บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 32 คาดหวัง

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 32 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 32

คาดหวัง

.

“ข้าดีใจ ที่พวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่หนีไปไหน”อาจารย์หู่พูดด้วยน้ำเสียงอันดังกึกก้องตามแบบของมัน ยามนี้ที่หน้าหอตะวันออกมีศิษย์ของสำนักธารโลหิตร่วมร้อยคนมาเรียงแถวกันด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถแสดงพัฒนาการของหอตะวันออกให้ท่านเจ้าสำนักเห็นได้”อาจารย์ลี่พูดเสริมพลางปรายตามองไปทางไป๋จูเหวินและต้าชิงต้าเฉินที่อยู่ท้ายสุด ต้าชิงและต้าเฉินแต่แรกมีพลังระดับ ก่อกำเนิด ขั้น 3 ตอนมาเข้าสำนัก ไม่นานก็ข้ามเป็นขั้น 4 และ 5 ติดต่อกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดพัฒนาแต่เพียงแค่นั้น นอกจากกำลังกายที่โดนอาจารย์หู่เขี้ยวกร่ำจนเพิ่มพูนแล้วระดับพลังวิญญาณยังเพิ่มอย่างรวดเร็วจนตอนนี้อยู่ระดับ 7 กันทั้งคู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อจนต้องมาคิดเลยว่าทำไมพวกมันยังค้างอยู่ในระดับ 3 ตอนก่อนเข้าสำนักทั้งๆที่พรสวรรค์ของพวกมันแทบจะเรียกได้ว่าจะมีให้เห็นสักคนในรอบหลายสิบปี

แน่นอน ทางด้านไป๋จูเหวินสร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งอาจารย์ลี่และอาจารย์หู่ยิ่งกว่าต้าชิงและต้าเฉินเสียอีก เมื่อไม่กี่วันก่อนมันยังมีระดับพลังอยู่แค่ขั้น 2 จนตัวอาจารย์ลี่เองยังแอบเสียดายที่เด็กเรียนรู้เร็วเช่นนี้กลับพัฒนาพลังวิญญาณได้สามัญจนเกินไป มันเพียงแอบคิดว่าหากพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินพัฒนาเร็วกว่านี้มันต้องเป็นบุคคลที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใครจะไปคิดว่าอีกไม่กี่คืนหลังจากพบเจอล่าสุด มันกลับมีพลังระดับ ก่อกำเนิด ขั้น 7 ไปแล้ว แม้แต่อาจารย์ลี่และอาจารย์หู่เองยังคิดไม่ออกว่าไป๋จูเหวินเจอวิธีฝึกฝนพลังวิญญาณเช่นไรมากันแน่

“ศิษย์พี่ หน้าท่านไปโดนอะไรมาหรือ”จินเหลียนถามขณะอยู่ในแถว

“เรื่องของข้า”เฟิงชิวหันหน้าหลบด้วยท่าทีไม่พอใจปนอับอาย ใครจะไปคิดกันว่าศิษย์น้องเล็กของมันจะเป็นผู้อ่านการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเข้าโจมตีด้วยความเร็วเท่าไรหรือใช้กระบวนท่าใดต่างโดนมันอ่านขาดราวกับมันเดินเข้าไปหาฝ่ามือของศิษย์น้องผู้นี้

น่าขำ แทนที่ไป๋จูเหวินที่ได้ฝึกกับศิษย์พี่ใหญ่จะพัฒนาฝีมือ กลับกลายเป็นเฟิงชิวเสียเองที่เพิ่มทักษะการบุกโจมตีขึ้นมาอีกขั้น เมื่อเจอกับดวงตาสีแดงของไป๋จูเหวิน ตัวมันที่ใช้วิชาความเร็วราวกับโผเข้าหาฝ่ามือด้วยตนเองไม่มีผิด กว่าจะสามารถแตะตัวศิษย์น้องผู้นี้ได้เล่นเอาเฟิงชิวใบหน้าแดงก่ำจนพลังวิญญาณไม่สามารถรักษาหายทันก่อนวันรวมตัว

“ศิษน้องหญิงคนไหนเป็นผู้ตบท่านกัน ฝ่ามือของนางสมควรรุนแรงกว่าพี่หยางเกาเสียอีก”จิงหลิงยิ้มพลางมองใบหน้าที่ประดับรอยฝ่ามือของเฟิงชิว แม้นางจะเพียงหยอกล้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเทียบกับหยางเกาไป๋จูเหวินยังมีพลังเหนือกว่าหลายขั้น แต่เหล่าศิษย์คนอื่นๆต่างเห็นเป็นเพียงเรื่องหยอกล้อ เลยพากันหัวเราะใส่เฟิงชิวอย่างออกนอกหน้าจนอาจารย์หู่ต้องดุพวกมันไปทีหนึ่ง

“พวกเราเดินทางไปที่หน้าสำนัก”หลังจากรวมตัวกันจนครบ อาจารย์หู่และอาจารย์ลี่ก็พาเหล่าศิษย์ร่วมร้อยขึ้นเรือที่ริมสระโลหิต ก่อนจะพากันเดินทางไปยังหน้าสำนักที่ไป๋จูเหวินและพวกต้าชิงเดินทางมาถึงเป็นที่แรกนั่นเอง

“นั่น พวกหอตะวันตก”ศิษย์คนหนึ่งพูดพลางมองไปฝั่งตรงข้ามของสระโลหิต แม้จะเป็นสำนักเดียวกันแต่หอของฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกแยกจากกันอย่างชัดเจน หากไม่ใช่เจอกันที่หอตำราหรือทางเข้าสำนัก พวกเขาก็แทบไม่ได้เจอกันเลย แม้จะยกเว้นเพียงเฟิงชิวที่นัดพบศิษย์จากหอตะวันตกมาพบกันเป็นครั้งคราวก็ตาม

ตึง! เรือของเหล่าศิษย์ทั้งหอตะวันตกและหอตะวันออกต่างแล่นกระทบเข้ากับฝั่งของทางเข้าสำนัก ที่นี่มีลานประลองสำหรับงานเช่นนี้ตั้งอยู่ ตัวลานประลองนั้นไม่ได้หรูหราอลังการอะไร เป็นเพียงรั้วไม้ล้อมรอบลานดินเอาไว้ โดยมีม้านั่งยาววางเรียงเอาไว้รอบนอกเท่านั้น

“หวังว่าปีนี้หอตะวันตกจะโชคดี”อาจารย์หู่เป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายอาจารย์จากฝั่งหอตะวันตก

“ไม่จำเป็นๆ หากวันนี้ศิษย์ของข้าโชคดีก็เป็นการรังแกศิษย์ของเจ้าแล้ว”อาจารย์ของหอตะวันตกต่อปากต่อคำพลางพาเหล่าศิษย์มายืนเรียงแถวกันอยู่หน้าลานประลอง

“เรื่องนั้นคงต้องให้เห็นในสนาม จริงหรือไม่ท่านพี่”หญิงงามท่าทางเย็นชานางหนึ่งพูดพลางมองมาทางอาจารย์ลี่

“ถูกต้องตามนั้น”อาจารย์ลี่ยิ้มเจื่อนๆพลางมองหญิงสาวด้วยท่าทีเป็นรอง ด้วยความสำพันธ์ของมันทั้งสอง แม้อาจารย์ลี่จะแข็งแกร่งกว่าแต่ก็ต้องยอมแต่โดยดี

“พวกเจ้าอย่าเอาแต่พูดเลย พาเหล่าศิษย์ไปนั่งได้แล้ว”ขณะอาจารย์ทั้งสองฝ่ายกำลังพูดคุยกัน รองเจ้าสำนักที่นานๆจะออกจากหอตำรามาทั้งทีก็เข้ามาขัดเสียก่อน ทำให้อาจารย์ทั้งสองฝ่ายแยกไปคนละทางเพื่อนำศิษย์ไปนั่งม้านั่งฝั่งของตน ก่อนที่เหล่าอาจารย์จะแยกไปนั่งกับรองเจ้าสำนักอีกที

“อาจารย์หู่ รอบนี้พวกเจ้าได้ศิษย์ใหม่มา 3 คนพวกมันเป็นอย่างไรบ้าง”รองเจ้าสำนักถาม เพราะในช่วงนี้สำนักยอดเมฆารับสมัครคนไปจนหมด มีเพียงพวกไป๋จูเหวิน 3 คนเท่านั้นที่มาสมัครเข้าสำนักธารโหลิต

“ยอดเยี่ยมขอรับ พวกมันพัฒนากันอย่างบ้าระห่ำ แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาอนาคตพวกมันได้”อาจารย์ลี่ตอบพลางยิ้มออกมาอย่างชื่นชม

“ฝั่งท่านมีศิษย์ใหม่ด้วยงั้นหรือ ทำไมท่านไม่บอกข้าเลย”อาจารย์หญิงถามพลางมองอาจารย์ลี่อย่างสงสัย

“พวกมันพึ่งเข้ามาไม่ถึงเดือน ข้าเลยไม่ได้บอกเจ้าตอนที่พบกันก่อนหน้านี้”อาจารย์ลี่ตอบพลางยิ้มให้อีกฝ่าย เหล่าศิษย์ในสำนักธารโลหิตต่างรู้ดีว่าอาจารย์หญิงท่านนี้คืออาจารย์ จิงหยาน เป็นภรรยาของอาจารย์ลี่และเป็นมารดาของ จิงหลิง แม้ทั้งสองจะอยู่คนละหอกัน แต่ครอบครัวของพวกเขาก็สงบสุขไม่เลวเลย

“ข้าไม่ได้เห็นท่านชื่นชมศิษย์คนไหนขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าศิษย์ใหม่ของท่านจะโดดเด่นกว่าจิงหลิงของเราอีกกระมัง”อาจารย์หยานว่าพลางมองไปยังกลุ่มศิษย์ของหอตะวันออก จิงหลิงเป็นบุตรสาวของพวกมัน ย่อมได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ที่นางใช้จิงหลิงเปรียบเทียบไม่ใช่เพราะต้องการถือหางบุตรสาว แต่เพราะในศิษย์หอตะวันออก มีเพียงจิงหลิงเท่านั้นที่นางรู้ฝีมืออย่างทะลุปรุโปร่ง และตัวจิงลี่ก็สามารถเทียบให้นางเข้าใจได้เช่นกัน

“ถึงจะน่าสงสารจิงหลิง แต่ศิษย์ใหม่คนนี้นางคงไม่อาจเทียบได้”อาจารย์ลี่ว่าพลางมองไปที่ไป๋จูเหวิน

“ขนาดนั้นเชียว”อาจารย์หยานขมวดคิ้ว แม้จะเป็นอาจารย์แต่สำหรับจิงหลิงแล้วพวกมันก็คือบิดามารดา พวกมันย่อมเข้าข้างจิงหลิงมากกว่าศิษย์คนอื่นไม่มากก็น้อย แต่จิงลี่กลับกล้าพูดออกมาตรงๆว่าศิษย์ใหม่เหนือกว่าบุตรสาวตนเองอย่างเทียบไม่ติด

“อย่าว่าแต่จิงหลิงเลย แม้แต่ ฮั่วเจียน ของพวกเจ้าก็เทียบไม่ได้”อาจารย์หู่ขัดการสนธนาพลางยิ้มอย่างอารมดี

“อาจารย์หู่พูดเกินไปแล้ว ข้าเห็นพวกมันอยู่ระดับ 7 ทั้งสามคน คงสู้ฮั่วเจียนไม่ไหว”อาจารย์ชายอีกคนพูดพลางจ้องมองอาจารย์หู่อย่างไม่พอใจ

“ฮั่วเจียนพึ่งจะผ่านระดับ ผลึกวิญญาณ มาเมื่อไม่นานนี้ ท่านควรเป็นห่วงเฟิงชิวของท่านมากกว่าพี่หู่”อาจารย์หยานว่าพลางยิ้มกว้าง ในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ มีเฟิงชิวและฮั่วเจียนเท่านั้นที่ค้างอยู่ระดับ ก่อกำเนิด ขั้น 10 มานาน ในที่สุดศิษย์ของพวกมันก็สามารถทะลวงขึ้นมาได้ ความจริงในวันนี้มันเตรียมดูชัยชนะของฮั่วเจียนเลยทีเดียว

“หึๆ พวกเจ้าเป็นพวกดูแต่ระดับพลังวิญญาณไปตั้งแต่เมื่อไหร่”อาจารย์หู่ยิ้มพลางจ้องมองไป๋จูเหวินอย่างอารมดี ตัวมันทราบดีว่าพลังของฮั่วเจียนอยู่ระดับใด แม้พลังวิญญาณจะพัฒนาไปขั้นหนึ่ง แต่มันก็คิดว่าไป๋จูเหวินน่าจะยังสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อยู่

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านไม่ส่งมันมาประลองกับฮั่วเจียนเสียเลยล่ะ”อาจารย์ชายพูดพลางมองตามสายตาของอาจารย์หู่ เหตุใดพวกมันถึงมั่นใจในตัวศิษย์ผู้นี้มากนัก?

“ย่อมได้…ย่อมได้…”อาจารย์ลี่พูดพลางหัวเราะออกมา มีเพียงอาจารย์หู่เท่านั้นที่ทราบกำลังกายที่แท้จริงของไป๋จูเหวิน และก็มีเพียงอาจารย์ลี่เท่านั้นที่รู้ว่าไป๋จูเหวินมีเนตรจิตรและมีเทคนิคใดบ้าง แต่ทั้งสองคนต่างก็มั่นใจในตัวศิษย์ผู้นี้อย่างออกนอกหน้า พวกมันไม่คิดเสียด้วยซ้ำว่าไป๋จูเหวินจะสามารถเอาชนะฮั่วเจียนได้หรือไม่ แต่มันกำลังคิดว่าไป๋จูเหวินจะคว้าชัยในศึก 3 สำนักได้หรือไม่ไปแล้ว

“ไป๋จูเหวิน เจ้าออกมาข้างหน้า”หลังจากตกลงกันแล้ว อาจารย์หู่ก็ลุกขึ้น ก่อนจะเรียกไป๋จูเหวินออกมาเป็นคนแรก แต่เดิมการประลองจะค่อยๆจับคู่ศิษย์ใหม่ไล่ไปจนถึงศิษย์เอกของแต่ละหอ การเรียกไป๋จูเหวินที่พึ่งเข้าสำนักมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไร

“ฮั่วเจียง เจ้าออกมาข้างหน้า”แต่คำสั่งของฝั่งหอตะวันตกกลับทำเอาเหล่าศิษย์ต่างพากันงุนงง ทำไมฮั่วเจียงที่เป็นศิษย์เอกของหอตะวันตกถึงถูกเรียกออกมาสู้กับไป๋จูเหวินที่เป็นศิษย์ใหม่กัน ไม่ใช่ว่ามันควรเป็นคู่สุดท้ายอย่างนั้นหรือ?

“ขอรับ…”ฮั่วเจียนยืนขึ้นพลางเดินออกมาข้างหน้า ตัวมันเองก็งุนงงไม่ต่างจากคนอื่น แม้ศิษย์ใหม่ตรงหน้าจะมีระดับ ก่อกำเนิด ขั้น 7 ซึ่งนับว่าน่าชื่นชมไม่น้อย แต่ตอนนี้มันอยู่ระดับ ผลึกวิญญาณ ขั้น 1 ไม่ใช่ว่าการประลองนี้ไม่สมเหตุสมผลงั้นหรือ…

“ถือวะว่านี่เป็นเพียงการประลองเปิดงานเท่านั้น พวกเจ้าทั้งสองแสดงฝีมือให้เต็มที่”รองเจ้าสำนักที่นั่งฟังอาจารย์ทั้งสองฝ่ายข่มกันไปมารับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว แต่อันดับการประลองย่อมไม่ใช่แบบนี้ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนุกดีรองเจ้าสำนักเลยให้ทั้งคู่มาประลองเป็นคู่เปิดงานเท่านั้น เพราะคู่ประลองจริงๆของฮั่วเจียนย่อมต้องเป็นเฟิงชิวตามกำหนดการ แถมตอนนี้ท่านเจ้าสำนักยังไม่มา เพียงประลองกันเป็นการอุ่นเครื่องก็น่าจะพอ

“เป็นคู่เปิดงานนี่เอง”ฮั่วเจียนว่าพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน ระดับพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินอ่อนด้อยกว่ามัน แถมมันไม่เห็นไป๋จูเหวินในการประลองครั้งก่อน หมายความว่าไป๋จูเหวินเป็นศิษย์พึ่งเข้าใหม่ไม่ถึง 3 เดือน เรื่องวิชาต่อสู้ก็คงไม่เข้าขั้นเท่าไหร่

“เริ่มได้”รองเจ้าสำนักว่าพลางมองไป๋จูเหวินและฮั่วเจียน ทั้งสองต่างยืนประชันหน้ากันโดยฮั่วเจียนชักดาบของมันออกมาตั้งท่าโจมตีเรียบร้อยแล้ว แต่ไป๋จูเหวินกลับยืนนิ่งราวกับไม่ได้ยินเสียงสัญญาณ

“ไม่มีใครมานั่งรอเจ้าหรอกนะ”ฮั่วเจียนคำรามก่อนจะทะยานไปข้างหน้า ตัวมันและเฟิงชิวต่างเป็นผู้ฝึกฝนวิชาสายความเร็ว แต่เดิมเฟิงชิวเร็วกว่ามันเล็กน้อย แต่ในยามนี้มันมั่นใจว่ามันเร็วกว่าเฟิงชิวแน่ๆ

ฟุบ! ร่างของฮั่วเจียนพุ่งเข้าไปใกล้ไป๋จูเหวินอย่างรวดเร็วจนคนที่ดูอยู่ต่างใจหาย ความเร็วของฮั่วเจียนเพิ่มขึ้นมากจาก 3 เดือนที่แล้ว บางทีแม้แต่เฟิงชิวก็อาจจะตามไม่ทัน

ผั๊ว! ฮั่วเจียนยังไม่ทันวาดดาบ อยู่ใบหน้าของมันก็ปรากฏรอบแดงรูปฝ่ามืออย่างกะทันหัน ก่อนที่ร่างของมันจะลอยหวือไปข้างหลังกระแทกกำแพงไม้จนหลุดออกไปถึงที่นั่งของศิษย์พอตะวันตก ไม่ต้องพูดถึงเหล่าศิษย์และอาจารย์จากหอตะวันตก แม้แต่อาจารย์ลี่และอาจารย์หู่ที่รู้ความสามารถของไป๋จูเหวินเพียงคนละครึ่งต่างก็เบิกตากว้าง ในพื้นที่นี้มีเพียงเฟิงชิวเท่านั้นที่เอามือลูบแก้มตนเองราวกับภาพฮั่วเจียนโดนฝ่ามือของไป๋จูเหวินเข้ากำลังทำให้มันนึกถึงภาพตนเองเมื่อ 3 วันก่อน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด