Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 110 พวกนายห้ามพูดถึงอาจารย์ฉู่ขวงแบบนั้นนะ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ตอนที่ 110 พวกนายห้ามพูดถึงอาจารย์ฉู่ขวงแบบนั้นนะ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 110 พวกนายห้ามพูดถึงอาจารย์ฉู่ขวงแบบนั้นนะ

ช่วงเวลาพักของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคือสิบเอ็ดโมงเช้า ส่วนช่วงบ่ายเข้างานบ่ายโมงตรง ช่วงเวลาระหว่างนั้นสองชั่วโมงก็มากพอให้ทุกคนกินข้าวหรือพักผ่อน แต่น้อยนักที่จะเห็นคนกลับบ้าน โดยทั่วไปแล้วทุกคนจะพักผ่อนอยู่บริษัทมากกว่า

เวลา 11:15 น.

เหล่าบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีเยาวชนกินข้าวที่โรงอาหารเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งก็รวมกลุ่มกันกลับออฟฟิศ แต่กลับพบว่าหยางเฟิงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ขยับ ราวกับนิ่งค้างไปแล้ว

ผู้คนพากันส่ายหน้า

ทุกคนล้วนเห็นใจหยางเฟิง

หยางเฟิงตกที่นั่งลำบากแล้ว กว่านักเขียนผลงานขายดีอย่างฉู่ขวงจะปรากฏตัวขึ้นได้ แต่เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสตีพิมพ์ออกไปได้ติดต่อกันไม่ถึงครึ่งปี ก็จบลงอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ จึงหันไปฝากความหวังไว้กับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงก็ดันเลือกแนวแปลกประหลาดอีก

อย่าว่าแต่หยางเฟิงเลย

สถานการณ์แบบนี้ต่อให้เป็นบรรณาธิการคนไหนในกองก็คงจะรับมือไม่ไหวเหมือนกัน น่ากลัวว่าตอนนี้สมองของหยางเฟิงคงขบคิดว่าจะโน้มน้าวให้ฉู่ขวงเปลี่ยนแนวอย่างไรดีล่ะมั้ง ทุกคนจึงได้แต่ผลัดกันเข้าไปตบบ่าหยางเฟิง

“ลงไปกินข้าวก่อนเถอะ”

“เรื่องนี้ยังมีทางแก้”

“เดี๋ยวนายก็ไปคุยกับฉู่ขวงดีๆ ให้เขาเข้าใจรูปแบบวงการเรา โน้มน้าวให้เขาเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ ด้วยความสามารถของเขาน่ะ ถ้าเขียนแนวการแข่งขันกีฬาต่อ ต่อให้ไม่ถึงระดับเดียวกับปรินซ์ออฟเทนนิส แต่เชื่อว่าคงไม่ห่างกันมากหรอก”

“แนวเทพเซียนกำลังภายในเขียนไม่ได้แน่นอน”

“แนวนี้เก่าเกินไปจริงๆ นั่นแหละ”

ไหล่ถูกเพื่อนร่วมงานตบเบาๆ ติดกันหลายครั้ง จนหยางเฟิงได้สติกลับมาราวตื่นจากห้วงฝัน ทั้งตัวรู้สึกคล้ายว่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ตะโกนดังลั่นด้วยท่าทางฉุนเฉียว

“พวกนายจะไปรู้อะไรล่ะ!”

หลังจากผู้คนมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็นึกสงสัยว่าหยางเฟิงมีปัญหาเพราะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงท่าทางผิดแปลกแบบนี้ ฉะนั้นทุกคนจึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองที่หยางเฟิงระเบิดโทสะ แต่กลับยิ่งเห็นใจเขามากกว่าเดิม

“อย่าเศร้าไปเลยพี่ชาย”

“นี่มันไม่ใช่ปัญหาของนายสักหน่อย”

“เป็นปัญหาของฉู่ขวงเองทั้งนั้น”

“แค่เรื่องตัดจบปรินซ์ออฟเทนนิสกะทันหันก็มองออกแล้ว ว่าฉู่ขวงนี่เป็นนักเขียนที่เอาแต่ใจ แล้วหนังสือของนักเขียนที่เอาแต่ใจแบบนี้ก็มีแต่ความไม่แน่นอน นายอย่าเศร้าไปเลย”

“…”

ทุกคนคิดไปว่าเมื่อเอ่ยปลอบเช่นนี้แล้ว สภาพจิตใจของหยางเฟิงจะดีขึ้นมาอีกสักหน่อย ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ หยางเฟิงถึงขั้นถลึงตาใส่พวกเขาอย่างขุ่นเคือง “พวกนายห้ามพูดถึงอาจารย์ฉู่ขวงแบบนั้นนะ!”

ทุกคน “…”

หยางเฟิงโบกไม้โบกมือ แลดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและความตื่นเต้น ราวกับเป็นปลาที่ได้กลับสู่อ้อมกอดของท้องทะเลอีกครั้งหนึ่ง “พวกนายไม่รู้ซะแล้วว่าเทพเซียนกำลังภายในคืออะไร ผลงานของอาจารย์ฉู่ขวงถึงจะเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการ และพวกนายไม่มีทางเข้าใจ!”

หยางเฟิงตื่นเต้นจริงๆ!

เมื่อเอ่ยถึงเทพเซียนกำลังภายใน ในความทรงจำล่าสุดของผู้คนคือเรื่องมหาศึกเซียนปะทะมารซึ่งต้องย้อนไปเมื่อแปดสิบปีก่อน ดังนั้นในตอนที่บรรณาธิการจำนวนมากได้ยินว่าฉู่ขวงจะเขียนนิยายเทพเซียนกำลังภายใน ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือ ‘แนวนี้ตกยุคไปตั้งนานแล้ว’

เดิมทีหยางเฟิงก็คิดแบบนั้น

จนกระทั่งเมื่อสิบนาทีก่อน หยางเฟิงอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งจบ เขาถึงตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ตนผิดไปมหันต์ จินตนาการของฉู่ขวงล้ำกว่าที่บรรณาธิการทุกคนจะคาดเดาได้

แนวเทพเซียนกำลังภายในเขียนแบบนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย!

ท่ามกลางโลกอันมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ ภาพของดอยไผ่ใหญ่สำนักเมฆาครามค่อยๆ ปรากฏขึ้น ประหนึ่งภาพเขียนหมึกโบราณโอบล้อมด้วยความขลัง จางเสี่ยวฝานและไม้ดูดวิญญาณซึ่งแลดูแสนจะธรรมดา ศิษย์พี่หญิงเถียนหลิงเอ๋อร์ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน เด็กสาวเฉลียวฉลาดและซุกซน ทั้งยังมีศิษย์พี่ซึ่งนิสัยแปลกประหลาดแต่ใจดี รวมไปถึงอาจารย์ซึ่งทำตัวลึกลับ ทุกๆ ตัวละครราวกับว่าหลุดออกมาจากหน้ากระดาษอย่างไรอย่างนั้น

ไข่มุกโลหิต!

ภูตวานรตรีเนตร!

ศึกระหว่างพุทธเต๋ามาร!

การประลองเมฆาครามเจ็ดปราณ!

ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนทำให้หัวใจของหยางเฟิงเต้นระส่ำ ทุกฉากที่ปรากฏขึ้นล้วนทำให้หยางเฟิงเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมในช่วงแรกของชีวิตจางเสี่ยวฝาน และเห็นการเปิดฉากขึ้นของการประลองเมฆาครามเจ็ดปราณ จังหวะของเรื่องราวก็มาค้างเติ่งอยู่ในจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุด

หยางเฟิงยอมศิโรราบแล้ว

เขาไม่สนใจเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาปลอบประโลมอีกต่อไป และไม่อธิบายความบรรเจิดของนิยายเรื่องนี้ให้มากความ แต่กลับส่งต้นฉบับเรื่องกระบี่เทพสังหารเข้าอีเมลของทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เชื่อว่าทุกคนอ่านจบแล้วก็จะเข้าใจความรู้สึกของเขาเอง

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย

หยางเฟิงก็ลงไปกินข้าว

วันนี้หยางเฟิงแปลกพิกล บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างงงกันไปชั่วขณะ ต่างคนจึงต่างกลับที่นั่งของตน และทันใดนั้นก็เห็นว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารซึ่งหยางเฟิงส่งมากำลังนอนแอ้งแม้งอยู่ในอีเมลของแต่ละคน

“หนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง?”

“หยางเฟิงส่งมาให้พวกเรา?”

