ศพ – ตอนที่ 94 การต่อสู้ที่ดุเดือด
ตอนที่ 94 การต่อสู้ที่ดุเดือด
เลือดจากลิ้นของผมทำให้ผีผู้หญิงไม่สามารถป้องกันได้ ตอนนี้เธอจึงต้องทุกข์ทรมานที่หน้า
ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน กำลังหายใจ และปรับตัวให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ
เลือดจากลิ้นของผมมีพลังหยางเยอะมาก เพราะมันมาจากพลังหยางของทั้งตัว
ทำให้ยัยผีที่มีพลังหยินเป็นฐานต้องทุกข์ทรมาน แถมตอนนี้ผิวหน้า ก็ถูกกัดไปจำนวนมากแล้ว
หลังจากผมพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็พูดตามทันที “ ใช่ยัยผีนี่ร้ายกาจมาก เราต้องระวังให้มากมากกว่าเดิมแล้ว ! ”
หลังจากพูดจบ เฟิงเฉ่วหานก็หยิบเก้าอี้มาหนึ่งตัว เพื่อนำมาเป็นอาวุธ
ยัยผียังลูบหน้าของตัวเอง และกรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่แล้ว ยัยผีก็หันมาจ้องด้วยหน้าตาดุร้าย และพูดกับผมด้วยความเจ็บปวด “ ผู้ชายสมควรตาย ไอ้ผู้ชายชั่ว ! ตาย ฉันจะฆ่าแก ! ”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ยัยผีนี้ก็ตะโกนออกมา
และยกกรงเล็บของเธอขึ้น ระหว่างนั้น ใบหน้าที่อาบเลือด ก็ปรากฎขึ้นในสายตาของทุกคน
เมื่อมองดูใบหน้าแบบนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงมาก เปลือกตาและริมฝีปากต่างเน่าเละ
ถึงจะเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับงานศพอย่างผม วินาทีที่ได้เห็นก็แทบจะอ้วกออกมาเช่นกัน
แต่สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในคืนนี้ก็คือ หยางเฉ่วดูไม่เป็นอะไรเลย
นอกจากท่าทางจะดูเคร่งขรึมแล้ว เธอก็ไม่สนอะไรเลยสักนิด
ท่าทางแบบนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะมีจิตใจแข็งแกร่งมาก ก็ต้องเป็นเพราะเห็นเรื่องน่าขนลุกมาจนชินแล้ว
หลังจากยัยผีตะโกนเสร็จ สิ่งที่ตามมา ก็คือพลังหยินที่หนาวเย็น
ยัยผีนี่โมโหแบบสุดๆแล้ว และไม่รู้ว่าตอนมีชีวิตเกิดอะไรขึ้น ถึงได้มีพลังชั่วร้ายที่เข้มข้นขนาดนี้
ขณะที่พลังหยินนั้นเข้ามา มันก็ทำให้คนรู้สึกใจสั่น และหายใจถี่ๆทันที
แต่มันยังไม่จบเท่านี้ หลังจากยัยผีนั้นยกกรงเล็บขึ้น เธอก็คำราม “ โฮก ” และพุ่งเข้ามาทันที
“ ระวัง ! ” หยางเฉ่วตะโกน ในเวลาเดียวกันก็ใช้มือเสกคาถาทันที
ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาคนละตัว เพื่อใช้สำหรับป้องกัน
ดูเหมือนคาถานั้นจะกลายเป็นลูกดอก มันพุ่งตรงเข้าใส่ยัยผีนั้นทันที
หน้าของยัยผีสยดสยองมาก เมื่อเห็นคาถาพุ่งเข้ามา ก็เคลื่อนตัว หลบอย่างรวดเร็ว
และการกระโดดหลบของเธอ ยังพุ่งกรงเล็บมาทางผมอีกด้วย
ดูเหมือนเลือดจากลิ้นของผมจะทำให้เธอโกรธจนถึงขีดสุด ตอนนี้เป้าหมายของยัยผี จึงกลายเป็นผมไปโดยปริยาย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามา ผมก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาป้องกันทันที
แต่ผีผู้หญิงตนนั้นดุร้ายมาก เธอไม่ลังเลเลยสักนิด เธอใช้มือปัดเก้าอี้ของผมออกทันที
ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น เก้าอี้ตัวนั้นถูกยัยผีปัดแตกเป็นเสี่ยงๆ วินาทีนั้นผมจึงรีบถอยหลังหลบออกไป
หลังจากผีสาวปัดเสร็จ เธอยังไม่ได้เอามือลง แต่ยังเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง
เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ยกเก้าอี้โยนใส่ยัยผีนั้นทันที ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้ามากั้นระหว่างพวกเรา
ในเวลานี้หยางเฉ่วเองก็ออกมาจากด้านหลัง เตรียมต่อสู้กับยัยผีนั้นทันที
ตอนนี้มีเฟิงเฉ่วหานกันเอาไว้ก็จริง แต่ผมเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง มือหนึ่งหยิบเก้าอี้มาหนึ่งตัว ส่วนอีกมือก็หยิบยันต์แปดทิศออกมา
อ้อมไปอีกด้าน คิดจะลอบโจมตี ปล่อยอาวุธลับออกไป
แต่ผีผู้หญิงตนนี้ร้ายกาจมาก ดูแล้วเหมือนไม่ใช่ไฟที่กำลังมอดเลยสักนิด
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และยังไม่ได้เตรียมดาบไม้ ดาบเหรียญ ไม้บรรทัดดำ และอาวุธอื่นๆด้วย
พวกผมทำได้เพียงโจมตีระยะใกล้โดยใช้เก้าอี้เป็นโล่เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะการร่วมมือของพวกเรา แต่เป็นการสู้เดียวๆ พวกเราก็คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเธอได้แล้ว
แต่ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะสู้แบบสามรุมหนึ่งอยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ผีผู้หญิงตนนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก กรงเล็บทั้งสองข้าง ยังฟาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง “ บึกบึกบึก ” ทุกครั้งที่โจมตีเธอยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าตอนนี้ประมาทแม้แต่เล็กน้อย ก็สามารถทำให้บาดเจ็บได้เลยละ
อีกอย่างกรงเล็บของผีสาวตนนี้แหลมคมมาก ถ้าโดนเข้าไป แค่นิดเดียวก็ทำให้เกิดแผลได้ แต่ถ้าโดนจังๆก็เตรียมตัวตายได้เลย
ดังนั้นทุกคนจึงระวังมาก และพยายามร่วมมือกันให้มากที่สุด
ด้วยวิธีนี้ ทำให้ความเร็วของยัยผีที่ได้เปรียบพวกเรานั้นหายไป และไม่เหมือนกับตอนแรกที่เข้ามาจู่โจม จนจับคอของพวกเราได้
สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ พวกเราสามคนสู้กับผีตัวเดียว ซึ่งการต่อสู้กันในตึกร้างได้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
เก้าอี้ที่อยู่ในห้องเรียนก็ได้ถูกนำมาใช้กว่าครึ่งแล้ว และระหว่างนั้นหยางเฉ่วเป็นคนที่โจมตีมากที่สุดในหมู่ของพวกเราสามคน
แม้ว่าการโจมตีของเธอจะเห็นผลมาก แต่ยันต์แผ่นนั้นก็ไม่สามารถทำร้ายยัยผีได้
ดังนั้นไม่ว่ามันจะร้ายกาจขนาดไหน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ช่วงเวลานี้พวกเราเริ่มเหนื่อยจนหอบกันแล้ว ทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และร่างกายมีบาดแผลบ้างบางส่วน แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่
ส่วนยัยผีนั้น กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เธอยังคงดุร้ายบ้าคลั่ง และเหมือนจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
พลังโจมตีและความถี่ แทบไม่ลงลดเลยสักนิด
ในขณะที่ พวกเราและยัยผีต่อสู้กัน ผมก็เริ่มพูดว่า “ เป็น เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ แบบ แบบนี้พวกเราจะจบเห่กันก่อนพอดี ! ”
“ ต้องหาวิธีทำให้ฉันเข้าไปแปะยันต์ใกล้ๆมันให้ได้ ” หยางเฉ่วพูดเพิ่ม
ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ยัยผีนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แปลแปลี่ยนเป็นภาพเงารางๆ และปรากฎตัวขึ้นข้างๆของเฟิงเฉ่วหาน
จากนั้นก็ตะโกน “ โฮก ” ออกมา และเข้าไปหาเฟิงเฉ่วหานอย่างรวดเร็ว
“ ระวัง ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาป้องกันทันที
“ แกร็ก ” และแล้วเก้าอี้ที่ได้รับการโจมตีมานาน เพียงแค่แป๊บเดียว ก็ถูกการโจมตีของอีกฝ่ายจนทำท่าว่าจะพังแล้ว
มือของผมยังถูกแรงกระแทกทำให้สั่น ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้เริ่มชา และร่างกายของผมก็เริ่มก้าวถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง
เฟิงเฉ่วหานประคองผมเอาไว้ พร้อมกับหน้าขมวดคิ้ว “ ยังทนไหวไหม ”
ผมฝืนความชาระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้และแขนเอาไว้ “ ยังพอไหว ! ”
“ ดี ! รอฉันแป๊บนึง ฉันจะเรียกเจ้านั้นออกมา ! ” เฟิงเฉ่วหานทำหน้าจริงจัง
หลังจากพูดจบ ก็หยิบขวดสีดำออกมาจากกระเป๋า
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
เห็นได้ชัดว่า เฟิงเฉ่วหานกำลังคิดจะกินยานี่เข้าไปจริงๆ
เจ้าเด็กนี้มีความลับอยู่มากมาย แม้แต่ท่านนักพรตตู๋เอง ก็ยังไม่รู้ว่าก่อนอายุ 24 นั้นเฟิงเฉ่วหานได้เจอกับอะไรมาบ้าง
รู้เพียงแค่ว่าในร่างของเขามีวิญญาณอยู่สองดวง อีกหนึ่งดวงก็คือพี่ชายแท้ๆของเฟิงเฉ่วหาน ซึ่งมีนิสัยต่างกันลิบลับ
เฟิงเฉ่วหานต้องใช้ยาชนิดพิเศษ กดวิญญาณของพี่ชายเอาไว้
หรือใช้ยาชนิดพิเศษนี้ ปล่อยพี่ชายของเขาออกมา
แต่พลังที่พี่ชายหานเฉ่วเฟิงของเฟิงเฉ่วหานมีนั้นไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด เพราะมันแข็งแกร่งมาก แม้แต่ท่านนักพรตตู๋ ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเขา
ถ้าเฟิงเฉ่วหานปล่อยพี่ชายหานเฉ่วเฟิงออกมาจริงๆ บางทีเขาอาจจะสามารถจัดการยัยผีตรงหน้านี้ได้
ผมไม่พูดอะไร เพียงคุ้มกันเฟิงเฉ่วหานอยู่ข้างหน้า
ส่วนยัยผีนั้น ก็ค่อยๆเดินบีบเข้ามา ทำให้หยางเฉ่วรู้สึกรับมือไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็กัดฟันอย่างแรง เดินขึ้นไปตั้งรับ เพื่อแบ่งเบาแรงกดดันจากหยางเฉ่ว
ส่วนเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างหลัง ก็เปิดขวดออก และกินยาเม็ดสีดำเข้าไปเรียบร้อย
และแล้วหลังจากที่เฟิงเฉ่วหานพึ่งกินยาเข้าไป ร่างกายก็เริ่มสั่นสองสามครั้ง
จากนั้นเสียง “ บึก ” ก็ดังขึ้น ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น ท่าทางเหมือนกับคนที่เป็นลมชัก เริ่มพ่นฟองน้ำลายสีขาวออกมาและชักอย่างต่อเนื่อง
หยางเฉ่วหันมามองอย่างอัตโนมัติ อดไม่ได้ที่จะตกใจ “ เฟิงเฉ่วหานเป็นอะไรไป ”
ผมทั้งท่าต้านทานการจู่โจมของยัยผี และหายใจอย่างหอบเหนื่อย จึงไม่สามารถอธิบายให้เธอฟังได้
เพียงได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ไม่เป็นไร เขาแค่เรียกคนมาช่วย ! ”
หยางเฉ่วทำหน้ามึนงง พูดในใจว่าพ่นน้ำลายขนาดนี้ ยังบอกว่า “ เรียกคนมาช่วยอีกเหรอ ”
ผลลัพธ์คือเธอหันไปมองเฟิงเฉ่วหานแวบหนึ่ง ตามสัญชาตญาณ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่แล้ว ภายใต้สถานการณ์การต่อสู้ที่ดุเดือด เพียงแค่การป้องกันอ่อนลง ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายลอบโจมตีได้แล้ว
ดังนั้น วินาทีที่หยางเฉ่วกำลังสนใจอย่างอื่นอยู่
ยัยผีนั้นก็ตื่นเต้นกับช่องว่างที่เกิดขึ้น เธอรีบคว้าโอกาส พุ่งกรงเล็บออกไป
กรงเล็บนั้นตรงเข้าหาหน้าอกของหยางเฉ่ว เป็นการโจมตีที่ฉลาดมาก และใช้แรงที่เยอะมาก
กรงเล็บนั้นเหมือนกับดาบคมๆ ถ้าโดนมันเข้าไป หยางเฉ่วจะต้องจบเห่แน่
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที รีบตะโกนว่า “ อันตราย ”
ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองคิดอะไรอยู่ ผมไม่ลังเลเลยสักนิด ทำตามสิ่งที่จิตใต้สำนึกบอก
ดึงหยางเฉ่วเข้ามาข้างตัว จากนั้นก็จับตัวเธอหมุนและล้มลงไปกับพื้นทันที
แต่ผีผู้หญิงลงมือเร็วมาก กรงเล็บที่คมกลิบนั้นได้เข้ามาถึงแล้ว
“ แควก ” ทันใดนั้นเสื้อก็ขาดออก ผมรู้สึกถึงความเจ็บแล่นแป๊ดขึ้นมาจากหลังทันที
ผมร้องออกมาตามสัญชาตญาณ “ โอ๊ย ” เลือดจำนวนมากไหลออกมา จากด้านหลัง จนอาบไปทั่วทั้งหลังของผม
ส่วนตัวผม ได้ปกป้องหยางเฉ่วไว้ที่พื้น กดร่างของเธอเอาไว้
แต่หยางเฉ่วในตอนนั้น กลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ว่าผมจะใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องเธอจากการโจมตี
เธอจึงใช้ดวงตาที่เหลือเชื่อนั้น จ้องมาที่ผม……
คอมเม้นต์