ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 8 เหนื่อยใจเหลือเกิน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ตอนที่ 8 เหนื่อยใจเหลือเกิน อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 8 เหนื่อยใจเหลือเกิน

แม้ว่าวันก่อนฟางผิงจะไปค้นข้อมูลจากในเน็ตมา แต่เพราะข้อจำกัดด้านเวลา แน่นอนว่าสาเหตุหลักอยู่ที่ค่าอินเตอร์เน็ตมีจำกัด

มีบางเรื่องที่เขาไม่ได้ค้นหาจนกระจ่างแจ้ง อย่างเช่นเรื่องการสอบสายวรยุทธ์ ที่จริงในอินเตอร์เน็ตก็มีบอกไว้อย่างไม่ชัดเจนนัก

ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน หากฟางผิงไม่ไปร้านอินเตอร์คาเฟ่ ก็คงไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย

ปัญหาบางอย่าง ไม่อาจไปถามตรงๆ ได้ เพราะในสายตาของคนหลายคน เรื่องพวกนี้เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป

“ดูท่า คงต้องซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่องแล้ว” ฟางผิงคิดในใจ เผลอลืมไปว่า คอมพิวเตอร์ก็ต้องใช้เงินซื้อเหมือนกัน

แม้ว่าตัวเองจะไม่กระจ่างใจนัก แต่หยางเจี้ยนที่ตั้งใจจะสอบสายวรยุทธ์ ย่อมเข้าใจดี

เมื่อหยางเจี้ยนพูดจบ ฟางผิงก็ตีหน้าซื่อถาม “ฉันจำได้ว่าปีก่อน การสอบวรยุทธ์ไม่ยากเท่าไร อย่างนาย จะสอบสี่ด่านไม่ผ่านเชียว หรือปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบใหม่?”

คำพูดนี้ดูคลุมเครืออยู่บ้าง การสอบทุกปีมักจะมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบเป็นปกติอยู่แล้ว ฟางผิงก็ไม่กลัวว่าหยางเจี้ยนจะคิดมาก

ถือโอกาสเยินยอหมอนี่ ไม่แน่ว่าจะสามารถหลอกเอาข้อมูลบางอย่างมาได้

หยางเจี้ยนไม่ได้ใส่ใจกับการตีหน้าซื่อของฟางผิง ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มเริงร่ายิ่งกว่าเดิม

ยากที่ฟางผิงจะยอมพูดเรื่องวรยุทธ์กับตัวเอง หยางเจี้ยนนั้นยินดีที่จะคุยต่ออย่างยิ่ง

อย่างเฉินฝานก็ไม่สนใจเรื่องนี้ หากฟางผิงยังไม่มา ตัวเองคุยก็เหมือนคุยคนเดียวเท่านั้น

ยามนี้เห็นฟางผิงสนใจ หยางเจี้ยนก็ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง “นายประเมินฉันสูงไปจริงๆ อีกอย่างมีปีไหนที่การสอบวรยุทธ์ง่ายบ้างกัน”

“แต่ปีนี้คงมีการเปลี่ยนระเบียบการเล็กน้อย ประเด็นหลักสอบอะไร ตอนนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ รอวันมะรืนรุ่นพี่หวังมาก็คงจะพูดคร่าวๆ เอง”

“หลายวันมานี้ฉันก็ค้นข้อมูลมาบ้าง ยังไปถามอาจารย์มานิดหน่อย เทียบกับปีที่แล้ว มีความแตกต่างอยู่บ้าง”

เห็นหยางเจี้ยนพูดมาถึงตรงนี้แล้วหยุดไป ฟางผิงรู้ทันทีว่าผู้ที่จะไว้หนวดในอนาคตคนนี้คิดจะล่อเหยื่อ เขาจึงไม่ถามอันใดต่ออีก

คนปากมากอย่างหยางเจี้ยน แม้ตัวเองจะไม่ถาม แค่อ้าปาก เขาก็อุดไว้ไม่อยู่แล้ว

เป็นดังที่คาด เมื่อเห็นว่าฟางผิงไม่อวยตัวเองต่อ หยางเจี้ยนยังกระหายจะเล่า ทำได้เพียงเอ่ยต่อ “เห็นบอกว่าด่านแรก เป็นด่านตรวจสอบประวัติอาชญากรรม”

ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังหยางเจี้ยนกล่าวต่อ “เมื่อก่อนด่านตรวจสอบประวัติอาชญากรรม จะสืบว่าญาติพี่น้องตลอดสามรุ่นมีประวัติอาชญากรรมหรือไม่ แต่ปีนี้ผ่อนคลายลงแล้ว ตรวจสอบแค่พ่อแม่ พี่น้องที่เกี่ยวพันทางสายเลือดเพียงสองรุ่นเท่านั้น”

“แต่เรื่องนี้ ไม่มีผลต่อพวกเรานัก เว้นเสียแต่ว่ารุ่นปู่ของพวกเราจะเคยมีประวัติอาชญากรรม”

ด่านแรกของการสอบวรยุทธ์คือ การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม

นี่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ อย่างไรผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่ใช่คนธรรมดา พลังในการทำลายย่อมสูงกว่าคนทั่วไป

ทุกปีมหาวิทยาลัยสายวรยุทธ์ จะส่งคนเข้าไปทำงานในส่วนรัฐบาลจำนวนมาก

เพราะต้องสูญเสียทรัพยากรอย่างมากกว่าจะสั่งสอนผู้ฝึกยุทธ์ออกมาได้ แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการให้พวกเขาไปก่ออาชญากรรม

แม้จะไม่มีคนกำหนดว่าพ่อแม่เป็นคนชั่ว ลูกต้องคนชั่วเหมือนกันก็ตาม

แต่ในสถานการณ์ที่ต้องคัดเลือกคน อย่างไรก็หนีไม่พ้นความเข้มงวด แม้คุณจะไม่เต็มใจก็ไร้ประโยชน์

“แม้การตรวจประวัติทางการเมืองจะผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้เป็นผลดีกับพวกเรา กลับจะส่งผลเสียมากกว่า เพราะผู้ที่สมัครจะมีจำนวนเยอะขึ้นมา ด่านที่สองมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นกัน ทั้งยังทำให้พวกเราได้เปรียบ”

หยางเจี้ยนยิ้มอย่างชื่นมื่น “ด่านที่สอง การตรวจร่างกาย ประเด็นหลักคือไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายการตรวจร่างกาย แต่กลับเปลี่ยนที่อายุ”

“เมื่อก่อนจำกัดอายุสูงสุดคือยี่สิบสอง แต่ปีนี้ระเบียบเปลี่ยนไปแล้ว จำกัดอายุสูงสุดที่ยี่สิบ ดูสิว่าไอ้พวกโง่เง่านั้นจะซ้ำชั้นยังไงอีก น่าโมโหจริงๆ!”

ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์มีอายุยิ่งน้อยนั้นยิ่งดี อายุน้อย ร่างกายและกระดูกยังไม่โตเต็มที่ ความคิดก็ยังไม่แตกฉาน ฝึกยุทธ์ตั้งแต่อายุน้อย กลับจะทำร้ายร่างกายเสียกว่า

ทั้งเนื่องจากวัยรุ่นเหล่านี้มีพลังที่มากกว่าคนทั่วไป ทำให้ง่ายที่จะสร้างเรื่องกับคนอื่น นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่เลือกก่อตั้งสาขาวรยุทธ์ในระดับชั้นมหาวิทยาลัย!

ผ่านการอบรมสั่งสอนเรื่องความคิดมาหลายปี เมื่อถึงช่วงมหาวิทยาลัย ความคิดของพวกนักศึกษาก็จะมีวุฒิภาวะตาม รวมทั้งร่างกายที่เติบโตขึ้น ฝึกฝนวรยุทธ์ในยามนี้ ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่สร้างปัญหาหลังจากนั้นก็มีไม่มาก

ในอดีตมีนักเรียนบางคนที่สอบไม่ได้ในปีนั้นๆ เลือกเรียนซ้ำอีกครั้งแล้วค่อยสอบ นั่นถือเป็นเรื่องปกติ

มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น หลังจากสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็รู้ว่าตัวเองพลาดที่ตรงไหน สามารถใช้สถานการณ์จริงทดแทนเรื่องนั้นได้

ทุกปีนักเรียนสายวรยุทธ์ก็มีนักเรียนซ้ำชั้นครองตำแหน่งเสียส่วนหนึ่ง

เมื่อก่อนจำกัดอายุสูงสุดที่ยี่สิบสอง บางคนถึงกระทั่งเรียนซ้ำชั้นปีแล้วปีเล่า

ปีนี้จำกัดถึงแค่อายุยี่สิบ เกรงว่าจะตัดความหวังของนักเรียนซ้ำชั้นจำนวนมากในเวลาอันสั้น

ส่วนมากนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามก็อายุสิบแปดถึงยี่สิบปี แต่นักเรียนที่ซ้ำชั้นบางคน เป็นไปได้ว่าอาจจะเกินยี่สิบปีแล้ว

ฟางผิงกลับไม่กังวลจุดนี้ อย่างไรเขาก็เพิ่งจะสิบแปดปี ซ้ำชั้นอีกสองปีย่อมไม่เป็นปัญหา

ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม “แล้วพวกนักเรียนซ้ำชั้นไม่โวยวายอะไรเลยเหรอ?”

หยางเจี้ยนเอ่ยอย่างเบิกบานใจ “ไม่มีก็แปลกแล้ว ได้ยินไม่กี่วันก่อนวุ่นวายไปทั่ว แต่จะมีประโยชน์อะไร? ใครใช้ให้สอบครั้งแรกไม่ผ่านกัน เลยยี่สิบไปแล้ว แม้จะสอบได้ ก็นับว่าถ่วงแข้งถ่วงขาคนอื่นอยู่ดี ประท้วงไปย่อมไร้ประโยชน์ อย่างไรคนที่สอบวรยุทธ์ก็เป็นนักเรียนจบใหม่มากกว่า ทุกคนแทบจะไม่อยากให้คนพวกนี้สอบ สายสังคมไม่ได้ห้ามเสียหน่อย ไปสอบสายสังคมก็ได้”

ฟางผิงกระจ่างใจ เบี่ยงไปอีกประเด็น “การตรวจร่างกายของสายวรยุทธ์และสายสังคมแตกต่างกันมากหรือเปล่า?”

หยางเจี้ยนถึงกับเกาหัว อดมองเขาไปทีไม่ได้

เฉินฝานที่ไม่ได้ปริปากพูดตั้งแต่ต้น เอ่ยอย่างหมดคำพูด “เพ้อเจ้อ จะไม่แตกต่างกันมากได้ยังไง? ฟางผิง นายคงไม่ได้นอนจนสมองไหลไปแล้วมั้ง?”

“เรื่องการตรวจร่างกาย ฉันได้ยินมาไม่น้อย นายคิดว่าค่าสมัครหนึ่งหมื่นนั้นจ่ายเสียเปล่าเหรอ? การตรวจสอบร่างกายสายวรยุทธ์ นั่นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด รวมทั้งกระดูกต้องไม่ได้รับการบาดเจ็บหรือมีความผิดปกติ

สายตาไม่ดี กระดูกสึกหรอ ภายนอกมีรอยแผลขนาดใหญ่ คนพวกนี้มักไม่ถูกคัดเลือก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวัดค่าปราณ หากปราณไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ แม้ว่าเรื่องอื่นจะดีเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ บางคนอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่าจะบำรุงยังไงก็รักษาไม่ได้ ชั่วชีวิตจึงไม่อาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ปกติในบ้านมักให้กินอาหารที่ไม่ครบถ้วน ระดับปราณก็จะสูงไม่ถึงมาตรฐาน ดังนั้นคนในเมืองใหญ่จึงมีสัดส่วนถูกคัดเลือกมากกว่าคนในเมืองเล็กๆ อย่างพวกเรา ทั้งเมืองเล็กๆ ก็มีโอกาสกว่าหมู่บ้านชนบท ยิ่งอยู่ในพื้นที่แร้นแค้น ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะน้อยลงเท่านั้น แม้ว่านายจะไม่ได้แตกต่างกับคนอื่นมาก แต่การสอบวรยุทธ์ทุกปีล้วนมีข้อกำหนดในการรับ คะแนนมากก็ถูกเลือกก่อน”

ฟางผิงพยักหน้า หวนคิดเล็กน้อย ตัวเองคงจะไม่มีปัญหาอะไร ทั้งปราณของตัวเองก็เพิ่งเพิ่มขึ้นไม่น้อย คงจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไป

หากเป็นเมื่อก่อน ฟางผิงคงไม่มั่นใจ แต่ทุกคนต่างเป็นคนธรรมดา ทั้งตัวเองก็ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย

แต่ค่าปราณ 1.1 จะถึงเกณฑ์หรือไม่ ยังคงพูดยาก ดูท่าแล้ว ก่อนจะตรวจสอบร่างกาย ต้องเพิ่มค่าปราณขึ้นอีกเสียหน่อย

นอกจากนี้ฟางผิงยังสงสัยเล็กน้อย ฟังจากคำพูดของเฉินฝาน ตอนนี้คงมีการตรวจวัดค่าปราณโดยเฉพาะ แต่ในความทรงจำของฟางผิง ปราณจะพอหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของแพทย์แผนจีน ไม่มีเครื่องตรวจสอบโดยเฉพาะ ทำได้เพียงดูจากลักษณะโดยรวมของคนไข้ จากนั้นก็ให้คำตอบ

ในการสอบเกาเข่า มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะอาศัยแพทย์วินิจฉัย ใช้โปรแกรมที่สำเร็จรูปยังมีโอกาสมากกว่า รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะเช่นกัน

ตอนที่ฟางผิงกำลังขบคิด หยางเจี้ยงก็เอ่ยว่า “นอกจากสองจุดนี้ เรื่องอื่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร ผ่านด่านตรวจสอบประวัติและร่างกาย แยกคนที่ตกรอบไปแล้ว คนที่เหลือเข้าร่วมด่านที่สาม ภาคปฏิบัติ จากนั้นสอบวิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะ สองอย่างนี้คือจุดที่ยากที่สุด…”

“แค่กๆ!”

ฟางผิงจำได้ว่าวันก่อนเหมือนจะเห็นเรื่องวิชาวัฒนธรรมในเน็ตเช่นกัน เวลานั้นเขาไม่ได้สนใจนัก

ตอนนี้กลับอดเอ่ยไม่ได้ “วิชาวัฒนธรรมไม่มีอะไรหรอกมั้ง นายไม่มีความมั่นใจเลยหรือไง?”

จากความคิดของฟางผิง คงไม่ต่างจากวิชาศิลปะในชาติก่อนนัก เงื่อนไขอื่นก็เหมาะสมหมดแล้ว

วิชาวัฒนธรรมคงผ่านได้ง่าย ให้ความสนใจเล็กน้อย นักเรียนมัธยมปลายกว่าเก้าสิบส่วนก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

กลับคาดไม่ถึงว่าเขาพูดไม่ทันจบ หยางเจี้ยนก็ยิ้มขมขื่น “ฟางผิง หากเป็นนายคงมีหวังอยู่บ้าง แต่ฉันเป็นเรื่องยาก เกณฑ์คะแนนต่ำสุดของการสอบวรยุทธ์ปีก่อน สูงกว่าคะแนนของสายสังคมถึงสิบคะแนน คะแนนของฉัน ยังไม่แน่ว่าจะสามารถผ่านคะแนนต่ำสุดได้”

“ผู้ที่เก่งทั้งวิชาการและการต่อสู้ย่อมไม่ใช่คนไร้อารยธรรม ปกติวรยุทธ์ก็ต้องใช้คะแนนสูงกว่าอยู่แล้ว ถ้าผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนไร้อารยธรรม จะอยู่สูงกว่าพวกเราได้ยังไงล่ะ”

คำพูดนี้เฉินฝานเป็นคนกล่าว พูดอย่างเรียบนิ่ง ทั้งสมเหตุสมผล

คนที่เก่งทั้งวิชาการและการต่อสู้ ถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์!

ผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นชื่อว่าเป็นวีรบุรุษของสังคม คนที่มีดีแค่ร่างกาย จะสามารถปกป้องประเทศ ควบคุมบริษัทได้หรือ?

เป็นเรื่องหลอกเด็กทั้งเพ!

ในโทรทัศน์ คนที่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่งเก็บคัมภีร์ลับได้ก็กลายเป็นยอดฝีมือแล้ว พอเหอะ! คนถ่อยอาจจะประสบความสำเร็จเล็กๆ ในเส้นทางต่อสู้ได้ แต่กลับไม่อาจเดินไปถึงจุดสูงสุด

มอบคัมภีร์ลับให้คุณเล่มหนึ่ง แต่คุณไม่รู้หนังสือ ยังจะเรียนวรยุทธ์ได้งั้นหรือ?

รู้หนังสือ แต่ไม่เข้าใจความหมายของมัน เช่นนั้นยังจะเรียนวรยุทธ์ไปทำไม?

ไม่เข้าใจความหมายของการฝึกยุทธ์ มีโอกาสเป็นไปได้มากที่การฝึกวิชาจะมีความคลุมเครือ นักศึกษาในชาติก่อนก็ไม่อาจเข้าใจได้ อย่างเช่นพวกคัมภีร์สวรรค์

ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์จึงจำเป็นต้องเข้าใจความรู้ที่ซับซ้อนมากมาย!

อย่างเช่นความรู้ทางการแพทย์ สรีระร่างกาย รวมทั้งแผนภาพโครงกระดูก ทางเดินชีพจรของมนุษย์ เรื่องพวกนี้ล้วนต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง

แต่นี่ยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เรียนวรยุทธ์ยังต้องเรียนวิชามากกว่าสายสังคมอีก

อย่างเช่น แร่วิทยา ศึกษาโภชนาการ…

การสอบวิชาเฉพาะที่หยางเจี้ยนพูด ความจริงก็คือความรู้ที่ซับซ้อนพวกนี้

หากต้องสนใจวิชาวัฒนธรรม ใส่ใจเรื่องร่างกายบุคลิกการสั่งสอนพร้อมๆ กัน ทั้งยังต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้

พูดได้ว่า นักเรียนที่สามารถสอบวรยุทธ์ได้ คงเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดยแท้จริงทั้งนั้น

คะแนนวิชาวัฒนธรรมสูงยิ่งกว่าสายสังคม ร่างกายต้องสมบูรณ์แบบ ทั้งยังต้องมีความรู้นอกเหนือจากวิชาวัฒนธรรม…

ได้ฟังห้าด่านใหญ่ของการสอบวรยุทธ์แล้ว ฟางผิงก็ท้อใจอย่างถึงที่สุด

สามด่านแรก มีระบบที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนั้น ฟางผิงรู้สึกว่าปัญหาของตัวเองไม่ได้ใหญ่นัก ทั้งยังพอมีวิธีเอาชนะ

แต่นี่คือการสอบวรยุทธ์ไง!

พูดว่าทดสอบร่างกายบุคลิก ทั้งยังต้องสอบวิชาวัฒนธรรมให้สูงกว่าคะแนนขั้นต่ำอีก?

ช่างมันแล้วกัน วิชานี้ฟางผิงเคยผ่านตามาบ้าง คงไม่ได้แตกต่างจากชาติก่อนมาก

มีเพียงวิชาประวัติศาสตร์ที่แปลกไปบ้าง มีเรื่องของวรยุทธ์เพิ่มเข้ามา

แต่สอบวิชาเฉพาะอะไรบ้าง?

ความรู้พวกนี้ ฟางผิงไม่ได้ค้นคว้าอย่างสิ้นเชิง

ยามนี้เกาเข่าใกล้เข้ามาแล้ว ตัวเองจะสามารถรับมือกับทุกเรื่องพร้อมกันได้หรือเปล่า?

พระเจ้าช่วย!

ฟางผิงรู้สึกท้อแท้อย่างยิ่ง ไม่เป็นวีรบุรุษแล้วได้ไหมล่ะ?

—————————

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด