บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 132 ผู้พิทักษ์แห่งกลุ่มผู้ฝึกอสูร
ตอนที่ 132
ผู้พิทักษ์แห่งกลุ่มผู้ฝึกอสูร
“หึๆ…”ร่างของเฒ่าประทับสวรรค์กระโจนเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งที่มันซื้อเอาไว้เป็นที่พักอาศัย มันเป็นบ้านที่ตั้งอยู่กลางเมืองปะปนไปกับบ้านเมืองของคนธรรมดาสามัญ ชนิดที่ว่าคนรอบข้างเองยังไม่ทราบเลยว่าตาแก่เจ้าของบ้านเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ
“อาจารย์ ท่านกลับมาแล้วหรือ”เฟยหลงศิษย์ของเฒ่าประทับสวรรค์ถามพลางเดินเข้ามาต้อยรับอาจารย์ที่พึ่งกลับมา
“เฟยหลง ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชาสักพัก เจ้าอยากจะไปไหนก็ตามสบาย”เฒ่าประทับสวรรค์ว่าพลางเดินเข้าไปในตัวบ้านก่อนจะมาหยุดที่ชั้นตำราที่เรียงกันอยู่ที่ด้านหลังพลางเดินไปเลื่อนชั้นตำราชั้นหนึ่งจนเผยให้เห็นทางลับที่ทอดยาวลงไปในชั้นใต้ดิน
คลืนนนน……เฒ่าประทับสวรรค์ลงมาภายในห้องใต้ดินที่ลึกลงมาเกือบร้อยเมตร ก่อนที่มันจะหยิบตำราที่ชิงมาจากไป๋จูเหวินออกมา ต้องนับว่าโชคดีจริงๆที่มันได้ยินตอนพวกไป๋จูเหวินคุยกันเรื่องวิชาของไป๋จูเหวินทำให้มันได้ยินเต็มสองรูหูว่าวิชาของไป๋จูเหวินนั้นเป็นท่านน้าของมันเขียนเอาไว้ให้ในตำราเล่มนี้ มันเลยลงแรงไปดักรอที่เขตเมืองร้อยแปดอสูรนับเดือนเพื่อรอไป๋จูเหวินออกเดินทางเพียงลำพัง และต้องนับว่าเป็นโชคของมันที่เจ้าหนูไป๋จูเหวินใช้แมงมุมตัวยักษ์ในการเดินทาง ทำให้มันเห็นในทันทีว่าไป๋จูเหวินออกจากเมืองมาแล้ว
“หึหึ…”เฒ่าประทับสวรรค์หัวเราะพลางเปิดตำราออกอย่างช้าๆ เคล็ดวิชาที่สร้างฝ่ามือความไวสูงเช่นนั้นเป็นวิชาอะไรกันแน่ เฒ่ปาระทับสวรรค์แทบทนรอไม่ไหวแล้ว
“…….”หลังจากเปิดตำราออกอ่าน ท่าทีของเฒ่าประทับสวรรค์ก็นิ่งค้างไป ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรมันก็ยิ่งรู้สึกว่าวิชาในตำราช่างแปลกประหลาด หากไม่ใช่เพราะไป๋จูเหวินพูดเองว่ามันเรียนวิชาจากตำราเล่มนี้ เฒ่าประทับสวรรค์คงโยนตำราทิ้งเพราะมันควรจะเป็นวิชาของคนเสียสติเสียมากกว่า การเดินพลังไปยังจุดที่มันไม่รู้จัก ท่วงท่าประหลาดที่ไม่ทราบจะใช้ในการต่อสู้อย่างไรล้วนทำเอาเฒ่าประทับสวรรค์สมองตีบตัน
ตึง..เฒ่าประทับสวรรค์ตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้นคลานสี่ขาตามที่ตำราบอก ในเมื่อไป๋จูเหวินฝึกได้ทำไมมันจะฝึกไม่ได้ เฒ่าประทับสวรรค์คลานสี่ขาเดินลมปราณตามที่ตำราเขียนเอาไว้ แม้จุดชีพจรหรือเส้นชีพจรจะเขียนไม่เหมือนกัน แต่ด้วยความสามารถของเฒ่าประทับสวรรค์ก็แกะความได้ไม่ยาก เพียงแต่วิชาหน้าแรกๆนั้นมันไม่ทราบว่ามนุษย์ไม่สามารถใช้งานได้เท่านั้น
“อั๊ก”เฒ่าประทับสวรรค์กระอักเลือดออกมาหลังจากลองฝึกฝนกระบวนท่าแรก การเดินพลังวิญญาณมั่วซั่วปั่นป่วนไปหมดทำเอามันไม่สามารถแม้แต่จะแสดงพลังออกมาได้ แต่มีหรือที่เฒ่าประทับสวรรค์ผู้เต็มไปด้วยความโลภจะยอมเพียงเท่านี้
ในหัวของมันยังคงเชื่อมั่นว่าหากไป๋จูเหวินฝึกได้มันเองก็ต้องฝึกได้ มันจึงเพ่งพยายามฝึกฝนวิชาในตำราอย่างจริงจัง เพียงแต่….
