นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 48 เพื่อน

อ่านนิยายจีนเรื่อง นครแห่งบาป City of Sin ตอนที่ 48 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ค่ำคืนในเทศกาลกลางฤดูร้อนที่ผ่านมาเป็นค่ำคืนที่ติดอยู่ในใจของริชาร์ด เขาคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ตลอดทางที่เขาเดินกลับมายังที่พักของตนเอง แม้เขาจะรู้สึกราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน แต่ถึงอย่างไรมันก็ย่อมต้องเป็นเรื่องจริงเพราะมีหนังมังกรไฟอยู่บนคอของเขาในตอนนี้ !

สิ่งของชิ้นนี้ถูกประมูลโดยเม้าเทนซีซึ่งมีมูลค่าเกือบ 10,000,000 เหรียญ และมันเป็นของขวัญต้อนรับการเป็น ‘เพื่อน’ ที่นางมอบให้กับเขา เขาวางมันลงบนโต๊ะทำงานก่อนกางมันออกมาดูอย่างระมัดระวัง

 

หลังจากที่เปิดออกมาแล้ว เขาก็พบกับหนังสีแดงหม่นที่มีลวดลายสีสันสดใส ขนาดของมันนั้นก็เกือบ 2 ตารางเมตร ซึ่งกินพื้นที่เกือบทั้งโต๊ะของเขา ตะเกียงเวทมนตร์ส่องแสงสว่างราวกับแสงอาทิตย์แต่เงาสีแดงเจือจางก็ยังสามารถมองเห็นได้ ในเวลานี้ดูเหมือนว่ามันกำลังล่องลอยราวกับเมฆหมอกกลางอากาศ และในขณะที่เขากำลังจ้องมองหนังชิ้นนี้ เขาก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่ปะทุออกมาจากปลายนิ้ว

 

ข้อมูลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาเมื่อมือของเขาสัมผัสเข้ากับมัน ซึ่งนั่นทำให้เขาคุ้นเคยกับคุณสมบัติของมันได้ นี่เป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัสมาในชีวิต ! หากเขาใช้สิ่งนี้มาสร้างรูน แผนการที่เขาเคยวางไว้มากมายก็มีโอกาสเป็นจริงได้ไม่ยาก ด้วยความช่วยเหลือจากแผ่นหนังนี้ เขาคงมั่นใจได้ถึง 30% ว่าเขาจะสามารถสร้างรูนที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้กระต่ายหิมะเอาชนะหมาป่าฤดูหนาวได้ อย่างไรก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่าเจ้าหนังมังกรแผ่นนี้ยังมีปริศนาซ่อนอยู่มากมาย

 

ในความเป็นจริงแล้วเขาเต็มใจที่จะเป็นเพื่อนกับเม้าเทนซีอย่างมาก แต่สำหรับเรื่องที่จะให้เขาไปเป็นผู้ชายของนางนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างยากสักหน่อย และในตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มั่นใจในเจตนาที่แท้จริงของนางด้วย

 

หัวใจของเขาบอกกับเขาว่าหญิงสาวแห่งชนเผ่าบาร์บาเรียนมีความเรียบง่ายและจริงใจ แต่ในทางกลับกันพรวิสดอมของเขากลับบอกเขาว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับเขาก่อนหน้านี้ บางทีนางอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องเหล่านั้นก็ได้

 

เขามีหลักการและความคิดเป็นของตัวเอง แม้ว่าเขาจะต้องการเป็นเพื่อนกับเม้าเทนซีแต่เขาก็ไม่ได้ต้องการใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งของนางแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะมารดาได้หล่อหลอมจรรยาบรรณของเขาตั้งแต่ครั้งที่เขายังเป็นเด็ก และเงาของกาตอน อาเครอนก็ยังปรากฏอยู่เหนือเขาจนถึงตอนนื้เช่นเดียวกัน

 

ก่อนที่กาตอนจะส่งเขามายังดีพบลู กาตอนเคยกล่าวไว้ว่า ‘อาเครอนทุกคนมีความเย่อหยิ่งในตัวเอง พวกเราจะไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร แต่พวกเราเลือกที่จะใช้สองมือสร้างมันขึ้นมา และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียของมันคือยากที่จะสามารถรวมตัวเป็นหนึ่งได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีข้อดีอยู่ นั่นคือความสำเร็จของอาเครอนในทุก ๆ ครั้งจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนอื่น ๆ’ ซึ่งคำพูดนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจของเขาจนถึงตอนนี้

 

เห็นได้ชัดว่าเหล่าเอลฟ์ซิลเวอร์มูนมีความภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ทว่าก็มาพร้อมกับความเย่อหยิ่งเช่นกัน ความสมบูรณ์ที่มาจากสายเลือดของพวกเขาที่ติดตามกันมาล้วนทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งอื่นได้ยาก

 

ความภาคภูมิใจที่แตกต่างกัน 2 แบบที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในตัวของริชาร์ด ทำให้เขาไม่รู้ตัวเองเลยว่าเขามีความคิดแบบเอลฟ์ซิลเวอร์มูนหรืออาเครอนกันแน่ในตอนนี้

 

ริชาร์ดม้วนหนังมังกรไฟก่อนที่จะผนึกวัสดุเวทมนตร์แล้วเก็บมันไว้ หากเขาไม่ผนึกและเก็บมันไว้ด้วยการใช้เวทมนตร์ พลังเวทมนตร์ที่อยู่ในนั้นก็จะค่อย ๆ จางหายไป  ในเวลานี้ เขาค้นพบว่ามีพลังเล็กน้อยที่กำลังไหลอยู่รอบ ๆ หนังมังกรแผ่นนี้ เขานึกถึงหญิงสาวเผ่าบาร์บาเรียนขึ้นมาในทันที นางไม่ได้เพิ่มพลังให้กับหนังแผ่นนี้ แต่นางกลับใช้มันเพื่อเป็นผ้าคลุมไหล่ ทว่าถึงอย่างไรการกระทำเช่นนั้นของนางทำให้นางมั่นใจได้เลยว่าเวทมนตร์ที่อยู่ภายในแผ่นหนังจะไม่จางหายไป ใครจะไปรู้ว่าใครบางคนที่คล้ายจะถูกกล่าวหาอยู่ในตอนนี้ อาจจะกลายเป็นคนที่ใส่ใจที่สุดก็เป็นได้

 

ริชาร์ดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะวางมันอย่างระมัดระวังไว้ที่ชั้นบนสุดของโกดังเก็บวัสดุเวทมนตร์

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ตารางการเรียนของเขายังคงอัดแน่นไปด้วยวิชาเรียนตลอดทั้งวัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับโกหก เพียงครู่เดียวก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงเสียแล้ว ริชาร์ดเปรียบมื้ออาหารเที่ยงและอาหารเย็นในแต่ละวันของเขาเป็นดั่งคู่ต่อสู้ แม้ว่ามื้ออาหารของเขาจะไม่ได้ถูกปรับโดยเลเจนดารี่เมจอย่างเคย ทว่ามันยังคงถูกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาโดยนักเล่นแร่แปรธาตุที่ดีที่สุดของดีพบลู ความคล้ายคลึงกันของทั้งสองที่จัดเตรียมอาหารให้เขาคือ วัตถุดิบที่มีราคาแพงและสัดส่วนที่เท่าเทียมกันอย่างน่าประหลาดใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ถึงกับต้องใช้ทาสผิวเข้มผู้มีร่างกายกำยำถึง 2 คนมาเป็นคนเสิร์ฟอาหารให้กับเขาในแต่ละมื้อ

 

หลังจากที่เขากลับมายังที่พักของตัวเองแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเม้าเทนซีมายืนรอเขาอยู่ตรงหน้าประตู ด้านหลังของนางคือสตีลร็อค ผู้อาวุโส และผู้คุ้มกันอีก 2 คน เขาเชิญทุกคนเข้ามา และหลังจากที่พาทุกคนเข้ามายังที่พักแล้ว มื้อเที่ยงตามปกติของเขาก็เริ่มเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว

 

เมื่ออาหารทุกอย่างถูกจัดวางเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นั่งลงและเปล่งเสียงออกมาด้วยความสนุกสนานว่า “เลี้ยงอาหารข้า ! เลี้ยงอาหารข้า !”

 

“แน่นอน !” ริชาร์ดตอบกลับไปเพื่อสร้างความเป็นมิตร นอกจากนางแล้ว เขายังเรียกสตีลร็อคและผู้อาวุโสให้มาร่วมโต๊ะกับเขาด้วย ทว่าก็ถูกปฏิเสธกลับมาโดยเหล่าวอริเออร์ ซึ่งสตีลร็อคนั้นก็ปฏิบัติต่อวอริเออร์ทุกคนด้วยท่าทีที่รังเกียจ แต่กับริชาร์ดแล้ว สตีลร็อคดูเหมือนจะมีทัศนคติที่ดีต่อเขาอยู่ไม่น้อย

 

หลังจากที่ถูกเชิญชวนให้ร่วมโต๊ะอาหาร เม้าเทนซีก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลง นางขยับตัวก่อนที่จะใช้มือหยิบอาหารโดยไม่สนใจอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงมังกรหรือเปลือกเต่าต่างก็ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนเข้าไปในปากอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่ซุปที่กำลังเดือดนางก็สามารถเทลงคอของนางได้โดยเหมือนไม่รู้สึกร้อนหรืออะไร ทุกอย่างบนโต๊ะถูกนางจัดการไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ริชาร์ดที่กำลังมองนางอยู่ก็อดคิดไม่ได้ว่าฟันของนางดูเหมือนจะสามารถบดทุกสิ่งอย่างในโลกใบนี้ได้ และกระดูกมังกรหรือกระดองเต่านั้น ก็เป็นเสมือนขนมขบเคี้ยวสำหรับนางไปโดยปริยาย

 

ผู้อาวุโสเดินสำรวจห้องพักที่เลเจนดารี่เมจจัดเตรียมไว้ให้กับริชาร์ด ซึ่งเขาเองก็เต็มใจที่จะให้พวกเขาเดินชมรอบ ๆ นั้นได้ตามที่พวกเขาต้องการ ข้อมูลภายในนี้เป็นเพียงแค่เวทมนตร์พื้นฐาน ไม่ได้ถือว่ามีความลับใด ๆ ของทวีปนัวแลนด์อยู่เลยแม้แต่น้อย เขาหันกลับมาทานอาหารของเขาต่อหลังจากที่ดูแลผู้อาวุโสและสตีลร็อคเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อกลับมาถึงโต๊ะอาหาร เพราะในตอนนี้ทุกอย่างถูกเม้าเทนซีจัดการจนเกลี้ยง !

 

นี่มันใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีที่เขาหันไปพูดคุยกับแขกคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในนี้เลยด้วยซ้ำ…

 

เม้าเทนซีมองไปที่จานว่างเปล่าเหล่านั้นก่อนที่จะรู้ผิดขึ้นมาเล็กน้อย “เอ่อ ถึงที่นี่จะไม่ได้เป็นสถานที่ที่ดีสักเท่าไหร่ แต่อาหารก็ไม่เลวเลย !”

 

หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะลากแขนเขาให้ลุกขึ้นตามนางด้วย “ริชาร์ด เจ้าสนใจจะไปดูค่ายของข้าไหม ? คนของข้าไปตกปลาที่ทะเลเมื่อคืนนี้ หากเจ้าไปตอนนี้ เจ้าจะได้กินปลาฉลามและปลาวาฬด้วยนะ !”

 

“อ้าว ! เจ้าไม่ได้อยู่ในดีพบลูหรอกเหรอ ?” ริชาร์ดถามด้วยความสงสัย

 

“แน่นอนว่าไม่ ! ที่นี่ดีตรงไหน ? ข้าเห็นเพียงแต่ภูเขาและทะเลที่ต้องมองผ่านกระจกเล็ก ๆ เหล่านี้ ข้าชอบที่จะเห็นท้องฟ้าในยามที่ข้าลืมตาตื่นมากกว่า อ่าวโฟลเป็นสถานที่ที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ซึ่งก็เกือบจะกว้างใหญ่พอ ๆ กับบ้านเมืองของข้านั่นแหละ เจ้าเอาตัวเองมาติดอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ เช่นนี้ได้ยังไงกันนะ ?”

 

ริชาร์ดรู้สึกขบขันกับสิ่งที่นางพูด เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจและไม่มีอะไรแอบแฝงในขณะที่นางกำลังพูดออกมา เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิ หรือแม้แต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงก็มักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องหนาวตายอยู่ภายในนี้ เขาอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ให้นางฟังเป็นอย่างมาก แต่จากที่เขาดูท่าทางของนางแล้ว นางคงจะไม่เข้าใจว่าความหนาวคืออะไร

 

ริชาร์ดเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวปฏิเสธคำชวนของนาง “ไม่ล่ะ บ่ายนี้ข้าต้องไปพบกับมาสเตอร์”

 

เม้าเทนซีส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะนึกขึ้นได้ “เอ๊ะ ! เกือบลืมไปเลย ข้าก็ต้องไปเข้าพบนางเช่นเดียวกัน ถ้าเจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้ว ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากจะไปเท่าไหร่หรอก แต่เห็นว่าเจ้าจะไป งั้นข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย !”

 

แม้ว่าในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงเวลานัด แต่เขาก็ไม่ได้อยากที่จะไปหาอาหารกินจากที่อื่นจึงใช้ระบบการสื่อสารภายในและขอให้คนที่ส่งอาหารนำเครื่องดื่มเบา ๆ มาเสิร์ฟให้เขาด้วยหากพวกเขาจะเข้ามาทำความสะอาด เขาเลื่อนตัวไปนั่งตรงหน้าต่างขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบฝรั่งเศสก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกับเม้าเทนซี

 

หญิงสาวพูดถึงความยิ่งใหญ่ของชนเผ่าบาร์บาเรียนของนาง จากการบรรยายของนางทำให้เขารู้ว่าพวกของนางอาศัยอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ทางตะวันออกของนัวแลนด์ที่เรียกว่า ‘ทวีปที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว’ อาจเป็นเพราะในแง่ของพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้พวกเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นทวีป ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นั่นเรียกว่าทวีปแคลนเดอร์ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งวีรบุรุษหน้าใหม่

 

สำหรับเขานั้นได้เล่าถึงชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่เขามีในรูสแลนด์ก่อนหน้านี้ให้นางฟัง แม้ว่านั่นจะเป็นเป็นชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่จุดต่ำสุดของทวีปก็ตาม แต่เม้าเทนซีก็ฟังเขาเล่าด้วยความสนใจ ขณะที่พวกเขากำลังนั่งคุยกัน สตีลร็อคและผู้อาวุโสก็เดินสำรวจที่พักของเขาจนทั่วแล้ว

 

สตีลร็อคจ้องมองหนังสือและวัสดุเวทมนตร์ที่หลากหลายภายในห้อง เขาทำแม้กระทั่งหยิบหนังสือ ‘เรขาคณิต’ เล่มหนา ๆ ที่ดูน่าเบื่อออกมาจากชั้นวางเพื่อพลิกดู ภายในนั้นเต็มไปด้วยลายมือของริชาร์ดที่จดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เขาต้องการจะแสดงความเห็นในส่วนต่าง ๆ ลงไป ซึ่งแม้บันทึกของเขาจะเป็นเพียงการจดสั้น ๆ แต่มันก็มีอยู่เกือบทุกหน้าภายในเล่ม สตีลร็อควางหนังสือกลับเข้าที่เดิมแล้วเปลี่ยนไปใช้นิ้วมือหยิบหนังสือทฤษฎีเวทมนตร์ออกมาแทน เขาค้นพบว่าในหนังสือเล่มนี้ก็ยังคงมีการจดบันทึกเหมือนกับเล่มก่อนหน้าเช่นกัน เขามองดูก่อนที่จะพยักหน้ากับตัวเองแล้วจึงนำหนังสือวางกลับเข้าที่เดิมอีกครั้ง

 

หากเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้ว สตีลร็อคถือว่าเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าปกติอย่างมาก ทว่าการเดินของเขากลับว่องไวและไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เขาเดินละจากชั้นหนังสือก่อนจะตรงไปยังผู้อาวุโสที่อยู่ตรงโต๊ะทำงานของริชาร์ด

 

ผู้อาวุโสยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของริชาร์ดโดยเขากำลังมองดูแนวคิดการสร้างรูนที่ยังไม่สมบูรณ์ของริชาร์ดอย่างพินิจพิจารณา มีกระดาษแผ่นใหญ่ถูกแผ่ไว้อยู่บนโต๊ะ ซึ่งในตารางนั้นเต็มไปด้วยสูตรและตัวเลขมากมาย รวมถึงภาพวาด 2 ส่วนคร่าว ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสูตรเวทมนตร์ ทว่าโครงสร้างสุดท้ายยังไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังมีการคำนวณและการตรวจสอบความถูกต้องของสูตรที่จะทำอยู่ด้วย แนวคิดที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่รูนมาสเตอร์มักจะไม่สนใจกลับไปดูอีก ทว่าผู้อาวุโสยังคงยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของริชาร์ดราวกับว่าเขาสนใจตัวเลขที่น่าเบื่อเหล่านี้อย่างมาก

 

สตีลร็อคเดินตรงไปยืนด้านข้างของผู้อาวุโสก่อนจ้องมองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ และด้วยตัวเลขมากมายที่เขามองดูทำให้เขาขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่เหรอ รูน ? แตกต่างจากโทเท็มศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราอย่างมาก เด็กคนนี้ขยัน แข็งขัน มีระเบียบวินัย แต่เขาจนไปหน่อย รูนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่เสร็จ ดูสิ มีข้อบกพร่องร้ายแรงในสูตรนี้ด้วย”

 

ผู้อาวุโสพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “นกอินทรีย์จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามได้หรือไม่นั้นดูได้จากวินาทีที่มันกระพือปีกจากรังของมัน”

 

สตีลร็อคถูฝ่ามือขนาดใหญ่เข้าด้วยกันและเอ่ยถามผู้อาวุโส “ท่าว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นนกอินทรีย์ในอนาคตอย่างนั้นเหรอ ?”

ทว่าผู้อาวุโสไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับพูดเพียงสั้น ๆ “ถึงเวลาที่จะต้องเข้าพบท่านชารอนแล้ว”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด