Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 12 กลับคืนสู่สามัญ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ตอนที่ 12 กลับคืนสู่สามัญ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ศักยภาพของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นี้สูงกว่าที่คนในวงการจำนวนมากคิดไว้

วันเวลาหลังจากนี้ ยอดดาวน์โหลดของเพลงนี้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซาไห่คัลเจอร์ไร้ซึ่งความหวังที่จะโต้กลับแล้ว

สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ล็อกมงกุฎโดยสมบูรณ์

แต่ก็เป็นเพราะชาร์ตดาวรุ่งไร้ซึ่งข้อกังขา การถกเถียงกันเรื่องเซี่ยนอวี๋ภายในสตาร์ไลท์จึงเป็นอันค่อยๆ เบาลง

หลินเยวียนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

ช่วงนี้สิ่งที่เขาชื่นชอบในทุกๆ วัน ก็คือดูความโด่งดังของตนเอง

ขณะที่ยอดดาวน์โหลดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สูงขึ้น ความโด่งดังของเขาในตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 15000 แล้ว!

กระนั้นก็ยังห่างไกลกับค่าความโด่งดังหนึ่งล้านที่ระบบต้องการอีกมากโข

หลินเยวียนรู้ว่า ค่าความโด่งดังซึ่ง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ช่วยให้ชื่อเขามีชื่อเสียงนั้นท้ายที่สุดแล้วก็จะอิ่มตัว เขาจำเป็นต้องหาโอกาสปล่อยผลงานใหม่ ถึงจะกวาดชื่อเสียงได้เรื่อยๆ

……

วันที่ยี่สิบเอ็ด

วันหยุดเสาร์อาทิตย์วนมาอีกรอบ

เมื่อหลินเยวียนมาทำงานที่แผนกประพันธ์เพลงอีกครั้ง เพื่อนร่วมงานในแผนกก็พอจะพยายามปรับท่าทีให้ปกติกับหลินเยวียนได้แล้ว

เหล่าโจวหัวหน้าแผนกประพันธ์เพลงยังส่งเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ไปดูแลหลินเยวียน

ที่บอกว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นผู้ใหญ่ น่าจะเป็นเพราะเส้นผมของเพื่อนร่วมงานคนนี้มีไม่มาก ดูแล้วพึ่งพาได้ คล้ายกับคนเก่าคนแก่ในวงการ

เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ใหญ่คนนี้ชื่อว่าอู๋หย่ง

ภายใต้ชื่ออู๋หย่งก็มีผลงานดีๆ อยู่จำนวนหนึ่ง แม้ว่าผลลำเร็จของผลงานเด่นจะเทียบไม่ได้กับ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แต่ก็ทำรายได้มากพอดู มิหนำซ้ำระดับยังแตะถึงมาตรฐานของบริษัทด้วย

ความจริงแล้ว

ทั้งแผนกประพันธ์เพลงของสตาร์ไลท์ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของนักประพันธ์เพลงล้วนเป็นแบบเดียวกับอู๋หย่ง

“หลินเยวียน”

หลังจากที่อู๋หย่งถูกเหล่าโจวส่งมาช่วยหลินเยวียน เขาเอ่ยทักทายว่า “ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น มีตรงไหนไม่เข้าใจไปถามได้เลย นายเรียกฉันว่าเหล่าอู๋หรือว่าพี่หย่งก็ได้”

“พี่หย่ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

แน่นอนหลินเยวียนฟังออกว่าตอนที่อู๋หย่งพูดคำว่า ‘พี่หย่ง’ น้ำเสียงของเขาเค้นให้หนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นเขาจึงเติมเต็มความปรารถนาของอู๋หย่งซะเลย

ในที่ทำงานบนบลูสตาร์ก็ยังเคร่งครัดเรื่องลำดับอาวุโสอยู่เหมือนกัน

และแน่นอนว่าถ้าความสามารถของรุ่นพี่และรุ่นน้องห่างไกลกันมาก ต่อให้ไม่มีมารยาทก็อาจถูกติฉินนินทาได้ จุดนี้ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน

“พูดดี พูดดี”

เมื่อได้ยินคำทักทายของหลินเยวียน ท่าทีของอู๋หย่งก็ต้อนรับขับสู้กว่าเดิมมาก

ด้วยกระแสความโด่งดังของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ วันนี้หลินเยวียนซึ่งเพิ่งจะขึ้นปีสองก็นับได้ว่าเป็นนักแต่งเพลงชื่อดังวัยละอ่อน ทว่าคนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อยมักจะเป็นโรค ‘ทะนงตนเกินเหตุ’

อู๋หย่งกังวลว่าหลินเยวียนก็จะเป็นเช่นนั้น

แต่ตอนนี้ดูแล้ว หลินเยวียนไม่ได้เย่อหยิ่ง เพียงแต่พูดน้อย เงียบเหมือนลูกน้ำเต้าที่ยังไม่แตกออก บุคลิกค่อนไปทางคนโลกส่วนตัวสูง

“จริงสิ นายยังไม่ได้เข้ากลุ่มแช็ตสินะ”

อู๋หย่งยิ้มเอ่ย “ขอเบอร์โทรศัพท์นายหน่อย ฉันจะแอดนาย แล้วก็ลากเข้ากลุ่ม นักแต่งเพลงของสตาร์ไลท์ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มนี้ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเข้ามาไม่ได้ แล้วบรรยากาศในกลุ่มเราก็ดีมากด้วย ทุกคนว่างๆ ก็จะมาคุยกัน บางครั้งก็จะมีพ่อเพลงมาตอบบ้าง ถ้าได้คำแนะนำจากพ่อเพลงสักหน่อยก็ดีใจแทบแย่แล้ว”

พ่อเพลงเป็นคำศัพท์ที่กว้างมาก

สำหรับซุนเย่าหั่วแล้ว หลินเยวียนก็คือพ่อเพลง

เมื่อพบบทเพลงที่ยอดเยี่ยมสักเพลง ผู้คนก็มักชอบเรียกผู้ประพันธ์เพลงว่า ‘พ่อเพลง’ แต่อันที่จริงแล้ว นี่เป็นคำยกย่องอย่างหนึ่ง

เมื่อกวาดมองไปทั้งแวดวงนักประพันธ์เพลงแล้ว

ความสำเร็จของหลินเยวียนนั้นยังแตะไม่ถึงระดับ ‘พ่อเพลง’ พ่อเพลงที่แท้จริงก็คือตัวท็อปสุดโหดที่ทำให้ทั้งวงการต้องซูฮกยกย่องนั่นแหละ!

และตัวท็อประดับนี้ แม้แต่ในสตาร์ไลท์ก็ยังมีจำนวนเพียงตัวเลขหลักเดียว

……

อู๋หย่งแอดหมายเลขติดต่อของหลินเยวียน จากนั้นก็ลากหลินเยวียนเข้ากลุ่มใหญ่ของนักประพันธ์เพลงซึ่งใช้ชื่อว่า ‘สตาร์ไลท์’

ระบบแจ้งเตือนว่า ‘หลินเยวียนเข้ากลุ่มแช็ต’

จำนวนคนในกลุ่มนี้มากกว่าที่หลินเยวียนคาดคิดไว้มากเหลือเกิน บวกหลินเยวียนเข้าไปอีกก็มีถึง 953 คน!

อู๋หย่งคล้ายกับจะมองออกถึงความสงสัยของหลินเยวียน

เขายิ้มพลางพูดว่า “เกือบพันคนนี้เป็นนักแต่งเพลงของสตาร์ไลท์ทั้งหมด เพราะตึกสตาร์ไลท์มีห้าสิบชั้น ตั้งแต่ชั้นที่สิบถึงยี่สิบล้วนเป็นอาณาเขตของแผนกประพันธ์เพลงของพวกเรา ที่นายเห็นตอนนี้แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เดี๋ยวว่างๆ จะพาไปเดิน”

“อื้ม”

หลินเยวียนคิดแล้วก็เข้าใจ เป็นตนที่เผอเรอไปเอง ใช้ประสบการณ์จากบนโลกมาตัดสิน

ที่นี่ไม่ใช่โลก

ฉินโจวเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรีจากทั้งแปดเขตใหญ่ของบลูสตาร์ สตาร์ไลท์ก็เป็นหนึ่งในสามบริษัทบันเทิงใหญ่ ในมาตุภูมิแห่งดนตรี แผนกประพันธ์เพลงมีนักประพันธ์เพลงไม่ถึงหนึ่งพันคนสิถึงจะน่าแปลก อีกทั้งประพันธ์เพลงไม่ใช่แค่เขียนเพลง ความหมายที่แท้จริงของการประพันธ์เพลงนั้นแบ่งออกได้ตั้งหลากหลายประเภท

“เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครพููดอะไรเลยล่ะ”

อู๋หย่งพบว่าหลังจากที่หลินเยวียนเข้าไปในกลุ่มใหญ่ ก็มีเพียงไม่กี่คนในนั้นที่ส่งมาว่า ‘ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่’

นั่นทำให้เขารู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง

เมื่อกี้เพิ่งจะพูดไปว่าบรรยากาศในกลุ่มแช็ตดี แต่กลายเป็นว่าเด็กใหม่เข้าไป คนที่มาทักทายมีอยู่ไม่กี่คน

ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง อู๋หย่งก็พูดว่า “นายลองเปลี่ยนหมายเหตุ[1]ดู เปลี่ยนเป็นเซี่ยนอวี๋”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นจึงทำตาม

ผลคือทันทีที่เปลี่ยนหมายเหตุ ในกลุ่มก็คึกคักขึ้นมาทันที ราวกับว่าความเงียบเชียบเยือกเย็นเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง

‘เซี่ยนอวี๋ตัวจริงเลยเหรอ’

‘เพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นั่น?’

‘ยินดีต้อนรับเด็กใหม่ ยินดีต้อนรับ!’

‘โอ้โห! ยินดีต้อนรับเซี่ยนอวี๋เข้ากลุ่ม!’

‘ว้าว เซียนอวี๋หรอกเหรอ ยินดีต้อนรับ!’

‘ยินดีต้อนรับๆ ขอต้อนรับด้วยความยินดี!’

เพื่อแสดงความเป็นมิตร ถึงขั้นมีคนส่งซองแดงเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับเซี่ยนอวี๋’ ตัวโตให้ ในนั้นมีเงินถึงสองร้อยหยวน!

‘ไอ้พวกหลายมาตรฐานเอ๊ย’

อู๋หย่งก่นด่าในใจ กระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ฉันพูดไว้ไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ บรรยากาศในกลุ่มนี้…ไม่เลวจริงๆ ”

หลินเยวียนพยักหน้า

ในตอนนั้นเอง ในกลุ่มก็มีคนหนึ่งชื่อว่า [เจิ้งจิง] อยู่ๆ ก็แท็กชื่อหลินเยวียนมา ‘เซี่ยนอวี๋ ฉันฟัง ‘ชีวิตดั่งมวลผกา

ยามคิมหันต์’ แล้ว ไม่เลวเลย’

‘พ่อเพลงพ่อเพลง!!’

‘ว้าว สวัสดีครับพี่จิง!’

‘เสี่ยวหลี่จื่อยินดีต้อนรับพี่จิง!!’

‘วันนี้ได้เห็นพ่อเพลงมาเอง ฮือๆๆๆ โชคดีจริงๆ พี่จิงผู้เกรียงไกร!’

‘อยู่แถวหน้าคำนับพี่จิง!’

‘พี่จิงมาเองเลยเรอะ!’

‘ฉันมารับพลังเซียนของพี่จิง!’

เจิ้งจิงคนนี้ปรากฏตัว บรรยากาศของกลุ่มก็ไม่สามารถใช้คำว่าคึกคักมาบรรยายได้แล้ว แต่ต้องใช้คำว่าแตกตื่นเลยต่างหาก!

“เชี่ย!”

แม้แต่อู๋หย่งเองก็ยากจะข่มกลั้นคำอุทาน ตื่นเต้นจนมือสั่นเทิ้ม ‘สวัสดีครับพี่จิง พ่อเพลงอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี

หมื่นๆ ปี!’

หลินเยวียนหัวใจกระตุกวูบ

ในความทรงจำของเจ้าของร่างก็มีบุคคนที่ชื่อเจิ้งจิงคนนี้ด้วย นี่คือพ่อเพลงจริงๆ ในสตาร์ไลท์หรือแม้แต่ฉินโจวก็ยังจัดเป็นนักประพันธ์เพลงอันดับต้นๆ

ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ชายถึงจะเรียกว่าพ่อเพลง

นักประพันธ์เพลงผู้หญิงฝีมือขั้นเทพก็ถูกผู้คนขนานนามว่าพ่อเพลง

น่าจะเป็นเพราะคำว่า ‘แม่เพลง’ ฟังดูไม่รื่นหูเท่าที่ควร?

และเพลงที่เจิ้งจิงเขียน มีหลายเพลงที่เจ้าของร่างร้องได้

ดังนั้นหลินเยวียนจึงถามอู๋หย่งว่า “เจิ้งจิงเป็นคนแต่งเพลง ‘ชาด’ ใช่มั้ยครับ”

“ใช่แล้ว คนนี้แหละ!”

อู๋หย่งทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ “‘ชาด’ เป็นแค่หนึ่งในเพลงดังของเธอล่ะ ยังมี ‘คราม’ กับ ‘ขาว’! ห้าปีก่อนเพลงชุดสามสีทำให้นักร้องระดับเทพสวรรค์คนหนึ่งถือกำเนิดเลย ก่อนที่จะร้องเพลงของพี่จิง นักร้องคนนี้เกือบจะตกงานต้องไปร้องในบาร์ เพราะงั้นในวงการของพวกเรา พี่จิงนับว่าเป็นนักแต่งเพลงระดับตำนาน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอเข้ามาตอบในกลุ่ม นายถึงกับได้คำชมจากเธอเชียวนะ ในกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าอิจฉาจนร้องไห้กันไปกี่คนแล้ว!”

“ที่แท้ก็เป็นคนนี้”

หลินเยวียนพยักหน้า และแท็กเจิ้งจิงไป ตอบว่า ‘ขอบคุณครับ ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย’

“…”

ทั้งกลุ่มแช็ตเงียบกริบในทันใด

ความตื่นเต้นของอู๋หย่งพลันนิ่งค้างบนใบหน้า สีหน้าออกจะถึงขั้นบูดเบี้ยวอยู่สักหน่อย สายตาเขาเหม่อมองหลินเยวียน

ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย?

นี่คือ…คำชมใช่ไหม?

นี่คือคำชม…ใช่ไหม?

นี่มันเจิ้งจิงเชียวนะ!

พ่อเพลงตัวจริงเสียงจริงเลยนะ!

พ่อเพลงในวงการกล่าวชมนายขนาดนี้ นายยังพูดออกไปว่า ‘ผลงานของคุณก็ไม่เลวเลย’ ออกมาอย่างหน้าตาเฉย?

พ่อเพลงยิ่งใหญ่ที่สุด!

ตอนนี้นายควรจะเคารพยำเกรงต่อพี่จิงอย่างจริงใจแบบพวกเราไม่ใช่เรอะ!

แต่นี่นายกลับพูดว่าอะไร

นี่มันใช่สิ่งที่ควรจะพูดมั้ย?

อู๋หย่งเงียบกริบ ทว่าในใจกลับคำรามร้อง เขาสาบานต่อสวรรค์ได้เลยว่าคนในกลุ่มคนอื่นๆ ก็คิดเหมือนเขา!

เป็นความผิดฉันเองที่ก่อนหน้านี้คิดว่าหลินเยวียนไม่ได้เป็นอัจฉริยะวัยละอ่อนที่เย่อหยิ่งเกินเหตุ!

มีตรงไหนที่ไม่เย่อหยิ่งเนี่ย

นี่มันเย่อหยิ่งจองหองสุดๆ เย่อหยิ่งจนถึงระดับที่ ‘เอิบอาบสรรพสิ่งอย่างเงียบงัน[2]’ แทบจะกลับคืนสู่สามัญ!

แต่ว่า

ถึงแม้ในกลุ่มจะเงียบไป แต่เจิ้งจิงกลับไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งยังแท็กหลินเยวียนมาอีกครั้งว่า ‘รอเพลงใหม่ของเธออยู่นะ’

หลินเยวียนตอบ ‘อื้ม’

ชั่วขณะนั้น ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบสงัด

อู๋หย่งถึงกับไม่รู้ว่าควรนิยามหลินเยวียนตรงหน้าว่าอย่างไรแล้ว

จะบอกว่าเขาไม่มีมารยาทเหรอ สีหน้าของเขาตอนพิมพ์ตอบออกจะจริงจัง ให้ความรู้สึกเคารพผู้อาวุโสอยู่นะ

เรื่องนี้จะเสแสร้งกันไม่ได้หรอก แม้จะมีหน้าจอกั้นอยู่ มีแค่เขาซึ่งอยู่ด้านข้างที่เห็น

จะบอกว่าเขามีมารยาท…

ดูคำพูดพวกนี้ที่เขาพิมพ์ออกมาสิ นี่มันคำศัพท์พรรค์ไหนกัน!?

นายรู้หรือเปล่าว่านายกำลังพูดอยู่กับใคร

เขากุมขมับ แทบอยากจะทึ้งเส้นผมที่เหลืออยู่ไม่มากให้หลุดออกมา

ขณะที่อู๋หย่งกำลังปวดใจ ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน

บทสนทนาที่หลินเยวียนและเจิ้งจิงพูดคุยกันคล้ายกับจะเป็นวิธีการสื่อสารของคนระดับพ่อเพลง

น้ำเสียงของหลินเยวียนราบเรียบเกินไป ราบเรียบจนคล้ายกับว่าเขาเป็นพ่อเพลงที่เทียบเท่ากับเจิ้งจิงได้อย่างไรอย่างนั้น!

แต่ปัญหาคือ…

เทียบกับเจิ้งจิง นายจะไปอยู่ตรงไหน

และสิ่งที่ยิ่งทำให้คนมึนตึ้บไปตามๆ กันก็คือ เจิ้งจิงถึงกับไม่โกรธเคือง

ราวกับว่าในสายตาของเธอแล้ว วิธีการพูดของหลินเยวียน…ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด