ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 114.2 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (2)

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 114.2 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (2) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 114 ฉันต่างหากที่เป็นตัวเด่น (2)

หวังจินหยางไม่สนใจเขา มองไปยังฟางผิงที่อยู่บนเวที “คราวหลังถ้าคิดว่ามันอันตรายควรเลือกจะปฏิเสธ! เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับนาย ไม่ต้องกังวลจะถูกล้างแค้น รอฉันทะลวงขั้นสี่แล้ว ถ้าพวกเขายังมาไม้นี้อีก ฉันจะฆ่านักศึกษาขั้นสี่ที่นี่ให้หมด พอขั้นห้าแล้ว ก็จะท้าประลองพวกขั้นห้าเหมือนกัน!”

หวังจินหยางพูดอย่างเหิมเกริม ทั้งเต็มไปด้วยความจริงจัง ใบหน้าของพวกอาจารย์ต่างบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง

หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อย “หวังจินหยาง อย่าลืมว่าฟางผิงเป็นศิษย์ของฉัน ฉันให้การดูแลเขาอยู่แล้ว พูดแค่เรื่องของตัวเองเถอะ นายคิดว่านายอยู่เหนือผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันจริงๆ หรือไง?”

“ลองดูก็รู้แล้ว!”

“มั่นใจดีนี่ สมแล้วที่พวกมหาวิทยาลัยทั่วไปดึงตัวนายออกมาสร้างปัญหา”

หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะ ก่อนเอ่ยว่า “ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยอมรับการประลองถือเป็นเรื่องปกติ…”

“ฉันไม่สนใจเรื่องนี้!”

หวังจินหยางตัดบท “ฟางผิงจะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวกับฉัน จะปฏิเสธหรือยอมรับการประลองก็ไม่เกี่ยวกับฉัน! แต่นั่นควรเป็นทางที่เขาเลือกเอง ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนส่งผลกระทบต่อทางเดินของเขา มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ใช้เรื่องของฉันมาบีบเค้นเขา นั่นไม่สมควร! เรื่องของฉัน ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ใครไม่ยอม ใครไม่ยินดี มาหาฉันได้ ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะทำอย่างที่พูดไว้”

หลู่เฟิ่งโหรวพยักหน้าเอ่ย “คำพูดนี้กลับไม่ผิด ความจริงก็เป็นแค่พวกเหลือขอที่ถูกนายทำลายไฟจนมอดจนต้องดิ้นออกมาก่อเรื่อง นักศึกษาแนวหน้าอย่างแท้จริงของที่นี่ ไม่มีใครทำแบบนี้อยู่แล้ว ฉินเฟิ่งชิง เซี่ยเหล่ย โจวเหยียน…คนพวกนี้ ไม่มีใครอคติกับฟางผิง พวกเขาทระนงในเกียรติของตัวเอง”

หวังจินหยางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “พวกเขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน!”

โจวเหยียนที่อยู่ด้านข้างมุมปากกระตุกเล็กน้อย พึมพำว่า “พูดอย่างกับกลัวนายอย่างนั้นแหละ”

หวังจินหยางกลับได้ยินคำพูดนี้ มองไปยังเธอ “เธอจะรับการประลองก็ได้!”

“โรคจิต…”

โจวเหยียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นายอย่ามาอวดดีเกินไป ที่นี่คือสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของเซี่ยงไฮ้! ใครอนุญาตให้นายเข้ามา?”

“ฉันเอง!”

เวลานี้มีเสียงคนเอ่ยอย่างเกียจคร้านดังขึ้น

ฉินเฟิ่งชิงถือดาบเดินเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย เอ่ยพลางหาวหวอด “ฉันเจอเขาที่สถานีรถไฟพอดีเลยชวนมาเดินเล่นในมหาวิทยาลัย นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเรื่องสนุก บอกตั้งนานแล้วว่าทำเรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์ หมอนี่ไม่ได้ตายซะหน่อย ยังอยู่ดี หากอยากจะทำอะไรท้าประลองเขาโดยตรงดีกว่า จะก่อเรื่องยุ่งอะไรมากมาย! ฉันสู้เขาไม่ได้เหมือนกัน ไม่งั้นคงท้าประลองไปนานแล้ว…”

เวลานี้ฟางผิงที่ปิดปากเงียบตลอดกลับพูดขึ้นมา “พี่หวัง ฉินเฟิ่งชิงก็บอกว่ารอผมทะลวงขั้นสามแล้ว จะมาท้าประลองผม…”

ฉินเฟิ่งชิงมุมปากกระตุก ด่าขมุบขมิบ “ฉัน…ฉันแค่พูดไปอย่างนั้น!”

หวังจินหยางชำเลืองมองเขาไม่พูดอะไร สุดท้ายยังมองไปทางหลิวหย่งเหวินที่เผยสีหน้าบิดเบี้ยว

“ตอนนี้นายอยู่ขั้นสาม ไม่รับการประลองไม่เป็นไร แต่ถ้าฉันทะลวงขั้นสี่แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่มีวิธี! พ่อของนายอยู่ขั้นสี่เหมือนกัน ถ้ามีครั้งต่อไปอีก ฉันจะประลองตัดสินความเป็นความตายกับพ่อนาย!”

“หวังจินหยาง”

หลิวหย่งเหวินเผยใบหน้ามืดครึ้ม ไม่มีเค้าของความสุภาพเหมือนก่อนหน้านี้ กัดฟันว่า “หากไม่ใช่ว่า…”

“หากไม่ใช่ว่าอะไร? หากไม่ใช่ว่าฉันมีปรมาจารย์มาด้วย พ่อนายคงจัดการฉันไปนานแล้ว?”

หวังจินหยางแสยะยิ้ม “นั่นเพราะฉันมีค่าพอ! เทียบกับพวกนายแล้ว ฉันมีคุณค่ามากกว่า นายควรยอมรับชะตากรรมซะ!”

ทิ้งคำพูดไว้ ก่อนหวังจินหยางจะหมุนตัวเดินพลางเอ่ยว่า

“ช่วงนี้ฉันยังอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามจากที่นี่หรือที่อื่น สามารถมาหาฉันได้ทั้งนั้น! สามวันให้หลังฉันจะไม่รับประลองกับขั้นสามอีก แต่แน่นอนว่าถ้ารนหาที่ตาย ก็มาได้!”

เหล่าหวังไปง่ายๆ แบบนี้ ฟางผิงกลับถอนหายใจไม่หยุด

แย่งซีนกันชัดๆ!

การประลองครั้งแรกของฉัน จัดการผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายไปสองคน ตอนที่แสดงพลังออกมาอย่างโดดเด่น ปรากฏว่าเหล่าหวังกลับโผล่มาวางอำนาจ กระทั่งหลู่เฟิ่งโหรวยังไม่สนใจศิษย์อย่างเขาคนนี้ เอาแต่จับจ้องมองเหล่าหวังตาไม่กะพริบแทน

ตอนแรกจ้าวเสวี่ยเหมยและหยางเสี่ยวม่านนั้นมองเขาอย่างหวั่นเกรงและนับถือ

แต่พอเหล่าหวังมา ผู้หญิงสองคนนี้เหมือนจะลืมไปแล้วว่าฟางผิงยังอยู่บนเวที

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ฟางผิงพึมพำเบาๆ ทั้งรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง

เขานึกไม่ถึงว่าหวังจินหยางจะมาในเวลานี้ ทั้งพอมาแล้วยังแผลงศักดา ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้โดยตรง

กระทั่งอาจารย์ขั้นสี่ยังไม่กล้าหืออือกับเรื่องที่เขาจะทะลวงในอีกสามวัน รวมถึงเรื่องที่จะให้ประลองกับเขาหนึ่งเดือนต่อจากนี้

หวังจินหยางสร้างชื่อไว้จริงๆ!

ตอนอยู่ขั้นหนึ่งต่อสู้กวาดล้างทั่วเซี่ยงไฮ้ พอทะลวงขั้นสามก็ถือดาบตระเวนประลองทางเหนือ!

หากเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว อาจารย์ระดับเดียวกันพวกนี้จะสามารถต่อกรกับหวังจินหยางได้งั้นเหรอ?

ขั้นสี่ถือเป็นบุคคลสำคัญแล้ว!

หากมีความเหมาะสมสามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการของเมืองได้ สถานการณ์แบบนี้ต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับผู้ฝึกยุทธ์อีก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความกล้านี้ซะทีเดียว

หวังจินหยางจากไปแล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็ยิ้มหน้าระรื่นตามออกไป

โจวเหยียนมองพวกตัวซวยสองคนนี้เดินจากไป ปากด่าขมุบขมิบ เจ้าฉินเฟิ่งชิงคงสมองกลวงไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพาหวังจินหยางเข้ามาในสมาคม!

เดิมทียังจดจ่อกับฟางผิงที่อยู่บนเวที ตอนนี้กลับลืมเรื่องฟางผิงไปเสียแล้ว

ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายสองคนเป็นปัญหาอยู่จริงๆ

แต่ต่อให้เป็นปัญหายังไง พวกเขาก็เป็นฝ่ายท้าประลองฟางผิงก่อน ทั้งยังผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

กลับไปรายงานว่าตายระหว่างฝึกซ้อมน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ประเด็นสำคัญอยู่ที่หวังจินหยางจะทะลวงขั้นสี่แล้ว ประธานยังจำศีลอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่าสองคนนี้จะต่อสู้กันหรอกนะ?

คนหนึ่งเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อีกคนเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยหนานเจียง ตำแหน่งแทบไม่ด้อยกว่าผู้บัญชาการของเมืองเลย

หากเกิดเรื่องกับผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยระดับกลางอย่างพวกเขา มีใครตายไปหนึ่งคน แทบเทียบเท่ากับมีขั้นหนึ่งตายไปหนึ่งร้อยคน

ใจของทุกคนไม่อยู่กับสนามประลองอีกแล้ว กลุ่มของหลิวหย่งเหวินยิ่งไม่พูดพร่ำอะไรอีก ปลีกตัวไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์คนอื่นๆ ต่างทยอยออกไปเช่นกัน ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของฟางผิงอีก

ผ่านไปพักใหญ่

ด้านนอกสมาคม

ฟางผิงพูดเสียงเบา “อาจารย์ ต่อจากนี้ผมต้องทำยังไง?”

“นาย?”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างปกติ “ไม่ใช่บอกว่าจองตั๋วรถตอนบ่ายไว้หรือไง? กลับบ้านสิ ยังจะทำอะไรอีก! เวลานี้กลับบ้านก็ดี นายฆ่าคนเป็นครั้งแรกใช่หรือเปล่า?”

“ครับ”

“ท่าทีภายนอกนั้นใช้ได้ แต่ในใจคงรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว ค่อยๆ ทิ้งเรื่องพวกนี้ไป ทำความคุ้นเคยก็พอแล้ว รอหมดวันหยุดมาหาฉันอีกที ฉันจะจัดแจงทุกอย่างให้”

“แล้วหวังจินหยาง…”

“เขา?”

หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว ขั้นสามยังพอว่า ทะลวงสู่ระดับกลาง จะถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง หมอนี้มีแผนไม่น้อย ตอนนี้มาเซี่ยงไฮ้เป็นไปได้ว่ามาหาโอกาสฝึกวิชาเพื่อจะทะลวงด่าน พอถึงระดับกลางแล้ว หากเขาไม่ยินยอม คนที่ใช้เขาเป็นหมากได้คงมีไม่เยอะแล้ว”

“สรุปแล้ว…”

หลู่เฟิ่งโหรวมองฟางผิง เอ่ยอย่างไม่ชอบใจอยู่บ้าง “พวกนายทั้งสองห่างกันแค่ปีเดียว ต่างกันไม่มาก เขากล้ากดดันนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้จนไม่มีใครกล้าเปิดปาก ส่วนนายคาดไม่ถึงว่าจะถูกกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งรังแก?”

ฟางผิงอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก นี่ฉันโดนเปรียบเทียบสินะ?

ฉันเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งเมื่อกี้ยังฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายไปสองคน ฉันต่างหากที่ควรเป็นตัวเด่นของเรื่อง!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด