บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 31 หมุน

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 31 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 31

หมุน

 

แม้จะเจอเคราะห์ร้ายไม่น้อย แต่การเจอกับนักล่าอสูรในคราวนี้ไป๋จูเหวินก็ได้กำไรอยู่บ้าง อย่างแรกเลยคือมันได้ประสบการณ์ต่อสู้ครั้งแรกมาเสียที และเพราะการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้มันรู้ว่าวิชาเนตรจิตของมันมีประโยชน์แค่ไหน หากไม่ใช่เพราะมันไป๋จูเหวินอาจโดนคนแรกที่เข้ามาจับคร่ากุมตัวไปนานแล้ว

และที่เด่นชัดที่สุดก็คือไป๋จูเหวินยังอ่อนแออยู่มากเมื่อเทียบกับคนภายนอก ตัวมันไม่กล้าใช้พลังอสูรเพราะกลัวว่าจะรุนแรงเกินไป แต่วันนี้ได้พบคนที่ต่อให้ใช้พลังอสูรก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นหมายความว่าไป๋จูเหวินต้องตั้งใจฝึกฝนมากกว่านี้

และผลกำไรที่เด่นชัดที่สุดของการต่อสู้กับนักล่าอสูรก็คือ วิชาฝ่ามือ ประกายอัสนี หนึ่งในกระบวนท่าของท่านน้าพยัคฆ์เพียงแต่…

ฟุบๆ เมื่อคืนไป๋จูเหวินสามารถซัดฝ่ามือออกไปได้ถึง 20 ครั้งในอึดใจเดียว แต่เมื่อย้อนกลับมาตอนนี้ตัวมันกลับสามารถซัดออกไปได้ 2 ฝ่ามือเท่านั้น

วิชา ฝ่ามือประกายอัสนี เป็นวิชาฝามือที่รวดเร็วเป็นอันดับ 2 ของวิชาฝ่ามือทั้ง 18 ท่า แน่นอนว่าฝ่ามือที่รวดเร็วที่สุดของทั้ง 18 ท่าย่อมเป็นท่า ฝ่ามือเดี่ยวอัสนี แต่ถึงจะเป็นท่าทีเร็วที่สุดแต่เพราะเป็นท่ามุ่งเน้นโจมตีเป้าหมายเดียวไป๋จูเหวินยามนั้นจึงเลือกฝ่ามือประกายอัสนีที่เป็นการซัดฝ่ามือจำนวนมากออกมาให้ไวที่สุดแทน

ยิ่งนึกถึงยามนั้นไป๋จูเหวินก็ร้อนรุ่มไปทั้งตัว ในยามที่เผชิญหน้ากับอันตรายอยู่ๆวิชาที่มันท่องจำเอาไว้ก็แล่นเข้ามาในสมองก่อนที่ร่างกายจะเคลื่อนไหวไปตามเคล็ดวิชา วินาทีนั้นฝ่ามือของมันราวกับคุ้มคลั่ง มันฟาดใส่ศัตรูที่รุมล้อมเข้ามาจนเสียจังหวะกันถ้วนหน้า ทำให้ไป๋จูเหวินอกรู้สึกทึ่งไม่ได้ที่ท่านน้าพยัคฆ์คิดค้นวิชาเช่นนี้ออกมาได้

แต่ไม่ทราบทำไม พอจบศึกไป๋จู๋เหวินที่ใช้วิชาออกมาไม่ต่างจากตอนนั้นกลับใช้ฝ่ามือประกายอัสนีได้เพียง 2 ฝ่ามือเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะซัดได้กี่ฝ่ามือไป๋จูเหวินก็ดีใจไม่น้อยที่สามารถใช้วิชาของท่านน้าได้ 1 วิชาแล้ว

ฟุบๆ…หลังจากทดลองใช้วิชาฝ่ามือประกายอัสนีแล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นการฝึกฝนพลังวิญญาณต่อจากเดิม เมื่อวานมันได้เคล็ดลับจากหญิงสาวคนนั้นมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆแค่เพียงคำว่า หมุน ก็ตาม แต่ไป๋จูเหวินที่ลองผิดลองถูกมาพักใหญ่แล้วกลับเข้าใจในทันที ทำให้ไป๋จูเหวินเริ่มฝึกทั้งฝ่ามือประกายอัสนีและพลังวิญญาณไปพร้อมๆกันโดยการใช้ฝ่ามือประกายอัสนีไปเรื่อยๆจนกว่าพลังวิญญาณจะเหือดแห้งนั่นเอง

.

.

ผ่ายไปครึ่งชั่วโมง แม้เป้าหมายหลักอย่างการใช้พลังอสูรให้หมดจะสำเร็จ แต่เป้าหมายรองกลับไม่สำเร็จเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเพิ่มพลังเข้าไปเท่าไหร่ ฝ่ามือประกายอัสนีก็ซัดออกไปได้แค่ 2 ฝ่ามือเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้

วูบ! หลังจากใช้พลังอสูรจนหมด ไป๋จูเหวินก็ชักนำพลังวิญญาณเข้ามาในจุดตันเถียนเช่มเดิม พลังสีขาวและสีดำเข้ามาผสมปนเปกันภายในจุดตันเถียนโดยตอนแรกพลังสีขาวจะเยอะกว่า แต่ไม่นานพลังสีดำก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนขับไล่พลังสีขาวออกไปจนเกือบหมด นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติยามฝึกฝนพลังวิญญาณของไป๋จูเหวิน เพียงแต่คราวนี้

หมุน…นั่นคือคำที่แวบเข้ามาในหัวของไป๋จูเหวินหลังจากได้ยินจากหญิงสาวคนนั้น จากแต่เดิมที่ไป๋จูเหวินจะปล่อยให้พลังทั้งสองปะทะกันเองและให้พลังสีขาวรวมตัวกันจนกว่าพลังสีขาวส่วนอื่นจะโดนพลังสีดำขับออกไปจนหมด แต่เมื่อได้รับคำชี้แนะสั้นๆ ไป๋จูเหวินก็เริ่มทำการหมุนพลังที่กำลังต่อต้านกันช้าๆ วินาทีนั้นราวกับพลังสีขาวและสีดำต่างผลักกันและกันจนแยกออกเป็นสองฝั่ง ก่อนจะหมุนวนอยู่ภายใต้จุดตันเถียน เมื่อทำเช่นนี้แล้วพลังสีขาวและสีดำแม้จะยังต่อต้านกัน แต่ก็ไม่ได้ขับไล่กันออกจากจุดตันเถียน ทำให้สภาพภายในเป็นเพียงการหมุนไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้พลังวิญญาณสามารถอยู่ในจุดตันเถียนของไป๋จูเหวินได้นานกว่าเดิมมาก

วูบ! ในที่สุดไป๋จูเหวินก็สามารถใช้เคล็ดวิชาโลหิตปะทุได้เสียที แต่เดิมมันไม่สามารถใช้วิชาฝึกฝนได้เพราะไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างพลังวิญญาณและพลังอสูรได้ แต่เมื่อหมุนมันเอาไว้กลับสามารถสร้างสมดุลอย่างน่าประหลาดภายในจุดตันเถียนได้ เมื่อรักษาสมดุลได้แล้วไป๋จูเหวินก็เริ่มฝึกตามเคล็ดโลหิตปะทุ เคล็ดวิชาดังกล่าวระบุวิธีการเคลื่อนโลหิตอย่างรวดเร็วเพื่อพเพิ่มกระบวนการทำงานของร่างกายและพลังวิญญาณ เมื่อสูบฉีดโลหิตเร็วขึ้นพลังวิญญาณจากในร่างก็หลั่งไหลออกมาเร็วขึ้น ทำให้พลังวิญญาณที่เรียกออกมาตามความเร็วของการฟื้นฟูพลังอสูรได้ทัน สุดท้ายตลอดทั้งคืนไป๋จูเหวินก็รักษาสมดุลเช่นนี้เอาไว้ได้ตลอดจนไม่ต้องสลายพลังอสูรใหม่อีกเลย

“…….”ยามเช้า ไป๋จูเหวินลืมตาขึ้นมาจากท่านั่งขัดสมาธิ ดวงตาของไป๋จูเหวินเปล่งประกายด้วยสีหน้าตื่นเต้น ภายในจุดตันเถียนของมันยังคงหมุนพลังวิญญาณและพลังอสูรเอาไว้ตลอดเวลา เรียกได้ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ไป๋จูเหวินได้ฝึกฝนอย่างแท้จริง เพียงคืนเดียวไป่จูเหวินก็ก้าวเข้าสู่ระดับ ก่อกำเนิดขั้น 7 เรียกได้ว่าเลื่อนขึ้นมาได้ถึง 5 ขั้นในคืนเดียว แม้แต่พลังอสูรเองยังเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับเงินขั้น 7 อีกไม่กี่ก้าวก็จะก้าวขึ้นระดับทอง เมื่อนั้นไป๋จูเหวินจะได้พลังธาตุของอสูรมาเสียที

น่าเสียดายไป๋จูเหวินไม่ได้ถามชื่อของหญิงสาวมา แต่ไม่ว่านางจะชื่ออะไรไป๋จูเหวินก็รู้สึกขอบคุณนางไม่น้อย ในที่สุดพลังวิญญาณที่พัฒนาอย่างยากเย็นของไป๋จูเหวินก็ก้าวขึ้นมาเสียที แถมยังพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วชนิดว่าหากอาจารย์ลี่หรืออาจารย์หู่ได้ทราบคงได้ตกใจอย่างมากแน่ๆ ไม่ใช่แค่อาจารย์ลี่แม้แต่พวกท่านน้าเองก็คงประหลาดใจ เพราะพลังอสูรของไป๋จูเหวินกลับพัฒนาไปไวกว่าที่พวกท่านคาดเดาเอาไว้มากมายเช่นกัน แต่เดิมพวกท่านน้าคาดเดาเอาไว้ว่าไป๋จูเหวินจะก้าวถึงระดับทองตอนอายุราวๆ 30 ปี แต่นี่เหลือเพียง 4 ขั้นเท่านั้นไป๋จูเหวินก็จะก้าวเป็นระดับทองแล้ว แถมด้วยการฝึกฝนที่หมุนพลังทั้งสองเอาไว้ตลอดเวลาเช่นนี้ยังได้ผลดีอย่างมาก ทำให้ไป๋จูเหวินเพิ่มระดับได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว

เพียงแต่ วิชาของพวกท่านน้ากลับไม่สามารถฝึกฝนไปได้มากกว่านี้ นอกจากฝ่ามือประกายอัสนีแล้วไป๋จูเหวินก็ไม่สามารถฝึกฝนกระบวนท่าใดได้อีกเลย แม้แต่ฝ่ามือประกายอัสนีเองยังไม่สามารถสำแดงพลังออกมาได้เต็มที่ นับว่าด้านการฝึกฝนวิชาต่อสู้ช่างล่าช้าจริงๆ

ยามนั้นไป๋จูเหวินมองดวงตะวันที่เริ่มลอยพ้นเส้นขอบฟ้าพลางนึกถึงคราแรกที่มันใช้กระบวนท่าฝ่ามือประกายอัสนีออกมา เวลานั้นเป็นช่วงเวลาต่อสู้เป็นตาย ร่างกายของไป๋จูเหวินราวกับเอ่อล้นไปด้วยพลังและสมองก็ขาวโล่งไปหมด ฝ่ามือที่แสดงออกมาต่างออกมาตามธรรมชาติไร้การควบคุมจากตัวไป๋จูเหวินเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นความรู้สึกที่อธิบายและสร้างขึ้นใหม่ได้ยากจริงๆ

แต่ถึงอย่างนั้น ไป๋จูเหวินก็อยากจะสัมผัสช่วงเวลานั้นอีกครั้ง วินาทีที่ร่างกายราวกับก้าวข้ามขีดจำกัดและแสดงพลังออกมามากกว่าที่ควรทำได้ แต่หากจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง ก็คงต้องเป็นช่วงต่อสู้กับใครสักคนเท่านั้น

เมื่อคิดดังนั้น ไป๋จูเหวินก็รู้สึกว่าตนเองอยากจะประลองฝีมือกับพวกศิษย์พี่ขึ้นมาทันที หากจำไม่ผิดศิษย์พี่เฟิงชิวเคยบอกว่าอยากทดสอบฝีมือใหม่อีกครั้งนี่นา หากไปขอกับเขาอาจจะได้สัมผัสช่วงเวลานั้นอีกก็ได้

“ศิษย์น้อง เจ้าหายไปไหนมา…”แต่ทันทีที่กลับมาถึงสำนัก ไป๋จูเหวินกลับโดนเฟิงชิวที่มันคิดจะมาหาออกมาทักมันเสียก่อน

“ข้าไปฝึกวิชามา…”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองเฟิงชิวที่เดินเข้ามาหาตนเรื่อยๆ แต่อยู่ๆขาของเฟิงชิวก็ชะงักค้างเพราะสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างของไป๋จูเหวิน เมื่อวันก่อนไป๋จูเหวินยังอยู่ขั้น 2 อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุใดวันนี้มันถึงขึ้นมาเป็นขั้น 7 แล้วนี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกันแน่

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”ไป๋จูเหวินถามเพราะเมื่อครู่เฟิงชิวบอกว่ามันกำลังตามหาไป๋จูเหวินอยู่

“จริงด้วย ข้าจะมาบอกเจ้าว่าอีก 3 วันจะมีนัดประลองฝีมือของหอตะวันออกและหอตะวันตก ให้เจ้ารีบมารวมตัวแต่เช้า”ได้ยินเฟิงชิวพูดเช่นนั้นดวงตาของไป๋จูเหวินก็เบิกกว้าง มันไม่คิดเลยว่าโอกาสเช่นนี้จะมาในช่วงที่มันต้องการพอดี

“ขอรับ ข้าจะมา”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มออกมา ท่าทีดีอกดีใจของศิษย์น้องทำให้เฟิงชิวประหลาดใจนิดหน่อย มันนึกว่าศิษย์น้องคนนี้ออกจะรักสงบเสียอีก แต่ในฐานะศิษย์สำนักธารโลหิต จะกระหายการต่อสู้บ้างย่อมเป็นสิ่งสมควรแล้ว

และสำหรับสำนักธารโลหิต พวกมันต้องการความแข็งแกร่งของศิษย์อยู่แล้ว การจัดประลองทุกเดือนย่อมเป็นสิ่งจำเป็น นั่นเพราะพวกมันต้องการให้เกิดการแข่งขันและความต้องการพัฒนาให้แก่ศิษย์ของตนเอง แน่นอนว่าผู้ชนะย่อมได้รางวัล ทำให้เหล่าศิษย์ต่างตั้งใจฝึกฝนและต่อสู้เอาชนะในการประลองครั้งนี้อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อการประลองครั้งนี้เป็นการประลองก่อนจะถึงงานชุมนุม 3 สำนักในอีก  1 เดือนพอดี นั่นหมายความว่าผลจากการประลองในคราวนี้ศิษย์ที่แสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่นอาจจะได้เป็นตัวแทนในการประลองก็เป็นได้

“ศิษย์พี่”ขณะเฟิงชิวจะจากไป อยู่ๆไป๋จูเหวินก็รั้งตัวมันเอาไว้ก่อน

“มีอะไรหรือ”เฟิงชิวเลิกคิ้วพลางหันมามองทางไป๋จูเหวิน

“ท่านช่วยเป็นคู่ซ้อมให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีประวลบการณ์ต่อสู้ไม่มากเท่าไหร่”ไป๋จูเหวินว่าพลางเกาแก้มเขิลๆ การต่อสู้เมื่อคืนแทบจะเป็นครั้งแรกของไป๋จูเหวินเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่รู้ว่าศิษย์หอตะวันตกจะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหน แต่ไป๋จูเหวินก็ไม่อยากประมาท อย่างน้อยขอแรงศิษย์พี่มาช่วยฝึกฝนให้คงจะดีกว่า

“ได้เลย”เฟิงชิวยิ้มพลางสัมผัสพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินเล็กน้อย พลังวิญญาณเพิ่มไม่ได้หมายความว่าทักษะการต่อสู้จะเพิ่มไปด้วย อย่าว่าแต่ตอนนี้ไป๋จูเหวินมีพลังวิญญาณน้อยกว่ามันอยู่เลย แม้แต่กำลังอาจารย์หู่ยังบอกว่าอยู่เพียงระดับขั้น 1 เท่านั้น

“คืนนี้เจ้าไปหาข้าที่ใต้ต้นเหมยประทับชาด ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าจนกว่าจะถึงเวลาประลองเลย”เฟิงชิวหัวเราะพลางกหมัดแน่น มิน่าเล่าอาจารย์ลี่และอาจารย์หู่ถึงใส่ใจไป๋จูเหวินเหลือเกิน นั่นเพราะมันพัฒนาไปได้ไวเช่นนี้นี่เอง แต่ในฐานะศิษย์พี่มันไม่ยอมให้ไป๋จูเหวินจ้ามไปง่ายๆหรอกนะ 3 วันนี้มันต้องสั่งสอนศิษย์น้องสักหน่อยแล้ว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด