บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 50 เที่ยวชมเขตอสูร
ตอนที่ 50
เที่ยวชมเขตอสูร
“พวกเจ้าจะกลับแล้วงั้นเหรอ”มังกรธรณีถามหลังจากเวลายามเช้ามาเยือนแล้ว
“ทำไมรีบนักล่ะ อยู่กับพวกข้าอีกวันไม่ได้หรือไง”น้าราชสีห์ถามด้วยใบหน้าผิดหวัง มันนึกว่าไป๋จูเหวินจะมาอยู่หลายๆวันเสียอีก
“ข้ากับเหม่ยหลินมีสหายรออยู่ในเมือง ข้ากลัวว่าจากไปนานพวกเขาจะเป็นห่วง”ไป๋จูเหวินตอบ ตัวต้าชิงกับต้าเฉินนั้นไม่เท่าไหร่เพราะไป๋จูเหวินบอกว่าจะใช้เวลาสักอาทิตย์ แต่เหม่ยหลินกลับไม่ได้บอกหมิงฮุ่ยและผู้ติดตามคนอื่นๆเอาไว้ แถมที่นางไม่บอกเพราะไป๋จูเหวินขอเอาไว้อีกต่างหาก การพานางกลับไปให้เร็วที่สุดอาจจะดีกว่าก็ได้
“อย่าพึ่งรีบเลย เอาไว้น้าจะไปส่งเจ้าเองพาสหายของเจ้าเที่ยมชมเขตอสูรสักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ”น้าไก่ฟ้าว่าพลางเสนอตัวจะไปส่ง หากให้ท่านน้าไก่ฟ้าไปส่งก็ประหยัดเวลาได้วันหนึ่ง แต่ไป๋จูเหวินก็ยังมีท่าทีลังเล
“เราแอบหมิงฮุ่ยเที่ยวเล่นกันอีกวันเถอะคุณหนู”หยวนหยวนเห็นไป๋จูเหวินลำบากใจก็ยิ้มออกมา ช่วงที่นางอยู่กับพวกราชาพวกมันต้อนรับนางดีไม่น้อย เห็นพวกมันเสียดายที่ต้องจากไป๋จูเหวินอีกครั้งก็อดช่วยไม่ได้
“ข้าเองก็พึ่งเคยเข้ามาในเขตอสูรเหมือนกัน ถ้าได้เดินชมรอบๆก็คงดี”เหม่ยหลินยิ้มพลางขอโทษหมิงฮุ่ยในใจ หวังว่ากลับไปนางจะไม่โดนเทศนานานสักเท่าไหร่
“เช่นนั้นก็อยู่ต่อก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินเห็นเหม่ยหลินกับหยวนหยวนอยากจะอยู่ต่อ ตัวมันก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ความจริงมันก็อยากอยู่กับพวกท่านน้าอีกหน่อยเหมือนกัน
“เยี่ยม มาเถอะข้าจะพาพวกเจ้าเที่ยวชมเขตอสูรเอง”น้าพยัคฆ์เห็นเช่นนั้นก็กลับเป็นร่างพยัคฆ์ก่อนจะบอกให้ทั้งสามขึ้นหลังมา ตัวไป๋จูเหวินและหยวนหยวนที่เคยขี่หลังน่าพยัคฆ์มาแล้วขึ้นไปอย่างรวดเร็วส่วนเหม่ยหลินแม้จะกลัวๆอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมขึ้นหลังของพยัคฆ์อัสนีไปอย่างว่าง่าย
“เฮ้ย ใครบอกให้พวกเจ้าขึ้นมากัน”พยัคฆ์อัสนีสัมผัสได้ถึงน้ำหนักส่วนเกินที่พากันขึ้นมาบนหลังตนก็โวยวายทันที
“จูเอ๋ออยู่ต่อแค่วันเดียวเจ้าคิดจะเก็บเขาไว้กับตัวหรืออย่างไร ช่างโลภมากจริงๆ”มังกรธรณีที่นั่งอยู่บนหลังพยัคฆ์อัสสีพูดพลางลูบหัวไป๋จูเหวินเบาๆ
“แล้วทำไมต้องมาขี่ข้าวะ ไปกันเองไม่เป็นหรือไง”พยัคฆ์อัสนียังคงโวยไม่เลิก แม้ความจริงเจ้าราชาอีก 4 ตัวที่นั่งบนหลังมันจะไม่ทำให้หนักอะไรเลยก็ตาม แต่การต้องมาเสียแรงให้พวกมันนับว่าเป็นความเสียเปรียบที่พยัคฆ์อัสนียอมรับไม่ค่อยจะได้
“ก็เจ้าเสนอตัวเองนี่นา แถมเจ้าคืนร่างแล้วส่วนพวกข้ายัง”มังกรธรณีว่าพลางตบหลังพยัคฆ์อัสนีราวกับตบเบาะนั่ง
“หนอย”พยัคฆ์อัสนีเส้นเลือดปูกโปนก่อนจะเริ่มเดินอย่างช่วยไม่ได้ แต่มันกลับเดินช้าราวกับไม่มีกะใจจะเดิน พอเห็นพยัคฆ์อัสนีเดินช้าเช่นนี้เจ้าไก่ฟ้าในร่างมนุษย์ก็ยิ้มกว้าง มันเดินไปนั่งบนหัวของพยัคฆ์อัสนีพลางตบหัวมันเหมือนที่มังกรธรณีทำ
“เดินเร็วสิเจ้าแมวน้อย เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางหัวเราะออกมา คำนี้เป็นคำที่พยัคฆ์อัสนีเคยใช้ตอนมันขี่หลังตนเองเมื่อคราวก่อน
“ว่าไงนะเจ้าไก่”พยัคฆ์อัสนีว่าพลางแหงนหน้ามองหาเจ้าไก่ฟ้า แต่เพราะมันนั่งอยู่บนหัวของพยัคฆ์อัสนีทำให้มองอย่างไรก็ไม่เห็น
“เดินดูทางด้วยเจ้าแมว เดี๋ยวก็ทำสหายของจูเอ๋อตกจากตัวพอดี”ได้ยินไก่ฟ้าพูดเช่นนั้นพยัคฆ์อัสนีก็ได้แต่ยอมทนเท่านั้นเพราะหากหันไปทะเลาะกับไก่ฟ้าตอนนี้คงได้ทำเหม่ยหลินกับหยวนหยวนตกจากตัวแน่ๆ
“นายน้อยยย”ขณะพยัคฆ์อัสนีเดินเข้าไปในป่าเมฆาอัสนี ร่างของหมาป่าขนเงินที่เจอกับพวกเหม่ยหลินคราวก่อนก็ปรากฏตัวขึ้น เพียงแต่คราวนี้พวกมันไม่เหลือท่าทีของหมาป่าผู้จองหองเลยแม้แต่น้อย พวกมันกระดิกหางวิ่งตามพยัคฆ์อัสนีราวกับหมาที่เลี้ยงจนเชื่อง แถมยังเอาแต่ตะโกนถามไถ่ไป๋จูเหวินราวกับเป็นบางรับใช้ไม่มีผิด
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว”
“นายน้อยท่านดูผอมไปนะให้ข้าไปจับอสูรมาให้ท่านย่างกินดีไหม”
“…..”ทั้งเหม่ยหลินและหยวนหยวนต่างพากันอึ้งกับภาพที่เห็นตรงหน้า อสูรจำนวนมากเดินตามพยัคฆ์อัสนีราวกับขบวนแห่ของอสูร แถมพวกมันยังแก่หันมาถามไถ่นายน้อยของมันกันอย่างรักใคร่อีกต่างหาก แม้แต่หยวนหยวนที่เคยเดินทางร่วมพับพยัคฆ์อัสนีมาก่อนยังไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้
“มังกรธรณี”หลังจากพาเที่ยวชมป่าเมฆาอัสนีที่เต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ร้ายพยัคฆ์อัสนีก็เอ่ยปากเรียกมังกรธรณีขึ้นมา
“มีอะไร”มังกรธรณีที่นั่งอยู่ข้างๆไป๋จูเหวินถามกลับ
“ตาเจ้าให้พวกข้าขี่หลังบ้างแล้ว”พยัคฆ์อัสนีพูดเช่นนั้นเพราะตรงหน้าคือสุดเขตของป่าเมฆาอัสนีแล้วนั่นเอง
“หะ เจ้าก็เคยมาเขตข้าไม่ใช่หรือไง หรือเจ้าลืมทางไปแล้ว”มังกรธรณีถามราวกับจะไม่ยอมลงไปเป็นสัตว์ขี่
“นี่เป็นเขตของเจ้า จะมีใครเหมาะจะพาชมที่สุดนอกจากเจ้าล่ะ”พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกลายร่างเป็นมนุษย์ในทันที แน่นอนว่าความสูงเพียงแค่นี้ทำอะไรผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณและอสูรในกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพอถึงเขตของใครแล้วคนนั้นก็เป็นคนพาชมก็แล้วกัน”มังกรธรณีว่าพลางกลายร่างเป็นมังกรตัวเท่าภูเขาในทันที สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหม่ยหลินอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางได้ขี่มังกรตัวเป็นๆ
“นายน้อย”ทันทีที่เข้าเขตป่าวัฒนะร่างของลิงเผือกตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋จูเหวิน
“เถ้าแก่หวัง”ไป๋จูเหวินจำได้ในทันทีว่าใครคือผู้มาในครานี้
“ไม่ได้พบกันนานนะขอรับ”เถ้าแก่หวังว่าพลางประสานมือมาทางไป๋จูเหวิน ท่าทางการใช้ชีวิตในแดนมนุษย์จะสร้างความเคยชินให้มันเสียแล้ว
“หวังว่าต้าชิงต้าเฉินจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านนะนายน้อย ว่าแต่พวกมันไปไหนซะล่ะ”เถ้าแก่หวังถามพลางหันไปมองรอบๆ
“พี่ต้าชิงพี่ต้าเฉินไม่ได้มาด้วย แต่พวกเขาก็ช่วยข้าได้เยอะเหมืนกัน”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางชมต้าชิงต้าเฉินอย่างจริงใจ ต้าชิงมีความรู้กว้างขวางเลยช่วยอธิบายอะไรหลายๆอย่างให้ไป๋จูเหวินที่ไม่เคยเจอโลกของมนุษย์ให้เข้าใจได้ ส่วยต้าเฉินก็มักจะคอบทำให้บรรยากาศผ่อนคลายอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเดินทางไปกับทั้งสองค่อนข้างเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว
หลังจากบอกลาเถ้าแก่หวัง มังกรธรณีก็พาพวกไป๋จูเหวินเดินเที่ยวในเขตป่าวัฒนะที่มีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างสนุกสนาน ภายในป่าวัฒนะมีของแปลกๆมากมายให้เหม่ยหลินและหยวนหยวนได้ถาม และไป๋จูเหวินก็ช่วยตอบได้อย่างชำนาญเพราะน้ามังกรคอยเขี้ยวเข็ญให้เขาจำเอาไว้หมดแล้วนั่นเอง
“แล้วบ่อน้ำนั่นล่ะ”เหม่ยหลินถามอย่างกระตือรือร้นเมื่อเห็นของในป่าวัฒนะ
“นั่นเรียกว่าบ่อชีพจรวารี เป็นบ่อน้ำที่มีพลังเยียวยาจากตาน้ำที่อยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล มันเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ในป่าวัฒนะใหญ่โตขนาดนี้ยังไงล่ะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปที่บ่อชีพจรวารี
“ตอนที่ข้ากลืนแก่นอสูรเข้าไปก็โดนท่านน้าจับลงไปแช่ในบ่อตั้งนานกว่าจะรอดชีวิตมาได้”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปที่เหม่ยหลิน นางเอกก็ได้กลืนแก่นอสูรเข้าไปเหมือนกัน และจากที่ฟังมาเมื่อวานนางกลืนแก่นอสูรที่มีพลังพอๆกับพวกท่านน้าเข้าไป นั่นไม่ใช่ว่านางกลืนแก่นอสูรข้ามขั้นเหมือนไป๋จูเหวินงั้นเหรอ
“…..เจ้าเองก็เข้าใจสินะ”เหม่ยหลินว่าพลางสบตากับไป๋จูเหวิน ปกติแล้วนักล่าอสูรจะกลืนแก่นอสูรระดับต่ำเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับชีวิตตนเอง แต่เธอกลับกลืนแก่นอสูรของอสูรอย่างกิเลนดำเข้าไป แน่นอนว่ามันทำเอาเธอเกือบตายเลยทีเดียว
“…ข้าเข้าใจ”ไป๋จูเหวินพยักหน้าเบาๆด้วยดวงตาที่หมองเศร้าลง มันยังคงรู้สึกผิดมาตลอดที่ทำให้ท่านน้าเป็นห่วงในวันนั้น
“อย่างน้อยข้าก็มีเพื่อนร่วมชตากรรมสินะ”เหม่ยหลินเห็นไป๋จูเหวินมีท่าทีเศร้าสร้อยนางเลยเปลี่ยนเรื่องพลางยิ้มออกมา แม้จะไม่ทำให้เรื่องราวในอดีตเปลี่ยนไป แต่รอยยิ้มของสาวงามก็เยียวยาจิตใจให้ได้เป็นอย่างดี ทำเอาหยวนหยวนที่อยู่ข้างๆแอบยิ้มออกมา
ในฐานะอสูรเลี้ยงของเหม่ยหลิน นางเลี้ยงดูเหม่ยหลินมาไม่ต่างจากน้องสาว ย่อมทำตัวหวงเหม่ยหลินเหมือนพี่สาวหวงน้องสาวไม่ผิดเพี้ยน แต่เพราะนางเป็นอสูรนี่เองทำให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของไป๋จูเหวินได้อย่างไม่ยากเย็น ขนาดเห็นน้องสาวสุดรักของนางคุยกับไป๋จูเหวินยังไม่มีอาการหึงหวงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย แถมกลับแอบดีใจเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย รีบเปลี่ยนร่างสักทีสิ”หลังจากพาเที่ยวชมเขตอสูรไป 4 เขตแล้ว ในที่สุดก็มาถึงเขตสันเขาทองคำของไก่ฟ้าหงอนทองเสียที แน่นอนว่าผู้เบิกบานเป้นที่สุดย่อมเป็นพยัคฆ์อัสนีอย่างไม่ต้องสงสัย
“รู้แล้วน่า”เจ้าไก่ฟ้าส่งเสียงจิจะไม่พอใจก่อนจะกลายร่างเป็นไก่ฟ้าตัวใหญ่ที่แสนสง่างามต่างจากร่างมนุษย์ที่อ้วนท้วนของมันคนละเรื่อง
“เฮ้ย หางข้าไม่ใช่พรมเช็ดเท้าเจ้านะ”ไก่ฟ้าหงอนทองโวยเมื่อเห็นพยัคฆ์อัสนีใช้หางของมันเช็ดเท้าก่อนจะปีนขึ้นหลังของมัน
“อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย เจ้ารีบไปได้แล้วเดี่ยวฟ้าจะมืดซะก่อน เจ้าอยากให้สหายของจูเอ๋อได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่แดนสันเขาทองคำไม่ใช่หรือไง”ได้ยินเช่นนั้นไก่ฟ้าหงอนทองก็ส่งเชียวออกมาราวกับไม่พอใจที่พยัคฆ์อัสนีรู้ทันตนเอง ก่อนจะพาพวกไป๋จูเหวินบินขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า
“……”แม้แต่ไป๋จูเหวินที่ได้มองภาพเช่นนี้อยู่บ่อยๆยังชื่นชมทุกครั้งที่ได้เห็น ไม่ต้องพูดถึงเหม่ยหลินและหยวนหยวนที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก สองสาวที่นั่งอยู่บนหลังของไก่ฟ้าหงอนทองนิ่งเงียบไปพักใหญ่เลยทีเดียว แม้ท่านน้าทั้งห้าจะดูไม่ถูกกัน แต่พวกท่านก็มีอะไรเหมือนกันอย่างน่าประหลาด อย่างน้าพยัคฆ์และน้าไก่ฟ้าเองแม้ปากจะกัดกันแต่เรื่องความงามของสภาพแวดล้มพวกท่านรู้ดีไม่ต่างกันเลย
คอมเม้นต์