“อากกก”พลังวิญญาณในร่างของเฒ่าประทับสวรรค์เดินทางมั่วซั่วไปหมดด้วยวิชาของอสูรที่มนุษย์ไม่อาจฝึกฝนได้ เนื่องเพราะโครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกันำทำให้วิธีการไม่เหมือนกันไปด้วย การนำวิธีโคจรพลังของพยัคฆ์มาใช้ในร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้นหากไม่ฝืนจนเกินไปก็ไม่ได้มีผลร้ายอะไรนอกเสียจากผู้ฝึกจะดื้อด้านไม่ยอมหยุดฝึกง่ายๆ
วูม…อยู่ๆเฒ่าประทับสวรรค์ก็คุมพลังวิญญาณในร่างไม่อยู่ ไม่นานพลังที่ฝืนเดินโคจรตามแบบของพยัคฆ์อัสนีก็เริ่มส่งผลร้ายกับตัวเฒ่าประทับสวรรค์
บรึมมม!! พลังของเฒ่าประทับสวรรค์กระจายออกอย่างคุ้มคลั่งทำเอาข้าวของภายในห้องใต้ดินโดนกระแทกแตกกระจายจนหมดสิ้น เพียงแต่ตัวเฒ่าประทับสวรรค์กลับไม่เหลือสมาธิจะสนใจของเหล่านั้นเสียแล้ว เพราะตอนนี้พลังเซียนในร่างของมันกำลังบ้าคลั่งจนฉุดไม่อยู่ ตัวมันที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนานเข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวมันกำลังธาตุไฟเข้าแทรก…
“อากกกก”เฒ่าประทับสวรรค์พยายามต่อสู้กับอาการธาตุไฟเข้าแทรกอย่างหนักหน่วง
.
.
อีกด้านหนึ่งทางด้านของไป๋จูเหวิน หลังจากแวะไปหามารดาของเหม่ยหลินแล้ว ตัวไป๋จูเหวินก็เดินทางต่อไปยังเขตนครลับฟ้า อันเป็นเขตนครที่หัวหน้าถังปกครองอยู่โดยหน้าที่ในครั้งนี้ไปของไป๋จูเหวินคือการส่งของขวัญของหวงหลงให้แก่หัวหน้าถังซึ่งแน่นอนว่านั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่จะให้ไป๋จูเหวินไปเปิดหูเปิดตาที่นครลับฟ้าเท่านั้น
“ทางนี้เหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางเดินตามเหม่ยหลินไปอย่างช้าๆ อยู่ๆนางก็บอกให้ตนเองลงจากร่างของหลินหลินแล้วเดินเท้าเสียอย่างนั้น
“พี่ไป๋ ท่านเคยเห็นทะเลหรือเปล่า”เหม่ยหลินถามพลางยิ้มกว้าง ไป๋จูเหวินอาศัยอยู่ในเขตอสูรผาไร้ก้นมาตลอด ไม่ทราบว่ามันจะเคยเห็นทะเลหรือไม่
“ทะเล?”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้ว แน่นอนว่ามันรู้ตักว่าทะเลคืออะไรเพราะท่านน้ามังกรเคยสอนมันมาแล้ว แต่มันเองก็ไม่เคยเห็นกับตา และอยากทราบเช่นกันว่ามันกว้างใหญ่ยิ่งกว่าทะเลสาบมากมายจริงหรือไม่
“ใช่ ข้างหน้าพวกเราคือทะเลยังไงล่ะ”เหม่ยหลินยิ้มพลางดันร่างของไป๋จูเหวินไปข้างหน้า ไม่นานภาพทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของไป๋จูเหวิน
“นี่มัน…”ไป๋จูเหวินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ทะเลนั้นกว้างใหญ่กว่าที่มันคาดคิดเอาไว้มากมายนัก แม้จะใช้ดวงตาสีน้ำเงินมันก็ยังมองไม่เห็นว่าทะเลนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน
“พี่ไป๋ สระน้ำกว้างมากเลย”หลินหลินว่าพลางวิ่งลงไปบนหาดทราย
“หลินหลิน เจ้าอย่าพึ่ง…..”หงเยว่พยายามห้ามแต่ไม่นานร่างของหลินหลินก็กระโดลงทะเลไปอย่างรวดเร็ว
“แหวะเค็ม”หลินหลินว่าพลางแลบลิ้นออกมาเพราะน้ำทะเลเข้าไปในปากของนางนั่นเอง
“โถ่”หงเยว่ถอนหายใจพลางเดินไปนำตัวหลินหลินขึ้นมาจากน้ำ
“ให้นางเล่นไปก่อนก็ได้ เรายังต้องรอเรือที่จะเดินทางไปนครลับฟ้าอีก”หยวนหยวนที่เดินตามพวกหงเยว่มาว่าพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ นครลับฟ้าเป็นนครที่อยู่บนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากทะเลไปหลายสิบกิโล แม้จะเป็นนครที่กว้างใหญ่ไม่แพ้นครอื่นๆ แต่จากชายฝั่งตรงนี้ก็เห็นมันได้จากระยะเส้นขอบฟ้าเท่านั้น
“พวกเจ้าเคยมากันงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางเหม่ยหลินกับหยวนหยวน
“พวกเราเคยเดินทางมาพบท่านหัวหน้าถัง แต่ก็มารับท่านที่ท่าเรือเท่านั้น”ชายชราซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของหมิงฮุ่ยตอบ
“นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เราจะได้ไปนครลับฟ้า”หยวนหยวนตอบด้วยท่าทีตื่นเต้น
“พี่ไป๋ ท่านรู้หรือเปล่าว่ากลุ่มผู้ฝึกอสูรน่ากลัวที่สุดตอนอยู่ในเมืองของตนเองนะ”เหม่ยหลินว่าพลางมองไปยังท่าเรือ
“งั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตัวมันก็ยังแปลกใจอยู่มากที่กลุ่มผู้ฝึกอสูรนั้นยิ่งใหญ่ทั้งที่พวกตนไม่มีวิชาต่อสู้ได้อย่างไร
“เหตุผลที่ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขาเพราะเมืองของพวกเขามีอสูรที่แข็งแกร่งมากตนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ อสูรตนนั้นแม้แต่ท่านปู่ยังไม่สามารถเอาชนะได้เลย”เหม่ยหลินตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม ตำนานนี้นางได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่นางได้ทราบถึงปู่ของนาง ทำให้นางสนใจมันมาก แต่น่าเสียดายที่นางไม่เคยได้เห็นกับตาตนเองเลยว่าอสูรที่แข็งแกร่งอย่างมากตนนั้นคืออสูรประเภทใด
“แบบนี้นี่เอง”ไป๋จูเหวินว่าพลางพยักหน้าช้าๆ ในงานชุมนุมแม้หัวหน้าถังจะอยู่ระดับเทียนเซียนขั้นที่ 10 แต่กำลังฝีมือค่อนข้างด้อยกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่คนเหล่านั้นกลับให้ความเคารพหัวหน้าถัง อาจจะเพราะเรื่องความแข็งแกร่งของนครก็เป็นได้
หลังจากรอเรือที่ท่าเรือริมชายหาดมาได้พักหนึ่ง เรือเก่าๆที่บอกว่าจะพาพวกตนไปยังนครลับฟ้าก็มาถึง มันเป็นเรือขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ชั้นดีเพียงแต่เพราะผ่านลมผ่านน้ำทะเลมามากทำให้สภาพเก่าโทรมอย่างที่เห็น แต่ที่โทรมที่สุดคงหนีไม่พ้นคนขับเรือเพราะมันไม่ใช่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทำให้อายุกว่า 80 ปีของมันทำให้มันกลายเป็นชายชราท่าทางเหมือนหนังติดกระดูกไม่มีผิด แต่นอกจากชายชราคนนี้แล้วก็ไม่มีเรือลำไหนยอมไปส่งที่นครลับฟ้าเลย
“พวกเจ้าจะไปนครลับฟ้ากันงั้นเหรอ”ชายชราถามขณะปล่อยให้ลูกน้องของตนเริ่มออกเรือ
“ขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มรับ
“พวกเจ้าจะไปนครลับฟ้าทำไม”ชายชราถามพลางหรี่ตามองพวกไป๋จูเหวิน
“พวกข้านำของฝากมาให้หัวหน้าถังขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบตามตรง
“อะไรกัน พวกเจ้าเป็นคนรู้จักของหัวหน้าถังนี่เอง”ชายชราเมื่อทราบเรื่องก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที
“ขอรับ ข้าได้เจอกับหัวหน้าถังที่งานชุมนุมจวนตะวันคล้อยขอรับ ท่านเอ่ยปากชวนข้ามาเที่ยวชมเมืองของท่านด้วยตนเอง”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางบอกเรื่องราวให้ชายชราได้ยิน
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะนำเจ้าไปยังนครลับฟ้าเอง เพียงแต่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าเล็กน้อย”ชายชราว่าพลางเดินขึ้นไปที่หัวเรือช้าๆ
“ที่นครลับฟ้ามีปกครักษณ์เป็นอสูรตนหนึ่ง มันไม่ทำอันตรายอะไรผู้เยี่ยมเยือนเพราะฉะนั้นพวกเจ้าห้ามลงมือทำอะไรมันก่อนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้า”ชายชราเตือนจบก็หันไปสั่งลูกน้องให้เดินเรือไปตามทางที่ตนสั่ง ขณะกำลังสงสัยอยู่นั้นว่าอสูรที่ปกป้องนครลับฟ้าอยู่นั้นเป็นอสูรเช่นไร ดวงตาของไป๋จูเหวินก็มองเห็นเสาสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งขึ้นไปจนถึงชั้นเมฆ ภาพตรงหน้าทำเอาไป๋จูเหิวนประหลาดใจเป็นอย่างมากเพราะก่อนหน้านี้มันยังไม่มีเสาต้นนี้อยู่เลย
“นั่นล่ะ”ชายชราพูดพลางยิ้มออกมา
“ท่านคือผู้พิทักษ์ของนครลับฟ้ายังไงล่ะ”ชายชราพูดพลางมองไปที่เสาต้นนั้นอย่างอารมดี ไม่ว่าใครพอมาเห็นอสูรตนนี้เข้าก็พากันตกใจเสียเกือบหัวใจวายกันทั้งนั้น แต่อย่างที่บอกอสูรตนนี้ไม่ทำร้ายใครหากคนผู้นั้นไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไร มันจะทำลายเพียงผู้โจมตีมันและกองเรือที่เข้ามาเตรียมโจมตีนครเท่านั้น
วูมมมมมม อยู่ๆเสาที่ยืดตรงจนถึงชั้นเมฆก็งองุ้มลงมาราวกับงู ก่อนที่หัวของอสูรตนนั้นจะเลื่อนลงมาจนถึงเบื้องล่าง พริบตานั้นดวงตาสีดำสนิทที่ใหญ่กว่าเรือทั้งลำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไป๋จูเหวิน พริบตานั้นไป๋จูเหวินสัมผัสได้ถึงพลังอสูรที่เอ่อล้นออกมาจากร่างของมันที่เข้ามาใกล้ พลังอสูรของมันเหนือกว่าท่านน้าของมันในยามนี้เสียอีก พลังของมันช่างเหมือนมารดาเหลือเกิน…..
คอมเม้นต์