นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 11 คาถาแรก
บทเรียนในวันที่สองยังคงเป็นวิชาปรัชญาเวทมนต์ ทว่าในวันนี้อาจารย์ผู้สอนคือไรลีย์ ผู้ซึ่งเป็น ‘ใครบางคนที่อยู่ในหอเวทมนต์แห่งนี้’ ที่โพโพวิชกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้มีรูปร่างผอม ร่างกายถูกประดับตกแต่งอย่างพิถีพิถันตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาสวมแว่นวิเศษสีทองบริสุทธิ์ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดลึกล้ำราวกับว่ามองเห็นทุกอย่างบนโลกแล้ว ขณะที่เขากำลังยืนบรรยายอยู่ ภายในห้องมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีนักเรียนคนใดกล้าเปล่งเสียงหรือทำเสียงเล็ดลอดใด ๆ ออกมาแม้แต่นิดเดียว
อาจารย์ไรลีย์ เป็นเกรทเมจระดับ 7 ที่กำลังจะกลายเป็นแกรนด์เมจในอีกไม่นาน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ภายในค่ำคืนเดียวหรืออาจจะชั่วนิรันดร — เมจระดับ 17 ที่มีช่องสำหรับคาถาระดับ 8 จะมีพลังการต่อสู้ที่เหนือกว่าเมจระดับ 16 — เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม้แต่เด็ก ๆ ก็รู้
ข้อได้เปรียบนี้ขยายไปถึงคาถาระดับล่างเช่นกัน คาถาระดับ 7 หรือต่ำกว่าจะมีประโยชน์และได้เปรียบในการต่อสู้มากขึ้นเมื่ออยู่ในมือของเมจระดับ 17 ขึ้นไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่ช่วยยืนยันว่าเพราะเหตุใดหลังจากที่ไรลีย์เข้าถึงระดับ 17 แล้ว เขาจึงมีท่าทางที่ดูสมบูรณ์แบบ และเขาเองก็ไม่เคยสนใจเสียงนกเสียงกาที่คอยพูดจาจิกกัดตลอดเวลาเลย เขาเพียงแต่ปล่อยให้คนเหล่านั้นพูดกันต่อไปโดยที่ไม่เก็บมาใส่ใจ
ขณะที่ไรลีย์กำลังยืนสอนอยู่ในห้อง บรรยากาศภายในห้องเรียนทำให้เขารู้สึกดีอย่างมาก เพราะอย่างน้อยในเวลานี้ดูเหมือนเขาจะเป็นบุคคลที่สำคัญและสูงที่สุด หากไม่นับชารอน สถานการณ์เช่นนี้ก็คงจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว
น้ำเสียงของไรลีย์นุ่มนวลแต่ไม่แผ่วเบา เสียงที่เปล่งออกมาดังก้องอยู่ในหูของนักเรียนทุกคน เขากล่าวให้เหล่านักเรียนฟังว่า “ทุกอย่างมีรากฐาน เช่นเดียวกับโลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังกำเนิดเพลนและกฎที่ประกอบเข้าด้วยกัน พวกเราและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนเพลน แม้ว่าพวกเราจะอ่อนแอแต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าใคร บนโลกย่อมไม่มีวิญญาณที่เหมือนกันสองดวงเช่นเดียวกับมนุษย์ที่จะต้องแตกต่างกันออกไป ดังนั้น จุดประสงค์ของการดำรงอยู่ของเราคืออะไร? จุดประสงค์ของการดำรงอยู่คือการที่เราเข้าใจโลกและค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งการเก็บเกี่ยวทรัพยากรให้มากขึ้นซึ่งมันเป็นไปอย่างอิสระ นอกจากนี้โลกของพวกเรายังเป็นโลกที่ถูกครอบงำด้วยความแข็งแกร่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งเป็นผู้กำหนดกฎนี้ขึ้น การพยายามทำลายกฎที่มีอยู่นี้นั้น อาจจะทำให้ตัวพวกเจ้าถูกทำลายก่อนที่พวกเจ้าจะได้ทำลายกฎอนุพันธ์เหล่านั้นเสียอีก”
เมื่อไรลีย์เงียบเสียงอธิบายลง เหล่านักเรียนในห้องต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ไรลีย์กล่าว และเหล่าเมจอายุมากที่เข้าร่วมวิชาเรียนนี้ต่างก็รู้ดีถึงจุดนี้ บทเรียนของวันนี้มีการโต้ตอบมากขึ้นกว่าวันก่อนหน้า คำสอนของไรลีย์เสมือนเป็นการส่งแรงผลักดันทางจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของทุกคน
ไรลีย์ยิ้มตอบรับเป็นเชิงพอใจพร้อมกับอธิบายต่อโดยไม่รีบร้อนว่า “แกรนด์เมจจะสามารถรับรู้ได้ถึงกฎอนุพันธ์บนเพลน และเหล่าเลเจนดารี่เองก็อาจจะสามารถเข้าใจกฎพื้นฐานได้ ภายในห้องนี้จะมีพวกเราสักกี่คนที่สามารถไปถึงระดับดังกล่าวได้จริง ๆ เพราะขนาดนักอัจฉริยะก็ยังไม่สามารถทำได้ ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าให้ได้รู้ว่าโลกสร้างมาจากอะไร และกฎของเพลนคืออะไร สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนสำคัญใด ๆ มากมาย แต่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกของเวทมนตร์ หากพวกเรามีพลังที่แข็งแกร่งมากพอ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าพลังเหล่านั้นจะได้มาจากไหน ? มันก็ได้มาจากความเข้าใจในตัวเองและจากการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมรอบตัว พวกเจ้าทุกคนมีความซับซ้อนและอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำความเข้าใจในตัวเอง พวกเจ้าจะต้องเริ่มจากการเพิ่มพลังให้กับตัวเองเพื่อเป็นรากฐานเสียก่อน โดยเริ่มจาก — จุดล่างสุดแล้วจึงค่อย ๆ ขยับขึ้นไปสู่จุดสูงสุด — เพราะนี่เป็นสิ่งที่จะควบคุมชะตาชีวิตของพวกเจ้าได้ !”
ไรลีย์โบกมือหนหนึ่ง เมื่อเขาทำเช่นนั้นก็ปรากฎภาพร่างกายมนุษย์ขึ้นมาตรงหน้า เขาชี้ไปที่แต่ละส่วนตามร่างกายมนุษย์และเริ่มต้นอธิบายเนื้อหาหลักของบทเรียน “พลังไม่ใช่สิ่งที่ซับซ้อน แต่การมีช่องคาถาที่เพิ่มขึ้นมันก็ไม่ง่าย แม้ว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการมีช่องคาถาระดับ 8 สามช่องย่อมดีกว่า 2 ช่องอย่างแน่นอน ทว่าเรามีปัจจัยอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาเช่นกัน โดยรวมแล้วพลังของบุคคลสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ นั่นก็คือ คุณลักษณะ , อุปกรณ์ , อบิลิตี้ , และสายเลือดของพวกเขา
นอกจากนี้ยังมีความเฉลียวฉลาด แต่ความเฉลียวฉลาดนั้นก็ย่อมแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องศึกษาและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เจาะลึกในส่วนนี้ เอาล่ะ มาเริ่มจากคุณลักษณะกันก่อน พลังทางจิตคืออะไร ?”
ริชาร์ดได้ความรู้จากบทเรียนนี้อย่างมาก เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้ว่าพลังจิตมาจากวิญญาณและเวทมนต์มาจากมานา ไฟเตอร์จะใช้พลังโดยการฝึกร่างกายของพวกเขาในขณะที่เคลริคจะยืมพลังจากเทพเจ้าที่พวกเขารับใช้ สิ่งมีชีวิตในตำนานทั้งหมดไม่คำนึงถึงเส้นทางดั้งเดิมของพวกเขา แต่พวกเขาจะเริ่มยืมพลังของกฎ หากพวกเขารับกฎที่แข็งแกร่งมามากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนท้ายของบทเรียน ไรลีย์ไม่ลืมที่จะกล่าวสรุปบทเรียนทั้งหมดอีกครั้งว่า “อย่าโลภในเป้าหมายที่ไม่ใช่ความจริง จงยึดเท้าของพวกเจ้าให้สัมผัสกับพื้นดิน สิ่งที่ควรทำคือการทำทีละขั้นด้วยพลังของพวกเจ้าใช้อายุขัยที่เพิ่มขึ้นเพื่อการเติบโตที่มากขึ้น พวกเจ้าจงรู้จักตัวเอง เข้าใจสิ่งแวดล้อม เรียนรู้วิธีกระจายทรัพยากรและใช้ประโยชน์จากพลังของพวกเจ้าอย่างดีที่สุดเท่าที่พวกเจ้าจะทำได้ ยิ่งพวกเจ้าได้รับพลังมากเท่าไหร่ การกระทำของพวกเจ้าก็จะยิ่งมีอิทธิพลมากเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างเมจระดับ 17 และระดับ 16 นั้นไม่ได้ต่างกันเพียงเล็กน้อยอย่างที่พวกเจ้าคิด”
ยังไม่ทันที่ริชาร์ดจะท่องจำเนื้อหาที่เรียนมาอย่างละเอียด บทเรียนของวันที่สามก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยในวันนี้อาจารย์ฟิลิปป์จะเป็นผู้สอน อาจารย์ฟิลิปป์นำกระดาษขึ้นมาและวาดรูปวงกลมลงไป หลังจากนั้นเขาขีดเส้นแบ่งครึ่งตรงกลางพร้อมกับลงสีแดงที่ด้านซ้ายและลงสีฟ้าที่ด้านขวา
เขากล่าวว่า “มีความลึกลับมากมายในโลกนี้ เราจะสามารถรับรู้ความลับเหล่านั้นได้ทั้งหมดหรือไม่? บางคนอาจคิดว่าสามารถทำเช่นนั้นได้ ในขณะที่บางคนอาจคิดว่าไม่สามารถทำได้ กลุ่มก่อนหน้านี้ที่มีเหล่าเคลริคและเมจจำนวนมากต่างคิดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้” ว่าจบ ฟิลลิปป์ก็ตัดกระดาษออกเป็นสองส่วนให้มีขนาดเท่ากัน ในหัวข้อที่เขาจะพูดถึงในวันนี้ สิ่งที่ต้องการแสดงให้นักเรียนเห็นไม่ใช่ความถูกต้อง แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นกลาง
หลังจากที่เขาอธิบายมุมมองที่แตกต่างกันบนโลกที่อาจจะสร้างความแตกสลายได้แล้ว เขายังพูดคุยเกี่ยวกับมุมมองทางเลือกอื่น ๆ อีกมากมาย ฟิลิปป์ผู้ซึ่งเป็นเมจระดับ 18 ได้แสดงให้นักเรียนเห็นว่าทางเทคนิคแล้วระดับ 17 และ 18 ไม่ได้ต่างกันมาก หรือพูดง่าย ๆ ว่าต่างกันแค่ช่องคาถาระดับ 9 เพียงคาถาเดียวเท่านั้น
ริชาร์ดกับคนที่เหลือต่างไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะพวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยเพิ่มมานาของพวกเขาได้เลย แต่ก็ไม่มีใครแทรกหรือขัดขึ้นมาแม้แต่คนเดียว เรียกได้ว่าไม่มีใครตั้งคำถามกับฟิลิปป์แม้ว่าเนื้อหาจะไม่สมจริงไปสักหน่อยก็ตาม ทุกคนในห้องเรียนต่างก็ยังคงฟังอย่างตั้งใจ เพราะไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะโชคดีได้มีโอกาสเข้ามานั่งเรียนในห้องเรียน โดยมีอาจารย์ผู้สอนเป็นถึงแกรนด์เมจได้ พวกเขาจึงเลือกที่จะสงบเสงี่ยมและนั่งฟังบทเรียนอย่างตั้งใจเช่นนี้
บทเรียนของวันที่ 4 ถูกสอนโดยทีโอดอร์ เขาเริ่มต้นบทเรียนด้วยการวาดรูปวงกลมเช่นเดียวกับอาจารย์ฟิลิปป์ เมื่อวาดรูปวงกลมแล้วเขาก็ขีดเส้นตรงกลาง แต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับของอาจารย์ฟิลิปป์ เขาลงสีแดงและปล่อยให้สีแดงแห่งความลึกลับครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของวงกลม และลงสีน้ำเงิน แต่เขาปล่อยให้สีน้ำเงินเป็นเพียงแถบเล็กๆ เท่านั้น
เขาเอ่ยขึ้นว่า “โลกนี้ลึกซึ้งมากจนเราไม่สามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทั้งหมด…”
หลังจากที่ได้ฟังริชาร์ดก็รู้ได้ทันทีว่าทีโอดอร์ไม่ใช่เมจ แต่เขาเป็นนักเคลริค*ที่อยู่ระดับ 16-17 ดีพบลูเป็นโลกของเวทมนต์ การที่ได้พบนักบวชที่นี่จึงถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นทีโอดอร์ไม่ใช่ผู้ที่ศรัทธาในสิ่งเดียว เขาศรัทธาพระเจ้า 3 พระองค์ที่มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งถึงแม้จะมีความแตกต่างกันแต่ความเชื่อเหล่านั้นต่างก็เข้ากันได้ด้วยดี ด้วยสิ่งเหล่านี้เองทำให้เขาสามารถร่ายคาถาอันศักดิ์สิทธิ์จาก 3 ระบบได้และทำให้เขามีอำนาจเหนือกว่านักบวชในระดับเดียวกัน แต่สำหรับริชาร์ดที่คิดไตร่ตรองถึงประเด็นนี้ผนวกกับความรู้จากหนังสือที่เขาเคยได้อ่านผ่านตามา ทำให้เขาตระหนักได้ว่าการที่มีความเชื่อมากกว่าหนึ่งถือเป็นการโกง
*เคลริค = นักบวช
ทีโอดอร์สามารถโกงเทพเจ้าได้ถึง 3 องค์? ความจริงข้อนี้บอกกับริชาร์ดว่าทีโอดอร์ผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
ผู้สอนบทเรียนในวันที่ 5 คือเทสลิฟา การเริ่มบทเรียนยังคงเป็นเช่นเคย คือการเริ่มโดยวาดรูปวงกลมลงบนแผ่นกระดาษ และมีการขีดเส้นอีกเช่นเดียวกัน ทว่าในครั้งนี้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสีฟ้า เมื่อริชาร์ดเห็นเช่นนี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเทสลิฟาเป็นเมจผู้ที่ไม่มีความเชื่อในลัทธิของพระเจ้า แต่การตัดสินใจที่รวดเร็วแม่นยำเช่นนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
บทเรียนวันในที่ 6 สอนโดยอาจารย์ฟิวเชีย สิ่งที่เขาสอนมีเพียงการชี้ไปที่กลุ่มของตัวเลขที่ผิดปกติพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อพวกเจ้าเห็นความงามในตัวเลขเหล่านี้ นั่นหมายถึงพวกเจ้าเดินทางมาถึงครึ่งทางของคณิตศาสตร์ได้สำเร็จแล้ว”
บทเรียนในวันที่ 7 สอนโดยอาจารย์โคมู การเรียนการสอนของโคมูเริ่มต้นขึ้นโดยการให้นักเรียนดูตัวเลขในชุดภาพสามมิติที่ซับซ้อนและสวยงามแล้วให้แยกแยะออกมา วัตถุประสงค์ของบทเรียนนี้คือต้องการให้นำความงามที่เป็นนามธรรมมาสร้างเป็นตัวเลข ซึ่งนั่นทำให้ริชาร์ดตกอยู่ในวัฏจักรแห่งตัวเลขนี้ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเห็นความสวยงามของตัวเลขที่อยู่ภายในภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และเวลา 1 เดือนก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ริชาร์ดได้เรียนรู้เพียงทฤษฎีและความรู้ที่เขาเห็นว่าไม่ได้มีความสำคัญอะไร เขาคิดว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เรียนมาเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับเวทมนต์หรือคาถาใด ๆ ทั้งสิ้น
ริชาร์ดสรุปว่า ความรู้ที่เขาได้รับรู้จากอาจารย์ต่างมีความย้อนแย้งกันมาก การเรียนการสอนถูกนำเสนอข้อมูลจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยใช้คำหลักนั่นก็คือ — ชารอน พิเศษ เจ้านาย และเผด็จการ — ซึ่งส่งผลกระทบต่อริชาร์ดอย่างมาก และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนอาจารย์ทุกคนจะชอบพูดจนติดปากนั่นก็คือคำว่า “โลกนี้มันง่ายมาก” ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นคำขวัญของโรงเรียนแห่งความคิดภายในดีพบลูไปเสียแล้ว
โลกอาจจะเรียบง่าย แต่ตอนนี้โลกทำให้ริชาร์ดเริ่มสับสนมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามการเรียนในครั้งนี้เขาก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน เพราะนี่ถือเป็นก้าวแรกของการก้าวเท้าเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์ของเขาเนื่องจากบัดนี้เขาได้เรียนรู้วิธีร่าย — ไฟร์บอล — แล้ว
คอมเม้นต์