“ดูหน่อยซิว่าฉู่ขวงเขียนอะไร”

ผู้คนพากันงุนงงไปชั่วขณะ สนทนากันสองสามประโยค ก่อนที่ต่างคนก็ต่างกดเปิดหนังสือเล่มนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง ต่อให้เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในซึ่งชวนให้ทุกคนอึ้งไป แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกดีใจบ้างอยู่ดี มิหนำซ้ำหยางเฟิงยังอุตส่าห์ส่งไฟล์เข้าอีเมลทุกคนมา จะต้องหวังให้ทุกคนช่วยเขาอ่านอย่างแน่นอน

ทุกคนเริ่มอ่านเนื้อเรื่อง

ไอน์สไตน์จากโลกกล่าวอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพไว้อย่างน่าสนใจ ว่าเมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อไปเดตกับหญิงสาวแสนสวยก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ที่นี่คือบลูสตาร์

แผนกแฟนตาซีเยาวชนของกองบรรณาธิการไม่รู้จักไอน์สไตน์ ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว นิยายที่ยอดเยี่ยมก็เหมือนหญิงสาวแสนสวย ถ้าให้พวกเขาเลือก พวกเขาจะยินดีเลือกนิยายแทนสาวสวยเหล่านั้น นี่ก็คงจะเป็นหลักการคล้ายๆ กับเหล่าโอตาคุที่เลือกวีดิโอเกม แล้วมองข้ามหญิงสาวไปนั่นแหละ

ย้อนกลับมาที่ทฤษฎีสัมพันธภาพ

เมื่อต้องอ่านนิยายที่น่าเบื่อเล่มหนึ่ง บรรณาธิการก็มักรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก แต่เมื่อได้อ่านนิยายที่ยอดเยี่ยม เหล่าบรรณาธิการจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ราวกับว่าช่วงพักกลางวันเป็นเวลาสองชั่วโมงนั้นผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนถึงขั้นลืมพักกลางวัน

การพักกลางวันนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำวันของกองบรรณาธิการ ถ้าหากไม่พักสักครู่ก็จะส่งผลต่อการทำงานในช่วงบ่ายได้ง่าย แต่ในวันนี้ทั้งกองบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะตั้งแต่ช่วงพักจนเริ่มงานในช่วงบ่าย ทุกคนก็จดจ่ออยู่กับการอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่ง

ทำงาน?

ไม่สำคัญหรอก

ทุกคนล้วนถูกเรื่องกระบี่เทพสังหารดูดสมาธิเอาไว้หมดแล้ว ตั้งอกตั้งใจอ่าน จนทั้งกองบรรณาธิการเงียบกริบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่เสียงเดินของหยางเฟิงขณะกลับเข้ามาทำงานก็ยังไม่มีใครได้ยิน

หยางเฟิงหัวเราะ

เขาเข้าใจเพื่อนร่วมงานเหล่านี้มาก เพราะในช่วงสายของวันนี้เขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องกระบี่เทพสังหารจะต้องได้ตีพิมพ์ ตอนนี้ต่อให้ฉู่ขวงเปลี่ยนใจอยากเขียนแนวการแข่งขันกีฬาขึ้นมา หยางเฟิงก็ไม่ยอมแล้ว ฉู่ขวงเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในน่ะดีแล้ว!

มาเขียนอะไรแนวการแข่งขันกีฬา

ในตอนนั้นมีหัวหน้าในบริษัทสองสามคนเดินผ่านมา เห็นแผนกแฟนตาซีเยาวชนของกองบรรณาธิการกำลังใจจดใจจ่อจ้องมองคอมพิวเตอร์ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แผนกแฟนตาซีมีความกระตือรือร้นในการทำงานสูงมากเลยนะคะ ช่วงบ่ายเพิ่งจะเข้างานก็ตั้งใจกันขนาดนี้แล้ว”

“ดีมากเลย”

“ต้องแบบนี้แหละครับ”

“ตั้งใจกว่าแผนกอื่นมาก”

โดยปกติแล้วกว่าเหล่าบรรณาธิการจะเข้าสู่โหมดทำงานได้ก็จำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อย เพราะทุกคนเพิ่งจะกลับมาจากช่วงพักกลางวันจึงไม่ค่อยมีสมาธิ ต้องปรับอารมณ์สักครู่ถึงจะตื่นจากความง่วงเหงาหาวนอนและเข้าสู่สภาวะตั้งใจทำงานได้

บรรดาหัวหน้าเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ

สิ่งที่หัวหน้าเหล่านี้ไม่รู้ก็คือ เมื่อพวกเขาเดินจากไปได้ไม่นาน จู่ๆ บรรณาธิการคนหนึ่งก็ตวาดใส่คอมพิวเตอร์ด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองและหงุดหงิด

“โถ่เว้ย จบแล้วเหรอเนี่ย”

……………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด