ศพ – ตอนที่ 39 หลบหนี
แม้ตัวผมจะอ่อนแอที่สุด แต่ผมก็เลือกที่จะลงมือ
หลังจากที่ผีชั่วถูกผมตีปากของมันก็กรีดร้องออกมา “อ้าอ้า”
ไม่รอให้มันได้ลุกขึ้น อาจารย์และนักพรตตู๋พุ่งเข้าไป และใช้ดาบไม้แทงลงไปทันที
สีหน้าของผีชั่วเปลี่ยนไปอย่างฉับพรัน ถึงมันอยากจะหลบแค่ไหน แต่ตอนนี้มันก็ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
“ฉึกฉึก” ดาบในมือของอาจารย์และนักพรตตู๋ แทงเข้าไปที่เท้าของผีชั่ว พวกเขาไม่ได้คิดจะทำร้ายจนถึงชีวิต
“อ้า!” ผีชั่วกรีดร้องออกมา เห็นได้ชัดว่ามันทรมานอย่างมาก
อาจารย์และนักพรตตู๋กลับก้มหน้าลง พวกเขายังไม่ดึงดาบออก แต่กดมันปักลงกับพื้นแทน
ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์ยังพูดกับผีชั่วว่า “ทำไมแกต้องทำร้ายครอบครัวของคุณหนูเหวินด้วย พวกเขาไปทำอะไรให้แกโกรธแค้นฮะ!”
แม้ผีชั่วตนนั้นจะเจ็บปวด แต่มันก็กลัวเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้ยินคำถามของอาจารย์ มันก็ใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องอาจารย์ “ตาแก่ อย่ายุ่งดีกว่า ไม่อย่างนั้นแกได้ตายยกครอบครัวแน่!”
เมื่อถูกผีชั่วขู่ อาจารย์ก็อารมณ์เสียทันที
เขาอดไม่ได้ที่จะขยับดาบไม้ที่อยู่ในมือ “ไอ้ชั่ว ไม่รู้แกจะเชื่อรึเปล่าแต่ตอนนี้ฉันจะทำให้วิญญาณแกแตกสลาย”
ร่างของผีชั่วสั่นเทา ร้องออกมาเล็กน้อย แต่ปากของมันยังแข็ง “วิญ วิญญาณแตกสลาย ฮึแกลองดูซิ แค่นักพรตสองคน แกคิดว่าจะฆ่าฉันได้งั้นเหรอ”
“ท่านนักพรตติง เจ้านี้คงไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ทำให้มันได้รู้ฤทธิ์สักหน่อยเถอะครับ!” นักพรตตู๋เองก็โมโหเช่นกัน เขายังไม่เคยเห็นผีชั่วที่เย่อหยิ่งแบบนี้มาก่อน
ขณะที่พูด นักพรตตู๋ก็ดึงดาบไม้ออก เตรียมแทงลงไปอีกครั้ง เพื่อให้เจ้านี้ได้รู้ว่าฤทธิ์ของการทำแบบนั้นซะบ้าง
แต่ใครจะไปรู้เมื่อนักพรตตู๋ดึงดาบออก ผีชั่วที่ถูกกดไว้ที่พื้น กลับมีเสีงดัง “ปัง” วินาทีนั้นควันดำโพยพุ่งออกมา จากนั้นร่างของมันก็หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเราทันที
พวกเราทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฉากเบื้องหน้า เมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ ทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที
รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย ทำไมจู่ๆมันถึงหายตัวไปได้ละ
“นี่ นี่!” วินาทีนั้นแม้แต่อาจารย์ก็ยัง เบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออก
แต่ไม่รอให้พวกเรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภายในป่าที่ว่างเปล่า กลับมีเสียงที่เย็นชาและโกรธเกรี้ยวของผีชั่วดังขึ้น “ฮึ! อยากฆ่าฉันงั้นเหรอฝันไปเถอะ รอให้ฉันกลับมาก่อน ฉันจะฉีกร่างพวกแกทีละคนๆแน่!”
หลังจากพูดจบ ไม่รอให้พวกเราได้ตอบโต้อะไร รอบๆก็มีลมกระโชกที่หนาวเย็นพัดเข้ามา จนทำให้ต้นหญ้าหรือวัชพืชต่างๆปลิวไปตามลม
เมื่อต้นหญ้าที่เขียวสดสั่นไหว มันก็ก่อเกิดเสียง
จากนั้นแรงกดดันจากพลังอันชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ก็หายไปในพริบตา
ผมกำลังจ้องพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป ถึงจะมองไม่เห็นผีชั่ว
แต่ผมก็มั่นใจ ว่าผีชั่วตนนั้นต้องวิ่งไปทางนั้นแน่
“อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ ผีชั่วตนนั้นกำลังหนีไปแล้ว พวกเราไล่ตามไปเถอะครับ!” ผมรีบพูด เพราะผมพบว่าอาจารย์และนักพรตตู๋ไม่ขยับตัวเลยสักนิด
แต่อาจารย์กลับถอนหายใจออกมา “ไม่ต้องตาม ผีชั่วตนนี้ร้ายกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้ ถึงจะตามไปตอนนี้ มันก็ไม่ทันแล้ว!”
“ไม่ทันแล้ว แต่ผีชั่วนั้น จะเอาเรื่องยุ่งยากมาให้เราในอนาคตนะครับ” ผมยังพูดต่อ
“ไม่ต้องรอให้ถึงอนาคตหรอก คืนพรุ่งนี้พวกเรา จะไปหามันด้วยตัวเอง!” นักพรตตู๋ขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้ามืดมน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธมาก
แม้ว่าผีชั่วตนนี้จะหนีไปได้อย่างไม่คาดคิด แต่สิ่งที่คุ้มค่าก็คือ วิธีที่ผีชั่วตนนี้ใช้หลบหนี บอกได้ว่ามันร้ายกาจมากจริงๆ
เดิมทีร่างของมันถูกดาบไม้กดไว้กับดิน แต่เมื่อมีเสียงดัง “ปัง” และมีควันดำระเบิดออกมา สุดท้ายมันก็กลายเป็นสายลมและหลบหนีไปทันที
แม้จะเป็นสายตาสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นเจ้านี้ได้อย่างชัดเจน มันแสดงถึงไหวพริบที่เจ้านี้มี
แต่ว่าหลังจากนั้นพวกเราก็รู้ว่า ถึงผีชั่วตนนี้จะสามารถหลบหนีจากสายตาสวรรค์ได้ หรือเรียกว่า “หายวับ” ไปจากสายตาของพวกเรา แต่มันก็ไม่ได้หายไปจริงๆ
ในระยะเวลาสั้นๆนั้น มันทำให้ร่างกายหายไปจากสายตาของพวกเราเท่านั้น
แต่ภายในสถานการณ์เช่นนี้ มันจะต้องชดใช้ด้วยการบาดเจ็บสาหัส และยังไม่สามารถออกมาทำร้ายคนได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นมันจะต้องออกมาปรากฎตัวอีกครั้ง
ดังนั้น ภายในสถานการณ์แบบนี้ผีชั่วจึงเลือกที่จะซ่อนตัว
ในระยะเวลาสั้นๆนั้น พวกเราจึงมองไม่เห็นร่างของมัน
แน่นอน หากข้างกายของพวกเรามีคนที่มีสายตาหยินหยาง ป่านนี้เจ้าผีชั่วนั้นคงหาที่ซ่อนไม่ได้แน่
และผีชั่วนั้นก็ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ หลังจากขู่เสร็จ มันก็รีบหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
พวกเราไม่สามารถไล่ตามไปได้ และทำอะไรไม่ได้ด้วย ดังนั้นจึงทำได้เพียงทิ้งความคิดนี้ไปซะ
ถึงพวกเราจะไล่ตามไป ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
นอกจากจะทำเหมือนอาจารย์เมื่อกี้ ติด GPS ให้กับมัน
แน่นอนว่าคนไม่สามารถวิ่งชนะผีได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอาจารย์และนักพรตตู๋ถึงไม่ตามไป
หลังจากผีชั่วหนีไป ที่นี่ก็เหลือเพียงพวกเราสี่คนและวิญญาณคุณหนูเหวินอีกหนึ่งดวง
หลังจากที่วิญญาณของคุณหนูเหวินกลับมา เธอก็ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย ตอนนี้เธอกำลังส่ายหัวไปมา
เหมือนกับคนที่เมาค้าง ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น
เมื่อพวกเราเห็นคุณหนูเหวินคืนสติ ก็คิดจะเข้าไปพูดคุยสักหน่อย
พวกเราอยากได้ยินเบาะแสดีๆจากปากของเธอ และยังอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเธอตายอีกด้วย
เนื่องจากผีชั่วขู่พวกเรา บอกว่าจะกลับมาล้างแค้น
ถ้าพวกเราได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาก่อน ไม่แน่ตอนที่ผีชั่วนั้นมาล้างแค้น พวกเราอาจเตรียมความพร้อมได้อย่างเต็มที่
เมื่อเข้าไปใกล้คุณหนูเหวิน และคุณหนูเหวินก็เห็นพวกเรา
วินาทีนั้นเธอไม่ได้แสดงสีหน้าสยดสยองออกมา ในทางกลับกันเธอยังแสดงท่าทางและสีหน้าที่หวาดกลัว
“พวก พวกคุณเป็นใคร พวกคุณ พวกคุณจะทำอะไร ถ้ายังเข้ามาอีกฉันจะโทรแจ้งตำรวจ……” คุณหนู
เหวินกลัวมาก เธอยกมือทั้งสองขึ้นและคลำไปทั่วตัว ดูเหมือนกำลังหาโทรศัพท์ และคิดว่าพวกเราเป็นคนเลว
ดูเหมือนหลังจากที่พลังชั่วร้ายออกจากร่างคุณหนูเหวิน เธอก็กลับมามีสติอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ยังมีความทรงจำตอนมีชีวิต และยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว
ผมไม่รอให้อาจารย์และคนอื่นๆได้พูด ผมพูดกับคุณหนูเหวินทันที “เหวินเยี่ยน คุณหนูเหวินใช่ไหมครับ! พวกเราไม่ใช่คนเลวครับ!”
“คุณเป็นใคร แล้วรู้ชื่อฉันได้ยังไง ฉันไม่รู้จักพวกคุณสักหน่อย! ถ้าพวกคุณต้องการเงิน บอกเลขบัญชีมาได้เลย เดี๋ยวฉันโอนให้คุณทันที เพียงแค่ เพียงแค่อย่าทำร้ายฉันก็พอ”
ผมยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นผมก็กำลังจะอธิบายให้เธอฟังอีกครั้ง
แต่ใครจะไปรู้ว่าเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกลับพูดออกมาดื้อๆ “เธอตายไปแล้ว”
“ตายแล้ว แกนะซิตาย!” คุณหนูเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างกายยังคงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผมได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดออกมาตรงขนาดนี้ ก็ไม่อ้อมค้อมอีกตอไป “คุณหนูเหวิน พวกเราทุกคนเป็นนักพรตครับ เป็นคนจัดการเรื่องงานศพของคุณ ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ลองดูที่ร่างของตัวเองดีๆซิครับ และคิดให้ดีๆ!”
เมื่อคุณหนูเหวินได้ยินผมพูดแบบนี้ เธอก็อึ้งในทันที
อดไม่ได้ที่จะก้มมองร่างกายของตัวเอง เธอพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใส่ชุดสีขาว ตัวลอยอยู่เหนือพื้น และเนื้อตัวยังเย็นอีกด้วย
นอกจากนี้เท้าของตัวเอง กำลังเขย่งอยู่ ไม่สามารถแตะพื้นได้ ไม่มีการเต้นของหัวใจ
ทันใดนั้น สีหน้าของคุณหนูเหวินก็เปลี่ยนไปทันที เธอเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา
ส่ายหัวไม่หยุด ไม่มีทาง เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ฉันไม่ได้ทำงาน OT อยู่ที่บริษัทเหรอ ฉันจะ จะตายได้ไง
เมื่อผมได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณขับรถกลับบ้าน แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ……”
คุณหนูเหวินลืมตาขึ้น และมองมาที่ผม อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “รถ รถชน……”
แต่พึ่งพูดสองคำนี้ออกมาเท่านั้น ม่านตาของคุณหนูเหวินก็ขยายใหญ่ทันที เธอจับที่หัวอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าเธอกลัวมาก ราวกับความทรงจำอันเลวร้ายได้กลับมาอีกครั้ง
ไม่เพียงแค่นี้ ขณะนั้นเองคุณหนูเหวิน ยังร้องออกมาว่า “อร๊าย! ผีผี! อย่า อย่า อย่าเข้ามา……”
คอมเม้นต์