Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 42 อัตราการซื้ออันน่าตกใจ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ตอนที่ 42 อัตราการซื้ออันน่าตกใจ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูประกาศห้าอันดับที่ได้รางวัลซูเปอร์โนวาอวอร์ดครั้งนี้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือน ฝั่งหลินเยวียนก็มีหยางเฟิงมาแจ้งข้อมูลแล้ว และได้เห็นชื่อ ‘ปรินซ์ออฟเทนนิส’ ในรายชื่อผู้รับรางวัลคนสุดท้าย

“นิยายจะตีพิมพ์พรุ่งนี้แล้ว”

หยางเฟิงเตือนหลินเยวียนไว้ล่วงหน้า “แต่นายไม่ต้องสนใจยอดขายมากหรอกนะ นิยายแนวเฉพาะกลุ่มอย่างการแข่งขันกีฬา ยอดขายไม่ได้เป็นตัวชี้วัดผลงานแค่อย่างเดียว เอาเป็นว่าต้องขอแสดงความยินดีกับนายที่ได้เป็นนักเขียนนิยายอย่างเป็นทางการแล้ว”

หลินเยวียนตอบ “ขอบคุณครับ”

หยางเฟิงหัวเราะ “งั้นฉันวางสายก่อนละ บริษัทยังมีประชุมเรื่องวางขายอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้นิยายจะวางขายอย่างเป็นทางการแล้ว ทางเราจะส่งให้นายฟรีสองสามเล่ม อีกอย่างนายจะไปเดินดูที่ร้านขายหนังสือก็ได้ พรุ่งนี้ก็จะวางขายในร้านหนังสือทั่วทั้งฉินโจวแล้ว”

“ครับ บ๊ายบายครับ”

หลังจากวางสายแล้ว หยางเฟิงก็เก็บโทรศัพท์ เดินเข้าห้องประชุม ยามนี้เหล่าบรรณาธิการต่างกระซิบกระซาบถกเถียงกันเรื่องผลรางวัลซูเปอร์โนวา “ไม่รู้ว่ายอดขายของซูเปอร์โนวาปีนี้จะเป็นยังไง ฉันถูกใจเรื่องจอมมารทะลุมิติที่อยู่อันดับหนึ่ง ตัวเอกทะลุมิติไปต่างโลกกลายเป็นจอมมารที่ผู้คนหวาดกลัว ทิศทางของพล็อตค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ อย่างน้อยก็ดึงดูดผู้อ่านได้มากหน่อย”

“ฉันกลับชอบอันดับสอง”

“ต้าหลงนักเขียนของอันดับสองเก๋าเกม หมอนี่น่ะเป็นนักเขียนมาตั้งนานแล้ว ก็แค่เปลี่ยนชื่อมาเป็นหน้าใหม่ก็แค่นั้น แต่ว่านิยายที่เขาเขียนครั้งนี้ก็สนุกมาก ตัวเอกถูกเจ้าหญิงเรียกตัวมายังต่างโลกเลยนะ”

“…”

การถกเถียงกันเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

มีคนชอบอันดับที่หนึ่ง มีคนชอบอันดับที่สอง และยังมีคนรู้สึกว่าอันดับสามอันดับสี่ไม่เลวเลย มีเพียงอันดับห้าที่มีคนพูดถึงกันน้อยที่สุด เพราะบรรณาธิการในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูล้วนรู้ดีว่าอันดับที่ห้าเป็นนิยายที่หัวหน้าบรรณาธิการฝืนใจใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความหลากหลายของตลาดนิยาย

จุดนี้ทุกคนเข้าใจได้

การผูกขาดประเภทนิยายในท้องตลาดก็สูงมากจริงๆ นั่นละ และมันก็ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาวงการนิยาย ฉะนั้นตั้งแต่ในปีนี้ แต่ละสำนักพิมพ์ใหญ่รวมถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ล้วนแต่ทดลองผลักดันนิยายแนวใหม่สู่ตลาด เพื่อให้แตะถึงเป้าหมายในการดึงดูดทิศทางความหลากหลายของตลาด

หลังจากประกาศผลรางวัลซูเปอร์โนวาออกไป บนเว็บไซต์ทางการจะมีแบบสำรวจการแนะนำผลงานซึ่งได้รางวัลและคะแนนความคาดหวังของผู้อ่านด้วย นักอ่านเจ้าประจำซึ่งได้รับเชิญมาพิเศษล้วนกรอกแบบสอบถาม ผลคือคะแนนความคาดหวังของผู้อ่านสามอันดับแรกในซูเปอร์โนวานั้นสูงที่สุด!

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

เป็นเพราะสามอันดับแรกล้วนเป็นแนวผจญภัยในต่างโลก

ปรินซ์ออฟเทนนิสซึ่งอยู่ลำดับที่ห้านั้นมีคะแนนความคาดหวังต่ำที่สุด ผู้อ่านอาจไม่สนใจเทนนิสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้ในข้อความแนะนำของเว็บไซต์ทางการจะเน้นย้ำตลอดว่านี่เป็นนิยายแนวกีฬาซึ่งคนที่เล่นเทนนิสไม่เป็นก็อ่านเข้าใจ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลสำรวจในครั้งนี้ได้

ถึงขั้นที่ยังมีคนประท้วงในเว็บไซต์ทางการ

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังจากประกาศผล ก็มักจะมีนักเขียนพูดว่าตนเองยอดเยี่ยมทว่าไม่ผ่านการคัดเลือกรู้สึกว่าการตัดสินรางวัลในครั้งนี้ไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะในปีนี้ ปรินซ์ออฟเทนนิสไปยียวนกวนโทสะของเหล่าผู้ตกรอบหลายคนเข้า

‘ติดอันดับได้ไง’

‘แต่ไหนแต่ไรมาฉินโจวไม่ยักเคยมีแนวแข่งขันกีฬาพุ่งติดอันดับมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิยายเกี่ยวกับเทนนิส คลังหนังสือซิลเวอร์บลูยัดผลงานแบบนี้เข้ามาอยู่ในอันดับห้าเพื่อให้เพิ่มแนวนิยาย แต่จริงๆ แล้วน่าผิดหวัง’

สี่อันดับแรกเป็นแนวซึ่งได้รับความนิยม

อันดับที่ห้าจึงตกเป็นเป้าโจมตีไปโดยปริยาย

ทว่าคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการประท้วงเหล่านี้ สำหรับกองบรรณาธิการแล้ว ปรินซ์ออฟเทนนิสนั้นเป็นนิยายเฉพาะกลุ่มไปหน่อยก็จริง แต่คุณภาพของนิยายนั้นไม่ได้แย่จนเหลือรับอย่างที่คนอื่นตัดสิน

‘น่าเสียดายแทนเหอหมิงเซวียน’

บรรณาธิการคนหนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้นพลางส่ายหน้า

เหอหมิงเซวียนเป็นนักเขียนที่เดบิวต์แล้วคนหนึ่ง ครั้งนี้เขาส่งผลงานในนามหน้าใหม่ ผลงานได้รับการประเมินในระดับที่ไม่เลว มีบรรณาธิการหลายคนหลังจากได้อ่านผลงานของเขาแล้ว ก็เสนอให้ผลงานของเหอหมิงเซวียนเป็นผู้ชนะลำดับที่ห้าในการประกวดซูเปอร์โนวา

ทว่าน่าเสียดายที่เขาดันมาเจอกับปรินซ์ออฟเทนนิส

เหตุผลของหัวหน้าบรรณาธิการก็โน้มน้าวใจทุกคนได้ ‘หนึ่งก็คือตลาดต้องเกิดความหลากหลาย สองคือถึงยังไงเหอหมิงเซวียนก็เป็นนักเขียนมืออาชีพ แม้ว่าทุกปีจะมีนักเขียนมืออาชีพเปลี่ยนชื่อมาก็เถอะ แต่ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีเท่าไหร่ พวกเราควรจะให้โอกาสนักเขียนหน้าใหม่มากกว่า’

เหอหมิงเซวียนก็เป็นอันตกรอบไปด้วยประการฉะนี้

บรรณาธิการที่สนิทชิดเชื้อกับเหอหมิงเซวียนก็อุตส่าห์ไปปลอบเขาเพราะเรื่องนี้ “ถ้าไม่ใช่เพื่อให้แนวนิยายในตลาดมันหลากหลาย ครั้งนี้คุณน่าจะเป็นอันดับห้า เพราะงั้นครั้งนี้ตกรอบไปไม่ใช่เพราะความสามารถไม่พอ แต่เป็นเพราะ คุณโชคไม่ค่อยดีต่างหาก”

……

ถึงแม้เหอหมิงเซวียนจะได้ชื่อว่าเป็นอันดับที่หก แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านปรินซ์ออฟเทนนิสของนักเขียนที่ตกรอบเหล่านั้น เพราะในปีที่เขาได้เดบิวต์ ก็มีคนประท้วงผลงานของเขาเทือกนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเขาจึงเข้าใจว่าการถูกคนตกรอบต่อต้านนั้นรู้สึกอย่างไร เขาไม่มีทางกลายเป็นคนประเภทที่เขาเคยเกลียดเป็นอันขาด

บรรณาธิการพูดไว้ไม่ผิด

เขาเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้ตนโชคไม่ค่อยดี อย่างไรก็เจอเข้ากับสถานการณ์พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่หน้าใหม่แต่อย่างใด เปลี่ยนชื่อเข้าไปแย่งโอกาสนักเขียนหน้าใหม่เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องสักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วหลีกทางให้นักเขียนหน้าใหม่ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้

‘บางทีฉันอาจไม่เหมาะกับการเขียนหนังสือ’

เหอหมิงเซวียนสงสัยในตัวเอง เมื่อห้าปีก่อนเขาได้เปิดตัวในฐานะนักเขียนนิยาย ยอดขายนิยายในฤดูกาลนั้นถึงขั้นเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าหลังจากหนังสือเรื่องนั้นจบลง หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนออกมาก็ล้วนแต่ไม่เป็นโล้เป็นพาย จนทุกวันนี้เหลือแค่ไม่กี่สำนักพิมพ์ที่ยังยินดีตีพิมพ์ผลงานของเขาอยู่

นั่นทำให้เหอหมิงเซวียนช้ำใจมาก

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ เขาคงไม่บากหน้าไปเข้าร่วมการแข่งขันของนักเขียนหน้าใหม่อย่างซูเปอร์โนวาหรอก สำหรับนักเขียนทุกคนแล้ว การไปแย่งชิงโอกาสกับนักเขียนหน้าใหม่นั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาล้มเหลว

คืนนั้นเหอหมิงเซวียนข่มตาหลับไม่ลง

เช้าตรู่วันที่สอง เหอหมิงเซวียนเดินเข้าร้านหนังสือที่ใกล้บ้านที่สุดด้วยสภาพมึนๆ งงๆ มองไปยังหน้าชั้นหนังสือแรกในร้านหนังสือตามสัญชาตญาณ

เมื่อก่อนชั้นหนังสือนี้ก็เคยมีผลงานของเขาจัดวางจนเต็ม

ทว่าวันนี้ หนังสือที่จัดวางไว้ล้วนเป็นผลงานห้าอันดับแรกของซูเปอร์โนวา

อันดับที่หกของเขาทำผลงานไม่สำเร็จ

คนอ่านหนังสือในร้านมีเยอะมาก ส่วนมากล้วนหยิบมาพลิกอ่าน หามุมเงียบแล้วอ่านหนึ่งหมื่นตัวอักษรแรกก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนชอบเรื่องนี้ ผู้อ่านถึงจะควักเงินออกมาจ่าย

เมื่อมองดูภาพนี้

เหอหมิงเซวียนก็หวนนึกถึงเรื่องโง่เขลาที่เคยทำเมื่อก่อน

ในตอนนั้นนิยายของเขาเพิ่งตีพิมพ์ เขาไปนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านขายหนังสือตลอดทั้งวัน ไม่ได้ทำอย่างอื่น เพียงแค่คอยสังเกตผู้คนซึ่งเข้ามาซื้อหนังสือ

ทุกครั้งที่มีคนมาซื้อหนังสือของเหอหมิงเซวียน เขาก็จะแอบรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่คนเดียว

วันนี้

เข้ามาในร้านหนังสือ

เหอหมิงเซวียนกวาดตาสังเกตตามสัญชาตญาณ

เป็นไปดังคาด เล่มที่ทุกคนหยิบเป็นอันดับแรกล้วนเป็นหนังสือแนะนำของร้าน และเป็นผลงานชนะสามอันดับแรกของซูเปอร์โนวา

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหอหมิงเซวียนก็คือวันนี้อัตราการซื้อของทุกคนนั้นไม่สูง คนจำนวนมากหยิบหนังสือมาอ่านครู่หนึ่งก็เก็บกลับไปที่เดิม ราวกับว่าผลงานของซูเปอร์โนวาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา

ทว่ามีเล่มหนึ่งซึ่งอัตราการซื้อนั้นเหนือความคาดหมายของเหอหมิงเซวียน

หนังสือเล่มนั้นก็คือปรินซ์ออฟเทนนิส นิยายที่เบียดให้เหอหมิงเซียนตกไปอยู่ลำดับที่หก

อันที่จริงคนที่หยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปเปิดอ่านนั้นมีน้อยซะยิ่งกว่าน้อย เมื่อเทียบกับลำดับที่สี่แล้ว ผู้ที่สนใจนิยายเล่มนั้นมีน้อยจนน่าสงสารเลยทีเดียว

แต่ว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดกับภาพความน่าสงสารนี้คือ

นักอ่านซึ่งหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปลองอ่าน ท้ายที่สุดแล้วจะซื้อหนังสือกลับไป!

ด้วยเหตุนี้เหอหมิงเซวียนจึงตั้งใจนับดูสักหน่อย

ตั้งแต่เข้ามาในร้านหนังสือ นักอ่านที่ยินดีหยิบปรินซ์ออฟเทนนิสไปเปิดอ่านมีทั้งหมดแค่สิบแปดคนถ้วน

กระนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ

คนที่เมื่ออ่านปรินซ์ออฟเทนนิสเสร็จแล้วยอมซื้อกลับบ้าน กลับมีถึงสิบห้าคน!

“นี่มัน…”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด