ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 100.2 เหล่าติ่งก็ต้านไม่ไหวแล้ว (2)

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 100.2 เหล่าติ่งก็ต้านไม่ไหวแล้ว (2) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 100 เหล่าติ่งก็ต้านไม่ไหวแล้ว (2)

ทุกคนไร้คำจะเอ่ย มีคนพูดอย่างจนใจว่า “วุ่นวายสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ให้เด็กใหม่พวกนี้ได้เจอความลำบากบ้าง ทุกคนเอาแต่คิดว่าการเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ จนถึงตอนนี้อาจคิดไม่ได้ว่า ทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์ทั้งนั้น ผู้ฝึกยุทธ์เกือบเจ็ดสิบคน คนธรรมดาอีกนับพันถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งและคนธรรมดาอีกหนึ่งคนรังแกจน…มันช่างเอ่อ…ช่าง…”

อาจารย์คนนี้ไม่รู้ควรจะพูดยังไง ขายหน้าเกินไป ผู้ที่ขายหน้ายังเป็นคนของมหาวิทยาลัยเอง!

เฉินเจิ้นหวาคณบดีสาขาสังคมศาสตร์พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นักศึกษาที่ชื่อฟางผิงคนนี้ นอกจากจะหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว ปราณยังสูงเกินสองร้อยแคล! จวงกงก็แตะถึงขั้นสองแล้วเช่นกัน สามารถถ่ายโอนแรงได้ อย่าลืมว่าจวงกงระดับนี้เรียกได้ว่าตุ๊กตาล้มลุกแล้ว ส่วนการต่อสู้ เคล็ดวิชาเท้าค่อนข้างว่องไว คุ้นเคยกับการระเบิดพลังและรวบรวมพลังแล้ว การประกบติดพอใช้ได้ ใช้แรงเล็กที่สุดระเบิดพลังทำลายล้างออกมา เคล็ดวิชาต่อสู้แบบนี้…เหมือนจะมาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้!”

ทุกคนพยักหน้า พวกเขาต่างมีประสบการณ์ความรู้กว้างไกลกันทั้งนั้น มีคนพูดทันทีว่า “มาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่การสอนจากกองทัพและการแสดงในคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นเคล็ดวิชาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ทั้งยังสัมผัสได้ว่า อาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชานั้นเก่งกาจทีเดียว”

“เป็นทายาทของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้?”

มีคนถามออกมาอย่างสงสัย อาจารย์หญิงที่เมื่อวานบอกว่าจะไปตรวจสอบข้อมูลฟางผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ มาจากครอบครัวธรรมดา เป็นคนหยางเฉิงมณฑลหนานเจียง ก่อนหน้านี้ที่เด็กนั่นบอกว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงเสนอเงินรางวัลรั้งเขาไว้ ฉันไม่เชื่ออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไร้ข้อกังขาแล้ว”

“ครอบครัวธรรมดา?” มีคนเอ่ยอย่างแคลงใจ “จะเป็นไปได้ไง ถ้าปราณสูงอย่างเดียว พวกเราคงไม่ตกใจ แต่หากไม่มีคนสั่งสอนเคล็ดวิชาต่อสู้ การฝึกจวงกง จะพัฒนาเร็วแบบนี้ได้ยังไง ทั้งการหลอมกระดูกครั้งที่สาม ใครเป็นคนมอบทรัพยากรให้เขากัน?”

หวงจิ่งที่เงียบมาตลอด เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ได้ฟังที่เขาพูดหรือไง? เขารู้จักนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงคนหนึ่ง เป็นคนที่วางตัวเหมาะสม ไม่เย่อหยิ่งไม่ด้อยค่าตัวเอง ฟังจากน้ำเสียงค่อนข้างยกย่องอีกฝ่ายอย่างมาก…ฟางผิง จบจากโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งหยางเฉิง โรงเรียนเดียวกับหวังจินหยางที่อยู่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ได้ยินว่าพวกเขามีความสัมพันธ์สนิทสนม เคยร่วมมือกันวิสามัญคนร้ายที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองตอนปลายคนหนึ่ง หลังจากนั้นฟางผิงจึงเริ่มโดดเด่นขึ้นมา ฟางผิงเสียดายที่ไม่ได้เลือกเรียนที่หนานเจียง ทั้งมีคนเสนอเงินรางวัลนับล้านให้เขา ฉันถามพวกนายหน่อย ปราณตอนตรวจร่างกายหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคลนั้น มีใครในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงทำได้บ้าง?”

“หวังจินหยาง!”

มีอาจารย์นึกชื่อคนนี้ออกทันที ชั่วขณะนั้นจึงตกตะลึงไม่น้อย

สถานที่อย่างเจียงหนานไม่ได้มีอัจฉริยะมากมาย แต่ปีที่ผ่านมา หวังจินหยางถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น แม้ตอนนี้จะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม แต่ระยะห่างจากทุกคนนั้นมีมากจริงๆ

หวงจิ่งถอนหายใจ “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เคล็ดวิชาขาของฟางผิงคงมาจากหวังจินหยาง โดยมีจางชิงหนานให้การสนับสนุนอีกที แม้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย แต่ใช่ว่าจะไร้อัจฉริยะ จางชิงหนานที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าไม่ถือว่าอ่อนด้อย แม้เขาจะมาแสดงฝีมือที่เซี่ยงไฮ้ ยังแทบไม่เป็นรองใคร น่าเสียดายที่หลังจากนำทีมไปควบคุมถ้ำใต้ดินที่เทียนหนานก็ไม่กลับมาอีกเลย…”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อาจารย์ถังเฟิง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย ทอดถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายจริงๆ จางชิงหนานเคยประลองกับฉันครั้งหนึ่ง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่สุภาพสง่างาม วางตัวได้เหมาะสมทีเดียว รออีกไม่กี่ปี เขาคงทะลวงขั้นหกได้ อธิการบดีคนก่อนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงเลี้ยงดูสั่งสอนอีกฝ่ายเหมือนอยากให้เขาเป็นผู้สืบทอดคนต่อไป น่าเสียดายจริงๆ…”

ทุกคนต่างสะท้อนใจ หวงจิ่งกลับกระแอมเบาๆ “ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว หลายปีที่ผ่านมามีคนหายไปในถ้ำใต้ดินน้อยนักหรือไง? ดูต่อดีกว่า ไม่ว่าสถานการณ์ของฟางผิงจะเป็นยังไง หากสุดท้ายคนนับพันถูกสองคนนี้เอาชนะจริงๆ นักศึกษารุ่นนี้ทั้งหมดต้องโดนหักคะแนน!”

“คณบดี!”

หวงจิ่งแค่นเสียง “เด็กใหม่ที่ได้รับการสั่งสอนจากนักศึกษาปีสองของมหาวิทยาลัยหนานเจียงสามารถเอาชนะนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้รุ่นนี้ได้ มหาวิทยาลัยคงยอมรับไม่ได้ ฉันก็รับไม่ได้ พวกอธิการยิ่งรับไม่ได้เช่นกัน! ถ้าทำได้ฉันคงโยนเด็กใหม่พวกนี้ออกไปจากมหาวิทยาลัยให้หมดแล้ว หรือจะหักคะแนนให้เหลือครึ่งเดียว ยังไม่ถือว่าเกินไปเลย!”

พวกเฉินเจิ้นหวาล้วนรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจครั้งนี้ได้แล้ว ถึงอธิการจะอยู่ที่นี่ คงไม่สามารถคัดค้านได้เช่นกัน

ครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะเฉินเจิ้นหวาจะเปิดไมโครโฟน กระแอมไอเล็กน้อย “เหลืออีกสิบนาที ถ้าล้มฟางผิงและฟู่ชางติ่งไม่ได้ นักศึกษาใหม่ทั้งหมดจะถูกหักคะแนนครึ่งหนึ่ง!”

ชั้นสี่

ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างดวงตาแดงก่ำขึ้นมา

หักคะแนนครึ่งหนึ่ง!

เมื่อวานพวกเขายังไม่รู้ว่าคะแนนสำคัญขนาดไหน แต่ตอนนี้ยังจะมีใครไม่รู้ สามคะแนนสามารถแลกยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด

แม้จะเป็นพวกนักศึกษาที่ปราณไม่สูง เวลานี้ต่างบ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน!

“นี่มันเคราะห์กรรมที่ไม่มีเค้าลางอะไรบอกชัดๆ!”

“เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ทำไมต้องหักคะแนนนักศึกษาทั้งหมด ใช้สิทธิ์อะไรกัน!”

“จัดการเขา เร็วเข้า เวลาไม่มากแล้ว ต่อให้ต้องบ้วนน้ำลายถมหน้าเขาก็ต้องจัดการเขาให้ได้”

“รีบไปเอาอาวุธ อาศัยจังหวะตีเขา!”

“…”

พวกนักศึกษาคลั่งกันไปหมดแล้ว ฟางผิงแทบจะยืนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้คือวิ่งหนีถ่วงเวลา

อาศัยทักษะจวงกงของเขา ความสามารถหลบหลีกนั้นมีอยู่แล้ว

เพิ่งปะทะตัวต่อตัวมา เวลานี้ทั่วร่างเขาจึงเขียวช้ำไปหมด ปราณนั้นนำมารักษาความเจ็บปวดไม่ได้

ฟางผิงมองทุกคนที่เผยแววตาแดงก่ำ กังวลอยู่บ้างว่า ตัวเองจะถูกซ้อมจนตายหรือไม่?

ในขณะที่เขากังวล ฟู่ชางติ่งกลับครวญครางอย่างไม่ขาดสาย “ฉันยอมแพ้ ยกธงขาวแล้ว พวกพี่ๆ จ๋า ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันไม่ใช่ตัวการสักหน่อย ฟางผิงนู้น! อย่าอัดหน้า ขอร้องล่ะ ฟางผิง นายไม่ตายดีแน่…ว้าก! อย่าโจมตีตรงนั้น อย่าเตะผม ลูกพี่ ผมยอมแล้ว…”

ฟู่ชางติ่งที่ถูกคนล้อมเข้ามากลุ่มแล้วกลุ่มแล้ว เวลานี้ร้องไห้แทบไม่ออก เขาต้านไม่ไหวจริงๆ ยาบำรุงสามเม็ดไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว!

พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหล็กไหลซะหน่อย ถูกตีก็เจ็บเหมือนกัน ตัวต่อตัวยังพอว่า หนึ่งต่อสิบพอต้านไหว หนึ่งต่อร้อย ผลัดเปลี่ยนกันมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เขาต้านไม่ไหวจริงๆ!

ไม่นานเสียงของฟู่ชางติ่งก็เลือนหายไป ฟางผิงได้ยินคนตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าเหยียบ เหยียบตายขึ้นมาจะทำยังไง!”

“จัดการคนนี้ได้แล้ว เวลาเหลือไม่มาก เร็ว ไปหาอีกคน!”

“…”

ฟางผิงเสียวสันหลังวาบทันที เห็นฝูงชนเบียดเสียดกันเข้ามาทั่วสารทิศ จึงกระโดดขึ้นไปเกาะราวกั้นช่องระบายอากาศข้างบน ตะโกนว่า “ฉันยอมแพ้ ถือว่าล้มได้แล้ว ฉันยอมรับว่านักศึกษาใหม่ของเซี่ยงไฮ้เก่งจริงๆ!”

“ฝันไปเถอะ!”

จ้าวเหล่ยประคองดวงตาที่เขียวคล้ำจากถูกต่อย ตะเบ็งเสียงแข็ง!

หยางเสี่ยงม่านนวดหน้าอกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “นายลงมา ความสูงแค่นี้ นายอยากเป็นเป้าให้ฉันเตะหรือไง?”

“ลง…ลงมา พวกเราไม่อัดนายจนตายหรอก…”

ท่ามกลางฝูงชน นายอ้วนลูบหัวอย่างน้อยใจ บวมเป่งหมดแล้ว!

ฉันไปล่วงเกินใครที่ไหนกัน?

เขาเป็นผู้ชมอยู่ข้างนอก ปรากฏว่ากลับถูกหมัดฟางผิงเข้าที่หัวเต็มๆ มึนงงมาจนถึงตอนนี้

“ไม่ลงโว้ย! อย่าเข้ามา ใครเข้ามาฉันจะส่งกลับบ้านเกิดพร้อมกัน!”

“จะหมดเวลาแล้ว ชั้นสี่ยังไม่เข้ามาจัดการอีก อยากโดนหักคะแนนหรือไง?”

“ฉันยอมแพ้แล้ว อีกอย่างฉันจำได้ว่าล้มคนธรรมดาไปแค่ห้าสิบคน ผู้ฝึกยุทธ์ยี่สิบกว่าคน ไม่ได้เยอะขนาดนี้ อย่าเอาแต่จ้องกินเลือดกินเนื้อกันสิ!”

“ฉันบาดเจ็บหนักเหมือนกัน ช้ำข้างใน ถอยออกไปให้หมดเลยนะ!”

“…”

มองเห็นแต่ละคนเผยสีหน้าราวกับอยากจะเฉือนเขา ฟางผิงกลัวจริงๆ ว่าคนเยอะขนาดนี้ อาจรุมกระทืบเขาตายได้หรือเปล่า?

เหลือบมองฟู่ชางติ่งที่กำลังคลานขึ้นมาจากพื้น ฟางผิงขนลุกชันขึ้นมา น่าอนาถจริงๆ!

เสื้อผ้าของฟู่ชางติ่งแทบจะไม่มีเหลือแล้ว ทั้งไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม หลังเขามีแต่คราบเลือดจากการถูกเล็บครูด!

ฟางผิงจับช่องระบายอากาศแน่น ให้ตายยังไงก็ไม่ลง คนอื่นๆ อยากใช้อาวุธยาวจัดการเขา แต่เวลามีไม่มากแล้ว

จ้าวเหล่ยถามอย่างไม่เต็มใจอยู่บ้าง “คณบดี ยอมแพ้แล้วยังจะหักคะแนนพวกเราหรือเปล่า?”

ครั้งนี้หวงจิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนตอบว่า “ไม่หักแล้ว!”

“ถือว่านายโชคดีไป!”

จ้าวเหล่ยแค่นเสียง หันมาพูดอย่างโมโห “สลายตัว!”

ไม่ใช่ว่าอยากหยุดแค่นี้ แต่อย่างแรกเวลาไม่พอแล้วจริงๆ อย่างที่สองคือฟางผิงมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม แม้ปากจะบอกว่ายอมแพ้ แต่เห็นได้ชัดว่ามีพลังพร้อมรบอยู่ตลอด

เจ้าบ้านี้ไม่รู้ว่าตอนแรกอัดยาไปเท่าไหร่ ไม่กลัวว่าร่างตัวเองจะระเบิดตายหรือไง!

เวลานี้รุมโจมตีต่อไป คนที่ซวยที่สุดต้องเป็นฟางผิงอยู่แล้ว แต่คนที่เป็นตัวเปิด ไม่พ้นจะเสียเปรียบเช่นกัน

อาจจะเป็นเขาหรือหยางเสี่ยวม่าน แต่จ้าวเหล่ยคิดว่าตัวเองมีโอกาสสูงกว่า!

ถลึงตามองฟางผิงอย่างโมโห ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไป จ้าวเหล่ยยังไม่ลืมเหยียบฟู่ชางติ่งไปครั้งหนึ่ง

เจ้าสารเลวสองคนนี้ ทำให้ทุกคนขายหน้าต่อผู้ใหญ่!

พวกหยางเสี่ยวม่านไม่พอใจเหมือนกัน แต่สุดท้ายยังคงปล่อยฟางผิงไป ตอนที่ทุกคนเดินผ่านฟู่ชางติ่งนั้นต่างไม่ลืมฝากรอยเท้าตัวเองไว้

ฟางผิงเย็นวาบในใจ ครั้งนี้ฟู่ชางติ่งน่าอนาถจริงๆ!

“ฟางผิง…”

ฟู่ชางติ่งร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด เงยหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเท้ามองฟางผิงอย่างแค้นเคือง

พูดกันดีแล้วว่าจะช่วยกันสู้!

ถูกรุมซ้อมด้วยกันไม่เท่าไหร่ แต่สุดท้ายนายไม่เป็นไร ทุกคนต่างมาระบายความโกรธกับฉัน นี่แม่งยุติธรรมหรือไง?

———————-

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด