ศพ – ตอนที่ 182 ดูแล
ตอนที่ 182 ดูแล
ตอนกลับ ผมขับรถขนศพที่เหล่าฉินขับมาจากสุสานกลับมา
แม้ระหว่างทางจะเหนื่อยมาก และอยากหลับมากก็ตาม
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องกุ่ยซานหยวน ผมก็โกรธมาก และอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
บนรถ ผมและเหล่าเฟิงยังคุยกันเรื่องของกุ่ยซานหยวน และสาเหตุที่ทำให้พวกเรายังมีชีวิตอยู่
นาทีสุดท้ายที่ไอ้ชั่วนั้นไม่ได้ลงมือสังหารพวกเรา ก็เป็นเพราะสารที่นกตัวนั้นส่งมา
ตอนนี้เมื่อลองคิดย้อนดู เขาบอกว่าคนในสาร เรียกว่าอะไรนะ “ ประมุขเชิ่ง ” ไม่รู้ว่าพวกเราฟังผิดไปไหม หรือได้ยินเขาพูดถึงคนอื่นจริงๆ
แต่ถ้ามองจากท่าทีของกุ่ยซานหยวน สถานะของใครคนนี้น่าจะสูงส่งมาก เขาจะต้องเป็นคนที่สำคัญมากๆ และเนื้อหาในสารจะต้องเร่งด่วนมากๆ
เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงทำให้กุ่ยซานหยวนถึงกับไม่อยากเสียเวลาฆ่าพวกเราเลยแม้แต่วินาทีเดียว
นี่คือสาเหตุว่าทำไม พวกเราถึงสามารถหนีเอาตัวรอดมาได้
แน่นอน ว่าอาจยังมีสาเหตุอื่นอีก
เช่นกุ่ยซานหยวนต้องการให้ท่านนักพรตตู๋ตาย การแทงลงไป และอยู่ในป่าลึก การรอดชีวิตของท่านนักพรตตู๋จึงต้องพึ่งโชคล้วนๆ
และยังมีพวกเรา กุ่ยซานหยวนบอกว่าเลือดเนื้อของผมและเฟิงเฉ่วหานไม่เลว อยากจะให้ร่างของผมสองคนกลายเป็นร่างใหม่ของเขา
ตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าพวกเรา ก็อาจเป็นเพราะหลังจากฆ่าพวกเรา เขาจะไม่มีเวลาจัดการศพของพวกเรา
การไว้ชีวิตพวกเรา ก็อาจเป็นเพราะวันข้างหน้าเขาจะกลับมาทวงมันใหม่
จากพลังของกุ่ยซานหยวน เขาเป็นคนที่มีอิสระและแข็งแกร่งจริงๆ
ถ้าครั้งหน้าได้เจอกันจริงๆ พวกเราจะต้องหนี หรือไม่ก็เรียกมู่หลงเหยียนออกมา ไม่อยากนั้นพวกเราจะไม่มีหวังชนะได้เลย
และวันที่ 10 ก็ใกล้มาถึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผมก็จะต้องนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เล่าให้มู่หลงเหยียนฟัง
หลังจากคุยกันมาสักพัก พวกเราก็มาถึงตำบลชิงฉือ
ผมขับไปส่งเหล่าเฟิงที่ร้านก่อน จากนั้นผมถึงขับรถกลับไปไว้ที่สุสาน
หลังจากจอดรถเสร็จ ผมถึงได้เดินกลับบ้านคนเดียว
ผมทำตามปกติ เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำคือจุดธูปให้น้องศพ
เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ผีเมียโกรธ ผลลัพธ์จะออกมาร้ายแรงสุดๆ
หลังจากจุดธูปเสร็จ ผมก็ไปอาบน้ำ จากนั้นถึงได้เข้าไปนอนหลับ
สองสามวันนี้ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือร่างกาย ผมก็ใช้พวกมันจนถึงขีดสุด ผมเพิ่งล้มตัวลงนอนบนเตียง ทันใดนั้นผมก็นอนหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
แต่เรื่องแปลกคือ หลังจากผมหลับไป ผมก็ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
ภายในความฝัน ผมเห็นผู้หญิงชุดขาวอีกแล้ว
เธอนั่งอยู่บนสะพานหิน ด้านล่างเต็มไปด้วยผีร้ายนับไม่ท้วน สุดท้ายผมก็จ้องตาค้างเห็นเธอกระโดดลงไปใต้สะพาน……
แม้จะเคยฝันเห็นมันแล้วถึงสองครั้ง และนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว
แต่หลังจากที่ผมตกใจตื่นจากฝัน ผมก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องที่คุ้นตา ความหวาดกลัวยังคงไหลเวียนอยู่ในหัวใจ
ผมมองดูที่หน้าต่าง ก็พบว่าด้านนอกมืดผิดปกติ ทุกอย่างกลายเป็นสีดำ
“ เวรเอ้ย ทำไมฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ววะ ” ผมพูดกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกันก็หยิบบุหรี่ที่หัวเตียง จุดมัน จากนั้นก็สูบมันยาวๆหนึ่งครั้ง
แต่ในสมองกลับมีภาพความฝันนั้นปรากฎขึ้นตลอด ในใจของผมก็สับสนวุ่นวาย
ผมยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล ฝันหนึ่งครั้งสองครั้งก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันมีที่ไหนฝันสามครั้งติดกัน
หนึ่งครั้งสองครั้งถือว่าบังเอิญ แต่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ผมก็ยังฝันแบบเดิม
หรือว่าผมจะเจอวิญญาณตนไหนตามรังควาน ถึงได้ทำให้ผมฝันเห็นเรื่องนี้
อาจารย์ไม่อยู่ ผมเองก็ไปถามใครไม่ได้
เพราะความฝันนี้ จึงทำให้ผมนอนไม่หลับ
เมื่อมองดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้ตีสี่แล้ว ผมจึงคิดว่าอาจนอนได้อีกนิดหน่อย
ผลลัพธ์ผมกลับไม่มีอารมณ์อยากจะหลับเลยสักนิด ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาเล่น
เปิดดูแชท พบว่ามีคนแชทมาหาผม
หลังจากเปิดดู ก็พบว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง และผมก็จำได้ทันทีว่าเธอคืออู่ฮุ่ยฮุ่ย
ผมคิดว่าคงเป็นการแอดเพื่อนผ่านเบอร์โทรของผม ผมจึงไม่ได้สงสัยอะไร กดรับเพื่อนทันที
ผมเพิ่งกดรับได้ไม่นาน อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็พิมพ์แชทมาหาผม มันเป็นรูปหน้าอีโมยิ้มสองสามภาพ
ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง ยัยอู่ฮุ่ยฮุ่ยนี้ไม่นอนรึไง ตีสี่แล้วยังเล่นมือถืออยู่อีก
ผมจึงพิมพ์กลับไปว่า เธอตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ
ผลลัพธ์อู่ฮุ่ยฮุ่ยกลับบอกผมว่า ตอนนี้พวกเธอกำลังถ่ายหนัง วันนี้เป็นตอนแรก
เธอยังถ่ายรูปในกองถ่ายแล้วส่งมาให้ผมดูสองสามภาพ และยังมีรูปที่เธอแต่งตัวเป็นนางพยาบาล แม่เจ้ารูปนั้นมันแทบทำให้ผมมองจนลืมตัว
หลังจากมองดูสักพัก ผมก็รีบลบทิ้งทันที ภายในบ้านนี้ มองดูรูปแบบนี้ ถ้ามู่หลงเหยียนมาเจอเข้า เธอจะต้องฆ่าผมแน่
เมื่อมองรูปอื่นๆ ผมก็เห็นบางอย่าง
กองถ่ายของเธอน่าจะอยู่ใกล้ภูเขา บรรยากาศรอบๆดูมืดมิด และยังมีคฤหาสน์ที่เก่าคร่ำครึอยู่หลังหนึ่ง เห็นแล้วดูมีพลังบางอย่างอยู่จริงๆ
ผมเองก็คุยเล่นกับเธอสองสามประโยค พบว่าพวกนักแสดงอย่างพวกเธอก็ลำบากกันมากๆ เธอเองก็ต้องตื่นเช้านอนดึก
นักแสดงตัวเล็กๆอย่างอู่ฮุ่ยฮุ่ย ไม่ใช่แค่ได้เงินน้อย แถมยังไม่มีใครมาดูแลความปลอดภัยให้กับเธอด้วย
ครั้งนี้เธอรับบทเป็นผู้หญิงหมายเลขสาม มีฉากบ้างนิดหน่อย และยังบอกว่าเธอรอคอยการเล่นละครตัวนี้มาก
เพราะอู่ฮุ่ยฮุ่ยต้องไปถ่ายหนัง พวกเราจึงไม่ได้คุยอะไรกันมาก
หลังออกจากแชท ผมก็คิดว่าจะเล่นเกมต่ออีกสักสองสามตา ถ้าผมไม่เล่นก็คงดี เพราะผมยิ่งเล่นก็ยิ่งอารมณ์เสีย
การต่อสู้ครั้งนี้ เกมเพิ่งเริ่มเท่านั้นอย่าว่าแต่มีคนไปสู้หรือวางกับดักเลย ทันใดนั้นกลับมีคนบอกให้ไปช่วยตรงกลาง ถ้าไม่ไปก็ไปตายซะ ผลลัพธ์เขาเข้าไปตายถึงสามครั้ง ผมเลยเดือดด่าว่าเล่นเกมไม่ได้เรื่องทันที
และยังมีเรื่องที่ห่วยที่สุดคือ แค่ชั่วอึดใจก็มีคนซื้อรองเท้ามาถึง 6 คู่ ผมเลยถามว่าทำอะไร เขาบอกว่ามีรองเท้า Adivon แล้วจะได้วิ่งเร็วๆ
“……”
ผมคุกเข่าให้เกมห้ารอบติด ผมโมโหจนหมดอารมณ์เล่น อีกนิดเดี๋ยวก็แทบโยนมือถือทิ้งแล้ว
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ผมจึงโทรหาเฟิงเฉ่วหาน
เพราะท่านนักพรตตู๋ยังอยู่ที่โรงพยาบาล อาจารย์และเหล่าฉินก็ไปนอนเฝ้า 1 คืนแล้ว ดังนั้นวันนี้ผมและเหล่าเฟิงจึงต้องไปรับช่วงต่อ
ผมเก็บสัมภาระสักพัก จุดธูปให้มู่หลงเหยียน จากนั้นก็ออกมาจากร้าน
หาข้าวเช้ากินข้างนอกบ้านกับเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นพวกเราก็ตรงไปที่โรงพยาบาลในเมือง
ระหว่างขับรถ ผมก็คิดถึงความฝันเมื่อคืน ผมจึงพูดด้วยความอึดอัด ถามเฟิงเฉ่วหานว่าสามารถทำนายความฝันได้ไหม
เฟิงเฉ่วหานมองผมแวบหนึ่ง เขาบอกว่าทำไม่เป็น เขาถามผมว่าฝันเห็นอะไรมาใช่ไหม !
ผมเองก็ไม่ได้ปิดบัง บอกว่าพักนี้ฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดสะพาน ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร
เฟิงเฉ่วหานเงียบไปแป๊บนึงจากนั้นก็พูดว่า “ อาจารย์ของฉันค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องทำนายความฝัน แต่ตอนนี้เขานอนอยู่โรงพยาบาล รอให้เขาดีขึ้นก่อน แล้วนายค่อยลองถามดู ! ”
เมื่อได้ยินว่าท่านนักพรตตู๋สามารถทำนายฝันได้ ในใจของผมก็ดีใจขึ้นมาทันที
ผมพยักหน้าเล็กน้อย วางแผนว่าหลังจากที่ท่านนักพรตตู๋ออกจากโรงพยาบาล ผมจะลองถามเขาดู
ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงโรงพยาบาล
เจออาจารย์ เหล่าฉิน และท่านนักพรตตู๋ที่นอนสลบอยู่บนเตียง
อาจารย์และเหล่าฉินไม่ได้นอนมาทั้งคืน ขอบตาของพวกเขาจึงดำมาก
ในเวลานี้เมื่อเห็นพวกเราเข้ามา ก็พูดกับผมสองคนนิดหน่อย จากนั้นก็ออกไป บอกว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะเข้ามาเปลี่ยนเวร
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้สนใจ เพียงพยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น
จากนั้นพวกเราก็เฝ้าอยู่หน้าห้องผู้ป่วย รอท่านนักพรตตู๋ตื่นมาอย่างเงียบๆ
ร่างกายของท่านนักพรตตู๋อ่อนแอ จนกระทั่งเที่ยงวัน เขาถึงตื่นขึ้นมาพักหนึ่ง
เหล่าเฟิงเห็นท่านนักพรตตู๋ตื่น จึงดีใจมาก
พวกเราได้รับอนุญาตจากหมอแล้ว จึงสามารถเข้าไปคุยกับท่านนักพรตตู๋ได้นิดหน่อย
ท่านนักพรตตู๋คิดว่าการที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ ถือว่าเขาโชคดีมาก
ในเวลาเดียวกันก็โทษตัวเองอย่างมาก บอกว่าพลังของตัวเองไม่สามารถจัดการกุ่ยซานหยวนได้ แถมยังพาผมและเฟิงเฉ่วหานไปเสี่ยงอันตราย อีกนิดเดียวพวกเราก็จะไม่รอดชีวิตแล้ว เขาจึงรู้สึกผิดมาก
สำหรับเรื่องนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานจะเก็บมาใส่ใจได้ยังไง
อีกอย่าง พวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย ใช้ชีวิตบนคมมีด เมื่อก้าวเข้ามาทำอาชีพนี้แล้ว ก็ต้องรู้ดี ว่าต้องเผชิญกับอันตราย
ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ใครก็ไม่สามารถกำหนดได้
ผมบอกให้ท่านนักพรตตู๋พักผ่อนให้มากๆ หลังจากร่างกายดีขึ้นแล้ว พวกเราค่อยไปแก้แค้นเจ้าหมอนั้น
ท่านนักพรตตู๋ยิ้มให้ และพูดตอบรับว่า “ อือ ”
เพราะร่างกายของท่านนักพรตตู๋อ่อนแอมาก หมอจึงไม่ให้พวกเราคุยนาน
เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็ไล่พวกเราออกมาแล้ว
หลังจากนั้นยังบอกให้เฟิงเฉ่วหานไปจ่ายเงิน 5,000 หยวน บอกว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลในอีกสองสามวันข้างหน้า……
เรื่องก็เป็นแบบนี้ หลังจากนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานก็มาเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้ในวันถัดไป
หลังจากนั้นสองสามวัน อาการของท่านนักพรตตู๋ก็ดีขึ้นมาก นี่จึงทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
ในเวลาเดียวกัน วันที่ 10 ก็มาถึง
เพราะวันที่ 10 เป็นวันเกิดอายุครบ 300 ปีของมู่หลงเหยียน ดังนั้นคืนนี้ ผมจะต้องไปป่ากุ่ยหม่าตามที่ตกลงกันเอาไว้……
คอมเม้นต์