นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 2 ตอนที่ 141 การเตรียมตัว

อ่านนิยายจีนเรื่อง นครแห่งบาป City of Sin ตอนที่ 141 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

3 วันหลังจากนั้น สถานการณ์ภายในฐานก็เต็มไปด้วยความรีบเร่งและตึงเครียด ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานมากมายที่พวกเขาต้องจัดการ โอล่า แกงดอร์ และวอเตอร์ฟลาวเวอร์ผลัดเวรกันเฝ้าระวังและป้องกันการโจมตีกะทันหันที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากกองทหารของบารอนบุกมาถึง ในขณะที่ทีรามิสุใช้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืนคัดลอกคาถาความสามารถทางภาษาลงบนม้วนกระดาษเวทมนตร์หรือร่ายมันออกมาโดยตรงเป็นบางครั้ง  โดยทั่วไปแล้วโอเกอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ใจร้อน พวกมันมีนิสัยหุนหันพลันแล่นเป็นลักษณะประจำตัว ดังนั้นถึงแม้โอเกอร์ตนนี้จะมีงานถนัดอีกด้านหนึ่งคือการเป็นเชฟ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลดความใจร้อนของมันลงได้เลย

แท้จริงแล้วทีรามิสุไม่ได้ชื่นชอบงานที่ทำอยู่เลยสักนิด มันรู้สึกว่างานที่น่าเบื่อนี้กำลังทรมานมันจนแทบจะเป็นบ้า ทว่ามันก็ฉลาดมากพอที่จะไม่ปล่อยให้ความชอบหรือไม่ชอบใจส่วนตัวส่งผลกระทบต่อเรื่องที่มีความสำคัญ  ม้วนกระดาษเวทมนตร์เหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนเรียนรู้ภาษากลางของเพลนนี้ในขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งก็รวมไปถึงไนท์อาเครอนทั้ง 7 คนด้วย และแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะฝึกฝนจนสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การพูดสื่อสารภาษาของเพลนได้นั้นจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการลงหลักปักฐานอยู่บนเพลนแห่งนี้ เส้นทางการเดินทางกลับนัวแลนด์ของพวกเขาได้พังทลายไปนานแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาล้มเหลว ผลที่จะเกิดขึ้นก็มีเพียงต้องตายอยู่ที่นี่เท่านั้น

 

ถึงแม้ทีรามิสุจะไม่ได้โปรดปรานในงานของมันมากนัก แต่ถ้าหากว่าอีกตัวเลือกหนึ่งที่เหลืออยู่คือ ‘ความตาย’ การได้ทำงานพวกนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วในความคิดของโอเกอร์เมจ ส่วนความน่าเบื่อของทุกอย่างนั้นโอเกอร์ผู้เฉลียวฉลาดรู้ดีว่ามันจะได้รับการชดเชยด้วยอาหารอันโอชะ  ทุกวันนี้ทั้งหมดที่มันทำมีเพียงแค่คัดลอกม้วนกระดาษ กิน และนอนเท่านั้น ความสามารถที่พิเศษที่สุดของโอเกอร์เมจและพรีสต์ก็คือพวกมันไม่จำเป็นต้องทำสมาธิ การนอนหลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูมานาของพวกมัน ในความเป็นจริงแล้วการพักผ่อนของพวกมันนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำสมาธิของเมจที่เป็นมนุษย์เสียอีก

 

ในเวลาเดียวกัน โอเกอร์อีกตนหนึ่งกลับวุ่นวายด้วยเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีเดียมแรร์ออกแรงทำงานทุกอย่างที่ต้องใช้แรงงานอย่างหนักหน่วงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันทำแม้กระทั่งใช้เวลาว่างของตัวเองในการซ่อมแซมเกราะและอาวุธเหล็กในเตาหลอม ซึ่งในเรื่องนี้โอเกอร์ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับมนุษย์อีกครั้ง  เพราะมีเดียมแรร์แสดงให้เห็นว่ามันมีความเชี่ยวชาญในงานฝีมือเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่ต่างจากคนแคระที่เป็นแบล็คสมิธเลยทีเดียว

 

และถึงแม้ว่างานของมันจะน่าเบื่อเช่นเดียวกับงานของพี่น้องมัน แต่มีเดียมแรร์กลับคิดว่านี่เป็นโอกาสในการฝึกฝนความแข็งแกร่งของตัวมันเอง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของโอเกอร์และเป็นสิ่งที่พวกมันภาคภูมิใจมากที่สุดด้วย ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการโจมตีและการป้องกัน พลังที่โดดเด่นของพวกมันจะเพิ่มขึ้นและพวกมันก็จะสามารถสวมเกราะที่มีน้ำหนักมาก ๆ และทรงพลังมากขึ้นได้  อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นเป็นวิธีการเพิ่มระดับของพวกมันได้โดยตรง

 

อีกทั้งโอเกอร์ยังมีการสำรองพลังงานที่ดีเยี่ยม แม้ว่าพวกมันไม่ได้พึ่งสิ่งเหล่านั้นมากเท่ากับไนท์ที่เป็นมนุษย์ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็มักจะช่วยคงความได้เปรียบในการต่อสู้ได้เสมอ  มีเดียมแรร์รู้สึกได้ว่าอีกไม่นานมันจะไปถึงระดับ 11 ซึ่งหมายความว่ามันจะสามารถยกน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้อีก 20 กิโลกรัมจากน้ำหนักเดิมของค้อนที่หนักกว่า 100 กิโลกรัมของมันได้ และหากทำสำเร็จมันจะสามารถเหวี่ยงไนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้กระเด็นออกไปได้ด้วยการสะบัดแขนเพียงครั้งเดียว แม้แต่ไนท์ที่มีระดับสูง ๆ ก็อาจจะตกที่นั่งลำบากด้วยเช่นกันหากต้องเจอกับมัน  ส่วนคนแบบเซอร์เมนต้าอาจสามารถปัดป้องการโจมตีได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับมีเดียมแรร์แบบซึ่ง ๆ หน้า เพราะนั่นก็เท่ากับการขุดหลุมฝังศพตัวเอง

 

ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ในส่วนของตนเอง วอเตอร์ฟลาวเวอร์กำลังจัดการกับเสื้อผ้าใหม่ นางวุ่นวายอยู่กับกางเกงสีขาวของนางอย่างหัวเสีย และเพราะนางไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกจำกัดเวลาสวมใส่มันนางจึงฉีกมุมออกจากกันและทำให้มันเหมือนกระโปรงมากขึ้น  และถึงแม้นางจะยังคงเดินเท้าเปล่าตลอดเวลาทว่าฝ่าเท้าสีขาวราวกับหิมะของนางก็ไม่เปรอะเปื้อนเลย อีกสิ่งที่นางต้องจัดการก็คือ ‘เชฟเฟิร์ดออฟอีเทอร์นอลเรสท์’ เมื่อใดก็ตามที่นางถือดาบเล่มยาวทื่อนั้นไว้ในมือ มันก็จะคอยข่มขวัญให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาและไม่สบายใจได้ทุกเมื่อ

 

ในทางกลับกัน โอล่ายังคงพยายามใกล้ชิดกับวอเตอร์ฟลาวเวอร์และทำทุกทางเพื่อเอาชนะใจนางต่อไป เอลฟ์บาร์ดผู้นี้จะมาพร้อมกับบทกวีใหม่ในทุกวันเพื่อนำเสนอให้สาวงามผู้ไร้ซึ่งรอยยิ้มยอมรับจนทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่ฝึกฝนอะไรอย่างอื่นเลย ไม่แน่ว่าการพูดพล่ามไม่หยุดของเขาอาจเป็นวิธีการที่ช่วยทำให้ระดับของเขาเพิ่มขึ้นก็ได้ เพราะถ้าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วคงจะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายว่าเขาสามารถก้าวมาถึงระดับ 9 ในปัจจุบันได้อย่างไร

 

หลังจากได้อยู่ท่ามกลางสาวงามทั้งสองหรือก็คือทั้งโฟลว์แซนด์และวอเตอร์ฟลาวเวอร์ในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้ว เอลฟ์บาร์ดหนุ่มก็ลงเอยด้วยการปลีกตัวห่างจากโฟลว์แซนด์และเลือกทำตัวใกล้ชิดกับวอเตอร์ฟลาว์เวอร์แทนโดยสัญชาตญาณ เขาหลงใหลในบุคลิกที่ดุร้ายของนางและการที่นางไม่เคยปฏิเสธหรือต่อต้านคำชื่นชมและการหยอกล้อของเขาเลยโดยนางทำเพียงแค่แสดงสีหน้าเฉยเมยเท่านั้น

 

และโดยเฉพาะสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ของนาง เขาไม่เคยอดใจยั้งความรู้สึกชื่นชมและคำเยินยอรวมทั้งกิริยาการจ้องมองตาละห้อยหรือปากอ้าค้างเอาไว้ได้เลย ตราบใดที่เสื้อผ้าของนางยังคงเบาบาง น้อยชิ้น และเปิดเผย ทุกอย่างก็ยังถือเป็นเรื่องดีสำหรับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งเหล่านั้นกลับไม่สามารถใช้กับดาบของนางได้ เพราะเมื่อโอล่าเห็นดาบของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างนึกหวาดหวั่นปนขยาด

 

ใครก็ตามที่ดวงตาไม่มืดบอดก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพลังของเชฟเฟิร์ดออฟอีเทอร์นอลเรสท์นั้นเกินกว่าจะหาที่เปรียบได้  แม้แต่แกงเดอร์ที่มีพลังมากกว่าวอเตอร์ฟลาวเวอร์ เขาก็ยังไม่นึกอยากจะยั่วยุนางในขณะที่นางมีดาบเล่มนี้อยู่ในมือ

 

อย่างไรก็ตาม เอลฟ์บาร์ดไม่ได้เห็นด้วยกับทุกการกระทำของนาง บางทีมันอาจจะดีกว่าหากจะบอกว่าบางอย่างนั้นเขาไม่สามารถเข้าใจได้ อย่างเช่นเรื่องที่นางมีอาวุธสุดหายากและลงอาคมอย่างดีอย่างเชฟเฟิร์ดออฟอีเทอร์นอลเรสท์ในครอบครองแต่กลับใช้เวลามากมายไปกับการใช้สิ่วและหินหยาบ ๆ ลับดาบเล่มนั้น…

 

เพราะไม่ว่าอย่างไรการทำเช่นนั้นก็ไม่มีทางลับดาบเล่มนั้นให้คมได้ ในทางกลับกันแล้ว ดูเหมือนกลับจะทำให้มันยิ่งหยาบและขรุขระมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ทว่านางบอกเสมอว่าสิ่งนี้เป็นการช่วยเพิ่มพลังของมัน แต่ไม่ว่าโอล่าจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน เขาก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเพิ่มพลังของดาบเล่มนั้นได้เลย ยิ่งเมื่อเขาเห็นสีหน้าของแกงดอร์ที่ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้ นั่นก็ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

 

‘ช่างป่าเถื่อนซะจริง’ บาร์ดผู้สง่างามและมีความรู้คิดกับตัวเอง ‘เขาแกล้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ!’

 

แต่ถ้าหากถามโอล่าถึงสิ่งที่อุจาดตาภายในฐานนี้แล้วล่ะก็ แกงดอร์จะถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการอย่างแน่นอน  ชายป่าเถื่อนผู้นั้นใช้เวลาส่วนมากในการป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ วอร์เตอร์ฟลาวเวอร์และนางก็ดูไม่ได้มีท่าทีคับข้องใจใด ๆ ที่แกงเดอร์อยู่ใกล้นางเช่นกัน  อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจก็คือสายตาที่แกงดอร์ใช้มองเขาซึ่งมักจะดูไม่ชอบมาพากลและแปลกประหลาด ในความเป็นจริงแกงเดอร์มักจะคอยจ้องมองเขาจากทางด้านหลังเสมอซึ่งนั่นมันน่าหงุดหงิดเอามาก ๆ !

 

การจ้องมองแบบนั้นส่งผลให้บาร์ดสายเลือดเอลฟ์ต้องนึกหวาดระแวงสิ่งมีชีวิตป่าเถื่อนผู้นี้ และมันยังย้ำเตือนเขาให้นึกถึงความทรงจำที่ไม่น่าพิศมัยบางอย่างด้วย

 

สำหรับแกงดอร์นั้น ทุกครั้งที่เขาเห็นวอเตอร์ฟลาวเวอร์ขยับนิ้วมือเพื่อใช้สิ่ว เขามักจะรู้สึกหนาวสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง เขาเริ่มจะรู้สึกอยากใช้เวลาในการขัดถูขวานของเขาให้ขึ้นเงาและลับให้คมกริบเพราะในตอนนี้ขวานของเขาแทบจะหยาบเหมือนสิ่วแล้ว  อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เขายังคงเฝ้ารอเวลาที่บาร์ดไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้และคว้าหมับไปที่ก้นของวอเตอร์ฟลาวเวอร์ เพราะนั่นน่าจะมีจุดจบที่น่าจดจำ

 

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วมากกว่าหนึ่งครั้งในค่ายแห่งความตายของตระกูลอาเครอน และในทุกครั้งที่เกิดขึ้น มันก็จะกลายเป็นหัวข้อของการสนทนาที่ไร้สาระไปอีกหลายวัน

 

ชีวิตในค่ายแห่งความตายนั้นมืดมนและน่าเบื่อมาก ดังนั้นทุกคนจึงมีความหวังว่าจะได้ออกจากสถานที่ที่ราวกับนรกนี้ให้ได้โดยเร็ว  การได้มองเห็นผู้ที่โง่เขลาทนทุกข์ทรมานอย่างหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นความพึงพอใจอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตในค่ายแห่งนั้น ดังนั้นเหตุการณ์ที่มีพวกโง่ไปกวนใจวอเตอร์ฟลาวเวอร์แล้วต้องเจอกับเรื่องทุกข์ทรมานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผู้ที่กล้าท้าทาย ลอบจ้องมอง หรือมีความคิด ‘อยาก’ ลองสัมผัสกับบั้นท้ายของนางนั้น ถ้าพวกเขายังสามารถเดินได้ก็นับว่าเก่งกาจอย่างมากแล้ว ส่วนผู้ที่ได้สัมผัสจริง ๆ น่ะหรือ ? พวกเขาล้วน ‘ตาย’ ไปหมดแล้ว !

 

……

 

ริชาร์ดใช้เวลาส่วนมากในการพัฒนารูนของโฟลว์แซนด์ให้สมบูรณ์ การทำงานที่ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใด ๆ ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมาส่งผลให้ในที่สุดเขาก็สามารถสร้าง[รูนมานาแอมพลิฟิเคชั่น]ที่สมบูรณ์ออกมาได้สำเร็จ และเหมือนกับที่โฟลว์แซนด์เคยบอกเอาไว้ว่าเมื่อเขามองเห็นเรือนร่างของนางมากขึ้นก็จะคุ้นเคยกับมันไปได้เอง

 

อัตราการเพิ่มมานาคือ 21% ซึ่งเป็นไปตามที่ริชาร์ดคาดหวังเอาไว้ ด้วยวัตถุดิบที่พวกเขามีในปัจจุบันทำให้การคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ก็ดูจะมากเกินไป  โฟลว์แซนด์คาดไว้ว่ารูนอันนี้จะสามารถทำให้นางร่ายคาถาเกรทเทอร์ฮีลได้เพิ่มขึ้น รวมถึงการฮีลระดับธรรมดาเพิ่มขึ้นอีก 3 ครั้งและเลสเซอร์ฮีลเพิ่มขึ้นอีก 7 ครั้ง ซึ่งนั่นเทียบเท่ากับชีวิตของไนท์ที่เป็นทหารราบหลายคน

 

การเพิ่มขึ้นของอบิลิตี้ของโฟลว์แซนด์นั้นก็หมายถึงการเพิ่มพลังให้กับกองกำลังของเขาโดยตรง และในตอนนี้ริชาร์ดค่อนข้างมั่นใจในการรับมือกับบารอนฟอร์ซ่าแล้ว ท้ายที่สุดแล้วฟอร์ซ่าก็เป็นเพียงขุนนางตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในเขตปกครองของดยุกเท่านั้น

 

ในช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมา อาหารที่อุดมสมบูรณ์ การพักผ่อน และเวทมนตร์รักษามากมายทำให้ทุกคนหายจากอาการบาดเจ็บและฟื้นคืนความแข็งแกร่งในการต่อสู้กลับมาได้อย่างมาก นอกจากนี้ด้วยฝีมือการช่างที่เหนือความคาดหมายของมีเดียมแรร์ ก็ช่วยทำให้วอริเออร์ทุกคนได้สวมใส่ชุดเกราะเงาวับชุดใหม่ซึ่งเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก

ในตอนนี้มันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างบ้างแล้ว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด