“พี่หลิน ข้าง่วงแล้ว”หลินหลินว่าพลางเดินเข้ามาหาเหม่ยหลินที่นั่งอยู่ขอบหน้าผา ไม่ทราบว่าสองหนุ่มด้านหลังประลองกันไปกี่รอบแล้ว แต่ทั้งสองก็ไม่มีท่าทีจะหยุดเลยสักนิด
“เจ้าไปไหนมา ทำไมข้าไม้เห็นเจ้าเลย”เหม่ยหลินถามพลางมองหลินหลินที่นอนพิงร่างของเธอราวกับจะใช้เป็นหมอน
“พี่ไป๋ให้แหวนมิติข้ามา ข้าเลยเอาไปใส่ของกิน”หลินหลินว่าพลางโชว์แหวนที่ไป๋จูเหวินเคยใช่ก่อนได้มิติของตนเองออกมา
“ของกิน?”เหม่ยหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย หลินหลินเป็นอสูรเรื่องนั้นนางรู้ดี แต่หลินหลินมักจะกินอะไรจากถุงใบเล็กๆอยู่เสมอ นางเองก็ไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร
“นี่ไง”หลินหลินยื่นหยกก้อนหนึ่งให้เหม่ยหลินดู
“หยก? เจ้าเป็นอสูรธาตุทองนี่เอง”เหม่ยหลินพยังหน้าพลางมองหยกที่หลินหลินกินอย่างสนใจ ตัวนางเป็นนักล่าอสูรมาตั้งแต่เกิด ย่อมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอสูรเป็นอย่างดี
“ร่างจริงของหลินหลินเป็นหยกทั้งตัวเลยนะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้ามาหาเหม่ยหลินหลังประลองจบ
“จริงเหรอ…หลินหลินเจ้าคืนร่างให้พี่ดูได้ไหม”เหม่ยหลินว่าพลางมองหลินหลินด้วยสายตาเป็นประกาย
“อื้อ”หลินหลินว่าพลางกลายร่างเป็นแมงมุมหยกตัวใหญ่ที่สูงกว่าพวกไป๋จูเหวินเสียอีก
“จริงด้วย เป็นหยกทั้งตัวเลย”เหม่ยหลินมองร่างของหลินหลินด้วยสายตาเป็นประกาย หากมองไกลๆหลินหลินราวกับแมงมุมสลักจากหยกจริงๆเลย
“อสูรนี่น่าสนใจดีนะ ข้าเองก็ต้องศึกษาเรื่องอสูรเอาไว้บ้างแล้วสิ”อู๋หมิงว่าพลางเก็บกระบี่เข้าฝัก การประลองในวันนี้สนุกมากจนลืมเวลาเลย แต่ส่วนใหญ่มันกลับเสียเปรียบ ทั้งนี้เพราะมันตัดใยแมงมุมของไป๋จูเหวินไม่ได้ ทุกครั้งที่ใยแมงมุมติดร่างกายมันก็จะเสียเปรียบทุกครั้ง
“ท่านจะหาทางรับมือพี่ไป๋นะสิ”เหม่ยหลินว่าพลางหัวเราะออกมา นางดูการต่อสู้มาตลอดเข้าใจดีเลยว่าอู๋หมิงเสียเปรียบตรงไหน
“แล้วพี่หลินไม่สู้บ้างเหรอคะ”หลินหลินถามพลางมองเหม่ยหลินอย่างประหลาดใจ นางแข็งแกร่งมาก ทำไมไม่ลงไปสู้กับพวกไป๋จูเหวินบ้าง
“เรื่องนั้น…”อู๋หมิงยิ้มเจื่อนๆพลางมองมาทางเหม่ยหลินด้วยสายตาเกรงใจ
“พวกเราสู้คุณหนูเหม่ยหลินแห่งกลุ่มนักล่าอสูรไม่ได้หรอก”อู๋หมิงถอนหายใจพลางส่ายหัวเล็กน้อย แม้แต่อู๋หมิงศิษย์ของอาวุโสเทียนหมิงยังไม่สามารถเทียบคุณหนูแห่งกลุ่มนักล่าอสูรได้ เพราะทุกคนต่างทราบกันดีว่าคุณหนูแห่งกลุ่มนักล่าอสูรคืออัจฉริยะในรอบหลายพันปี
“เอ๊ะ ขนาดนั้นเลยเหรอ”หลินหลินว่าพลางเบิกตากว้าง นางสัมผัสได้แต่พลังอสูรจากเหม่ยหลิน แต่นางก็รู้แต่ว่าพลังอสูรของเหม่ยหลินสูงกว่าตนเองเท่านั้นไม่ทราบว่าสูงกว่าเท่าใด
“นางเป็นคนเดียวในเหล่าจอมยุทธรุ่นใหม่ที่สามารถฝึกฝนเกินขอบเขตของมนุษย์ได้เชียวนะ”อู๋หมิงว่าพลางมองเหม่ยหลินด้วยท่าทีชื่นชม
“ชมเกินไปแล้ว คุณชายอู๋หมิงเองก็ใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตมนุษย์มาแล้วนี่นา”เหม่ยหลินว่าพลางมองพลังของอู๋หมิง ตอนนี้อู๋หมิงอยู่ในขั้นหลอมรวมวิญญาณ ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของขอบเขตมนุษย์แล้ว ในกลุ่มคนรุ่นใหม่หากไม่นับเหม่ยหลินก็คงมีเพียงอู๋หมิงเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุด
“ขอบเขตมนุษย์คืออะไรเหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“นี่เจ้าไม่รู้งั้นเหรอ”อู๋หมิงขมวดคิ้วพลางมองไป๋จูเหวินอย่างประหลาดใจ แต่จะว่าไปไป๋จูเหวินก็อยู่ในเขตกล้วยไม้หยกที่มีระดับการฝึกฝนพลังวิญญาณต่ำอยู่แล้ว จะไม่รู้ก็ไม่แปลก
“จริงสิพี่ไป๋อยู่ในเขตอสูรคงไม่ทราบสินะ”เหม่ยหลินว่าพลางหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง
“ตอนนี้พี่ไป๋อยู่ในระดับหลอมรวมปฐพีขั้น 1 ซึ่งอยู่ระดับกลางของขอบเขตมนุษย์”เหม่ยหลินว่าพลางเขียนชื่อระดับแต่ละระดับลงไป
“ส่วนคุณชายอู๋หมิงอยู่ระดับหลอมรวมวิญญาณ ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายของขอบเขตมนุษย์”เหม่ยหลินว่าพลางใช้พู่กันจิ้มลงไปหลังคำว่า หลอมรวมวิญญาณ
“ในขอบเขตของมนุษย์จะเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายทั้งหมด อย่างก่อกำเนิด จะเป็นการสร้างผลึกวิญญาณ ในขั้นผลึกวิญญาณจะเป็นการฟูมฟักผลึกวิญญาณให้แข็งแรง ส่วนในขั้นหลอมรวมปฐพีจะเป็นการเสริมสร้างร่างกายของมนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้น ในขั้นหลอมรวมนภาจะเป็นการเพิ่มพูนพลังวิญญาณของร่างมนุษย์ เมื่อก้าวถึงขั้นหลอมรวมวิญญาณประตูแห่งธาตุจะเปิดออกจนสามารถใช้วิญญาณแห่งธาตุของแต่ละคนได้”เหม่ยหลินอธิบายพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน นางไม่เคยเจอใครที่มีพลังอสูรมากกว่าพลังวิญญาณมาก่อน ระดับมันเลยเรียงกันค่อนข้างเละเทะจนนางไม่ทราบว่าขั้นตอนเหล่านี้สามารถใช้กับไป๋จูเหวินได้หรือไม่ ทั้งที่มันยังอยู่ในระดับหลอมรวมปฐพีแต่กลัใช้พลังธาตุของแก่นอสูรได้แล้ว
“ส่วนในขอบเขตต่อมาเราเรียกกันว่าขอบเขตการเปลี่ยนแปลง ในขอบเขตนี้ทั้งร่างกายและพลังวิญญาณจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเพื่อจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนในขอบเขตสุดท้าย”เหมยหลินพูดพลางเขียนอักษรลงบนกระดาษ โดยในขอบเขตการเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่ 5 ระดับ โดยแบ่งออกเป็น ชำระกล้ามเนื้อ ชำระกระดูก ชำระเส้นเอ็น ชำระวิญญาณ และ ก่อกำเนิดพลังเซียน”ได้ฟังไป๋จูเหวินก็พยักหน้าช้าๆ
“แล้วเจ้าอยู่ระดับไหนแล้วล่ะ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางเหม่ยหลิน
“ระดับนี้ค่ะ…”เหม่ยหลินว่าพลางชี้ไปที่ระดับ ชำระเส้นเอ็น แสดงว่านางอยู่ระดับกลางของขอบเขตการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่พลังของนางตอนนี้หากเทียบกับอสูรก็ราวๆระดับหยกใกล้ๆหยกขาวเท่านั้น บางทีในระดับขอบเขตการเปลี่ยนแปลงพลังของมนุษย์คงอยู่ราวๆระดับหยกขาวค่อนไประดับตำนานเป็นแน่
“แล้วขอบเขตเซียนล่ะ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองทางเหม่ยหลิน หากที่มันทราบว่าถูกต้องพวกท่านน้าทั้ง 5 ต่างอยู่ระดับมายาทั้งสิ้น หากขอบเขตพลังของมนุษย์มีมากกว่าบางทีอาจจะมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าพวกท่านน้าอีกก็เป็นได้
“เรื่องนั้นข้าอธิบายเอง”อู๋หมิงว่าพลางขอพู่กันจากเหม่ยหลิน
“ต่อจากขอบเขตการเปลี่ยนแปลงคือขอบเขตเซียน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ เหรินเซียน ตี้เซียน เสินเซียน และ เทียนเซียน”อู๋หมิงว่าพลางเริ่มเขียนรายชื่อลงไปบนกระดาษ
“จริงสิ อาวุโสเทียนหมิงอยู่ระดับใด”ไป๋จูเหวินถามพลางนึกถึงอาวุโสเทียนหมิง ท่านเป็นคนที่มีพลังใกล้เคียงกับน้าของมันที่สุดแล้ว
“ท่านอยู่ระดับเทียนเซียนแล้ว”ได้ยินคำตอบไป๋จูเหวินก็นิ่งไป หากระดับของมนุษย์มีเท่านี้จริง นั่นหมายความว่าระดับสูงสุดของมนุษย์ก็เทียบได้กับท่านน้าของมันเท่านั้นเองนะหรือ สมแล้วที่พวกท่านน้าได้ชื่อว่าราชาแห่งเขตอสูร พวกท่านแต่ละตนแข็งแกร่งระดับเดียวกับผู้แข็งแกร่งที่สุดในเหล่ามนุษย์เลย
แล้ว..มารดามันล่ะ
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของไป๋จูเหวิน มารดาของมันเป็นอสูรที่แม้แต่พวกท่านน้ายังทำอะไรไม่ได้ นั่นไม่ได้หมายความว่ามารดาของมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากงั้นหรือ
“มีอะไรเหรอไป๋จูเหวิน”อู๋หมิงถามขึ้นเมื่อเห็นไป๋จูเหวินนิ่งเงียบไป
“ไม่มีอะไร”ไป๋จูเหวินส่ายหน้าช้าๆ พลางมองไปทางเหม่ยหลิน จู่ๆมันก็จำคำพูดของพวกท่านน้าได้ว่าแก่นอสูรที่เหม่ยหลินกลืนลงไปเป็นอสูรที่อยู่ระดับเดียวกับพวกท่านน้า นั่นหมายความว่ามีใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าอสูรตนนั้นอยู่ถึงได้ฆ่าและนำแก่นอสูรของมันมาได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าแม้ระดับจะตันอยู่เพียงเท่านั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะพัฒนาไปให้แข็งแกร่งกว่าระดับไม่ได้ โลกใบนี้ยังมีผู้เก่งกาจมากมาย บางทีมันอาจจะได้เจออสูรที่เหมือนมารดาของมันก็เป็นได้
คอมเม้นต์