้าวเสวี่ยเหมยมองฟางผิงอย่างหวั่นเกรงอยู่บ้าง

หยางเสี่ยวม่านกลับลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียสิ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อตะกี้คือหวังจินหยางจากมหาวิทยาลัยหนานเจียงใช่หรือเปล่า?”

หลายปีมานี้หวังจินหยางเป็นนักศึกษาที่มีชื่อที่สุดของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ก่อนหน้านี้พวกหยางเสี่ยวม่านเคยได้ยินชื่อเขาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน รวมทั้งหลังจากเข้าสู่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้แล้ว ทุกคนต่างทระนงตัว ไม่คิดว่าหวังจินหยางจะมีฝีมือมากมายอะไร แต่ฉากวันนี้ ล้มล้างภาพในจินตนาการของพวกเธอไปเลยทีเดียว

ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปที่อยู่ขั้นสามตอนปลายกลับสามารถข่มคนได้ทั้งสนาม!

พวกโจวเหยียนที่ปกติมักยิ้มแย้มแจ่มใส แต่วันนี้หลังจากที่เห็นเธอวางอำนาจใส่จางกั๋วหรู จึงรับรู้ว่าเธอไม่คนที่ต่อกรด้วยง่ายๆ เช่นกัน

ผลลัพธ์ล่ะ?

เจอหวังจินหยางที่เคยรังแกตัวเอง ก็แค่ด่าพึมพำไม่กี่ประโยคเท่านั้น เรื่องที่หวังจินหยางท้าประลองนักศึกษาขั้นสามในมหาวิทยาลัยกลับทำเป็นว่าเธอไม่ได้ยิน

ช่วงเวลาสั้นๆ หญิงสาวสองคนต่างสัมผัสได้ถึงคำว่า ‘ชายชาตรีอย่างแท้จริง’

ฟางผิงไร้คำจะพูด เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “เมื่อตะกี้ฉันเพิ่งฆ่าคนไป!”

“เออ…เอ้ะ…”

จ้าวเสวี่ยเหมยดึงสติกลับมาได้ มองฟางผิงอย่างครั่นคร้ามอยู่บ้าง “นาย…นายลงมือหนักเกินไปรึเปล่า…”

ฟางผิงหน้าดำทะมึน พอเป็นเหล่าหวังมองเป็นชายชาตรี ฉันประลองกับพวกเขาจนอีกฝ่ายตายกลายเป็นว่าลงมือหนัก?

ฟางผิงขี้เกียจจะสนใจเธอ สาวเท้าออกมาทันที

จ้าวเสวี่ยเหมยเหมือนรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่ รีบตามไปอธิบาย “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น…แค่…แค่รู้สึกว่า…พวกเขา…”

เธออยากพูดว่าทุกคนต่างเป็นนักศึกษาเหมือนกัน พวกเขายังอายุน้อยมีอนาคตข้างหน้าอีกยาวไกล

แต่มาคิดอย่างละเอียดแล้ว เฉินกั๋วหลงที่ประลองกับฟางผิงเป็นคนแรกอาจจะไม่ได้พูดอะไร แต่จางกั๋วเวยนั้นบอกว่าจะฆ่าฟางผิง

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฟางผิงฆ่าอีกฝ่าย เหมือนจะไม่ผิดเช่นเดียวกัน

ฟางผิงส่ายหัวว่า “ไม่เป็นไร ที่จริงฉันไม่ชินเหมือนกัน ฉันไม่เคยคิดจะฆ่าใครมาก่อน แต่ฉันไม่ฆ่า คนอื่นคิดจะฆ่า ฉันคงทำเป็นนิ่งดูดายไม่ได้ ขึ้นเวทีแล้วอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง ครั้งนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้ทั่วไป เกิดเรื่องครั้งนี้แล้ว ต่อไปคงไม่เกิดอะไรแบบนี้ซ้ำๆ อีก”

ไม่ใช่แค่เหตุผลนี้เพียงอย่างเดียว ยังมีสาเหตุจากหวังจินหยางด้วย

เหล่าหวังบอกแล้ว หากยังดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้องกับเรื่องของเขา พอเขาทะลวงขั้นสี่แล้ว จะมาท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ อยู่ขั้นห้าก็จะมาท้าประลองกับขั้นห้า ทั้งยังบอกอย่างชัดเจนว่าจะตัดสินด้วยความเป็นความตาย!

สถานการณ์แบบนี้ทุกคนต่างจำเป็นต้องตรึกตรองให้ดี

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่คนในระดับเดียวกันไม่อาจเอาชนะหวังจินหยางได้ จึงไม่มีใครอยากจะลองเสี่ยง

จ้าวเสวี่ยเหมยพยักหน้า ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฆ่าคนรู้สึกยังไงเหรอ?”

“ตอนที่เฉินกั๋วหลงตาย ยังปรับตัวไม่ทัน แข้งขาอ่อนอยู่บ้าง แต่ยังไงก็เคยเจอคนตายมาก่อน รวมทั้งเขาตายไว ผ่านไปพักหนึ่งค่อยรับได้ขึ้นมาบ้าง ตอนที่ฆ่าจางกั๋วเวย ฉันกล่อมตัวเองว่า ผู้ฝึกยุทธ์ตายบนเวทีประลอง นี่เป็นการส่งกลับบ้านอย่างหนึ่งเลยไม่รู้สึกแย่อะไรมาก”

“จิตใจนายแข็งแกร่งจริงๆ…”

จ้าวเสวี่ยเหมยที่ปกติพูดเสียงดังอย่างมั่นใจ วันนี้กลับพูดเสียงแผ่วลงไม่น้อย ถอนหายใจว่า “อาจารย์พาฉันมาที่นี่ เพราะอยากบอกฉันหรือเปล่า ไม่ช้าก็เร็วฉันต้องมีวันนี้?”

“อาจจะเป็นแบบนั้น”

ฟางผิงถอนหายใจเหมือนกัน เอ่ยว่า “โอกาสที่ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเผชิญกับความตายมีเยอะอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม เธอคงสังเกตเห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโจวเหยียนหรือหลิวหย่งเหวิน รวมทั้งอาจารย์พวกนั้นน่าจะเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้ว พวกเขารู้สึกเศร้าโศกเสียใจกับนักศึกษาที่จากไป แต่ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย บางทีการไม่กลัวต่อความตาย อาจจะเป็นวิถีของผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน”

“แต่ว่า…แต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ฉันรู้จักไม่ใช่แบบนี้”

“ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไป?”

“ไม่ใช่ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่จบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำงานข้าราชการฝ่ายพลเรือน”

“งั้นก็ถูกแล้ว ฉันเคยได้ยินมา อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ค่อนข้างปลอดภัยเลยทีเดียว วันนี้คือกรณีพิเศษ นักศึกษาพวกนี้เรียนจบแล้ว ส่วนมากต่างทำงานเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน พวกหัวกะทิแนวหน้า ปกติจะเข้าหน่วยสืบสวน กองทัพหรือทำอย่างอื่น ส่วนน้อยที่จะเป็นข้าราชการพลเรือน”

ตอนนี้ฟางผิงเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นักศึกษาที่ต่ำกว่าขั้นสาม ยังถือว่ามีความปลอดภัย แม้จะเป็นเขาเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับการประลองจริงๆ พวกหลิวหย่งเหวินก็ไม่อาจทำอะไรเขาในมหาวิทยาลัยได้เหมือนกัน หากออกไปข้างนอก จะถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายเช่นกัน

ดังนั้นที่ฟางผิงยอมรับการประลอง เป็นเพราะอยากขจัดปัญหาให้เล็กลง สร้างความหวั่นเกรงให้คนพวกนี้ อย่างน้อยให้พวกที่ระดับเดียวกันไม่กล้ามาหาเรื่องเขาอีก

เขามีธุระให้ทำมากมาย ไม่มีเวลามาเล่นสนุกเป็นเพื่อนคนพวกนี้ทุกวัน

ตอนนี้ดูแล้ว ผลลัพธ์ดีกว่าที่คาด

จ้าวเสวี่ยเหมยไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกยังไง เธอจึงไม่รู้จะถามอะไรอีก

หยางเสี่ยวม่านที่ตามมาตั้งแต่ต้นกลับเอ่ยอย่างแปลกใจ “ฟางผิง ตอนที่นายปะมือกับจางกั๋วเวย เห็นได้ชัดว่าปราณหมดเกลี้ยงแล้ว…”

ฟางผิงหันไปมองเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เข้ามหาวิทยาลัยอาจารย์ของเธอไม่เคยสอนหรือไง อย่าได้สืบเสาะความลับของคนอื่น? บ้านเธอฐานะดีไม่ใช่เล่น ครอบครัวมีผู้ฝึกยุทธ์ด้วย หรือพ่อแม่เธอไม่เคยสอนเหมือนกัน? ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนล้วนมีทางเดินของตัวเอง สืบเสาะความลับของคนอื่นไปทั่วจะเป็นการผูกบัญชีแค้นได้ เข้าใจหรือเปล่า ทีหลังอย่าได้สืบเสาะความลับพวกนี้ตามใจชอบ!”

หยางเสี่ยวม่านอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เคยได้ยินจ้าวเสวี่ยเหมยบอกเหมือนกันว่าอีกฝ่ายคอยสืบถามสถานการณ์ของเขา

ตอนแรกฟางผิงยังคิดว่าเธอเป็นพวกเดียวกับหลิวหย่งเหวิน จงใจสืบข้อมูลของเขา

ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะอยากรู้อยากเห็นเกินไป

แต่การกระทำแบบนี้ไม่ควรส่งเสริม มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนบ้างที่ไม่มีความลับ?

ฟางผิง หลู่เฟิ่งโหรว หวังจินหยาง ปรมาจารย์ทุกคนต่างมีกันทั้งนั้น!

บางเรื่องเจ้าตัวไม่พูด ถึงจะเป็นอาจารย์ก็ไม่ถามเหมือนกัน อย่างเช่นหลู่เฟิ่งโหรว

เธอจะมองไม่ออกหรือว่าการฟื้นฟูปราณอย่างฉับพลันของฟางผิงเป็นเรื่องผิดปกติ แต่เธอกลับไม่ถามอะไรออกมา

อาจารย์มีหน้าที่ชี้แนะและคลายข้อสงสัยเท่านั้น ความลับของลูกศิษย์ นั่นถือเป็นเรื่องของพวกเขา

หยางเสี่ยวม่านถูกเขาตำหนิ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จ้าวเสวี่ยเหมยกลับดึงแขนเธอไว้

เจ้าหมอนี่เพิ่งฆ่าคนมานะ!

ในหมู่เด็กใหม่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยสัมผัสประสบการณ์นองเลือดและคนที่ไม่เคยนั้นแตกต่างกัน

หยางเสี่ยวม่านเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก

ฟางผิงไม่สนใจพวกเธอเหมือนกัน รีบสาวจากไป

รอเขาไปแล้ว หยางเสี่ยวม่านค่อยเอ่ยอย่างโมโห “ดึงอะไรล่ะ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะจัดการเขา! จะล้างแค้นให้คอยดู”

ส่วนล้างแค้นเรื่องอะไร แน่นอนว่าเป็นตอนแบ่งสาขาที่ถูกโจมตีหน้าอก!

“พี่หวัง อยู่ที่ไหน?”

“โรงแรมของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้”

“หา?”

ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย เหล่าหวังนี้บ้าระห่ำจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะไปโรงแรมของมหาวิทยาลัย

นี่เป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ รอคอยพวกนักศึกษามาท้าประลองจริงๆ ด้วยสินะ?

ไม่ถามรายละเอียดอีก ฟางผิงวางโทรศัพท์ก่อนจะเดินออกไปนอกมหาวิทยาลัย

เขามีเรื่องที่ต้องถามเหล่าหวังมากมายจริงๆ

สิบนาทีต่อมา

โรงแรมมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้

ห้องอาหาร

หวังจินหยางกำลังกินข้าวโดยมีฉินเฟิ่งชิงกินเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง

ฉินเฟิ่งชิงกินไปพลาง ทักทายเขาอย่างเป็นมิตรไปพลาง “รุ่นน้องมากินด้วยกันสิ หิวหรือเปล่า? วันนี้สู้ใช้ได้ทีเดียว แค่ไม่ได้ฆ่าตายในครั้งเดียว! คนพวกนี้ว่างเกินไป อยู่ขั้นหนึ่งขั้นสองไม่ขยันฝึกวิชา วันๆ เอาแต่ก่อเรื่อง คิดจริงๆ เหรอว่าไม่มีใครจัดการพวกเขาได้?”

ตอนที่พูดเห็นได้ชัดว่าลืมดูตัวเอง ทั้งลืมดูหวังจินหยางด้วย

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองพวกนี้ไม่ได้ว่างขนาดนั้น

แน่นอนว่า น้อยครั้งที่จะทะเลาะกันภายใน ยิ่งไปกว่านั้นยังรับภารกิจเพื่อหาคะแนนเพิ่มอีก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด