นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 2 ตอนที่ 127 ข่าวสาร ตอนที่ 2
สิ่งนี้เองที่อธิบายถึงพลังที่น่าเกรงขามของโคโจ เหล่าทหารที่ติดตามเขาไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง ทว่าเป็นทหารชั้นดีจากกองทัพของบารอน โดยทั่วไปแล้ววอริเออร์มักจะเลือกสายของตัวเองเมื่ออยู่ในระดับ 5 ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะเลือกว่าจะเป็นอาเชอร์หรือไฟเตอร์ ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะศัตรูในระดับ 4 ได้ไม่ยาก
สถานการณ์บนเพลนใหม่นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนัวแลนด์ ทั้งสองเพลนมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาและเฉลียวฉลาดอยู่จำนวนมาก แต่อย่างน้อยในไวท์ร็อคดัชชี่ก็มีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมดูแล ซึ่งสถานะของพวกเขาจะได้มาจากการเป็นผู้สืบทอดในสายตระกูลและก็จะขึ้นอยู่กับอำนาจทางการทหารที่มีอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าธรรมเนียมทางการทหารของที่นี่จะใกล้เคียงกับนัวแลนด์ แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ธรรมเนียมทางการทหารที่ว่านั่นจะถือเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับริชาร์ด
เทพเจ้าหลักของไวท์ร็อคดัชชี่คือเทพแห่งความกล้าหาญ — เนเอียน นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าองค์อื่น ๆ อีกซึ่งโฟลว์แซนด์ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพในหมู่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมอีกด้วย จำนวนผู้ศรัทธาที่มากมายทำให้เนเอียนถือเป็นเทพเจ้าระดับกลาง โดยมีพื้นที่บริเวณใกล้เคียงอีก 5–6 แห่งที่ให้ความเคารพนับถือเทพที่คล้ายกับเนเอียน การบูชาบรรพบุรุษจัดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่เช่นเดียวกับการบูชาเทพเจ้าซึ่งความศรัทธาของมนุษย์ในเรื่องนี้นั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรและเอลฟ์เลย
บารอนฟอร์ซ่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเนเอียน เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีการตั้งแท่นบูชาเทพเจ้าขึ้นในปราสาทของเขา ซึ่งพรีสต์ได้ล่วงรู้คำทำนายล่วงหน้าถึงผู้บุกรุกที่จะเข้ามายังเพลนของพวกเขาจึงเตือนให้บารอนส่งโคโจพร้อมด้วยกองทหารให้ออกไปไล่ล่าและติดตามผู้บุกรุกเหล่านั้น ซึ่งถ้าหากกลุ่มนี้พ่ายแพ้ก็ยังมีกองทัพหลักที่ติดตามมาสมทบคอยเสริมอยู่
ริชาร์ดและโฟลว์แซนด์เคลื่อนตัวไปยังพื้นที่ว่างภายในห้อง เขาทำหน้าที่เลื่อนโต๊ะออกมาขณะที่นางกางแผนที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลที่ได้มาจากเชลยศึกทั้งสองลงบนโต๊ะเพื่อที่พวกเขาจะได้เริ่มหารือกัน
ฐานของพวกเขาไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีหรือแย่เป็นพิเศษ มันตั้งอยู่ห่างจากตีนเขาประมาณ 5 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่เป็นเขาสูงสลับซับซ้อนและป่าทึบหนาแน่นที่ช่วยทำหน้าที่ป้องกันกองทหารม้าไม่ให้ล่วงล้ำเข้าสู่ด้านในได้ ซึ่งนั่นทำให้แม้แต่ไนท์อย่างโคโจก็จำเป็นต้องใช้การเดินเท้าหากต้องการเข้าสู่ฐานแห่งนี้
ตัวฐานตั้งอยู่บนหน้าผาเล็ก ๆ ซึ่งด้านข้างทั้ง 3 ด้านเป็นผาสูงชันและมีทางเข้าหลักเพียงเส้นทางเดียวซึ่งเป็นถนนที่ถูกสร้างโดยการเกลี่ยพื้นดินให้เรียบ ส่วนทางด้านที่เป็นหน้าผานั้นมีความสูงกว่า 20 เมตร และอาจจำเป็นต้องใช้ไนท์ที่ถูกฝึกฝนมาสำหรับการต่อสู้ในพื้นที่ที่เป็นผาสูงชันเท่านั้นจึงจะมีโอกาสบุกยึดฐานนี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาล่าถอยกลับไปที่ฐาน พวกเขาจะต้องลงเอยด้วยการถูกต้อนให้จนมุมเพราะเส้นทางหลบหนีมีเพียงแค่เส้นทางเดียว ดังนั้นทำเลที่ตั้งของฐานนี้จึงถือว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ริชาร์ดตรวจสอบแผนที่และพิจารณาอย่างละเอียดซ้ำไปซ้ำมาก่อนชี้ไปที่เมืองเล็ก ๆ ห่างจากฐานประมาณ 20 กิโลเมตร “ถ้ากองทหารของบารอนเคลื่อนตัวออกมาแล้ว พวกเขาจะมาถึงที่นี่ภายในคืนนี้ สถานที่ตรงจุดนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เติมเสบียงและพักผ่อนก่อนเคลื่อนทัพขึ้นภูเขา และพอถึงรุ่งสางพวกเขาก็น่าจะออกติดตามร่องรอยของเราทันที ดังนั้นถ้าหากเราลาดตระเวนพื้นที่ตรงจุดนี้เราก็น่าจะได้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกองทหารของพวกนั้น”
“ครั้งนี้พวกนั้นน่าจะพาพรีสต์มาด้วย” โฟลว์แซนด์เสนอความเห็น “พวกนั้นจะเป็นเป้าหมายแรกของเรา แต่ข้าไม่แน่ใจว่าพวกนั้นมีเมจอยู่ด้วยหรือไม่”
ริชาร์ดพยักหน้าเห็นด้วยพลางจ้องมองแผนที่ของเมืองและหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การปกครองของบารอนฟอร์ซ่า เขาทำการคำนวณอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นี่มันผ่านไปยังไม่ครบวัน ดังนั้นพวกเขาก็ยังไม่น่าจะแสดงท่าทีตอบสนองต่อการที่โคโจเงียบหายไปได้เร็วขนาดนั้น หากคิดถึงความเป็นไปได้ตามปกติพวกเขาก็น่าจะยังไม่รู้สึกตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และยิ่งทั้งอุปกรณ์กับระดับของกองทหารของโคโจก็อยู่ในระดับสูงด้วยแล้ว พวกเขาก็ไม่น่าจะคิดว่าทหารทั้งกองทัพที่แข็งแกร่งแบบนั้นจะถูกทำลายล้างไปหมดได้เร็วขนาดนี้ ดังนั้นพรุ่งนี้บารอนฟอร์ซ่าก็คงจะยังไม่ใช้กองกำลังที่แข็งแกร่งเต็มกำลังเช่นกัน ถึงแม้การทำนายล่วงหน้านั้นจะบอกพวกเขาถึงจำนวนและความแข็งแกร่งของพวกเรา แต่ก็ไม่น่าจะบอกได้ถึงจำนวนคนที่มีทักษะในการสอดแนมและลอบสังหารของเราได้ ความสูญเสียที่พวกเราจะต้องเผชิญในครั้งแรกยังถือว่าเล็กน้อยมาก แต่ครั้งนี้ข้าคิดว่าอย่างมากเราก็น่าจะต้องเจอกับกองทัพที่มีจำนวนคนประมาณ 1 ใน 3 ของบารอน และในนั้นก็น่าจะมีไนท์สัก 2 คน ไนท์ฝึกหัดอีกประมานสิบกว่าคนและทหารราบอีกประมาณ 200–300 คนซึ่งเราจะต้องเตรียมตัวดี ๆ”
เมื่อทำการพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลได้พักหนึ่งแล้ว ริชาร์ดก็จ้องมองโฟลว์แซนด์แล้วถามขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม “โฟลว์แซนด์ ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าเจ้าเหนือกว่าเคลริคทั่วไปมากแค่ไหน ข้าต้องประเมินความแข็งแกร่งทางการทหารของพวกเราให้ได้อย่างแม่นยำ”
โฟลว์แซนด์เงยหน้ามองริชาร์ดก่อนตอบ “ได้ แต่ข้าอยากจะขอเริ่มที่เจ้าก่อน ช่วยอธิบายหน่อยเถอะว่าเพราะอะไรเมจระดับ 8 ธรรมดา ๆ ถึงสามารถปล่อยไฟร์บอล 5 ลูกภายในเวลาเพียงแค่ 5 วินาทีได้ เพราะตามความเป็นจริงแล้วจำนวนมานาที่เสียไปนั่นน่าจะทำให้เจ้าไม่สามารถขยับตัวได้ไปแล้ว และยังมีเรื่องของความรวดเร็วที่น่าหวาดกลัวในการร่ายคาถาของเจ้าอีก อ้อ แล้วข้าก็จะซาบซึ้งใจอย่างมากด้วยหากเจ้าช่วยอธิบายเรื่องหมู่ป่า 4 ตัวที่เจ้าอัญเชิญออกมา”
เมื่อฟังจบริชาร์ดก็หัวเราะและพยักหน้า “เอาล่ะ ข้ามีรูนไวทัลลิตี้ที่ช่วยเร่งพลังงานและการฟื้นฟูมานาสักอยู่บนตัวของข้า แล้วข้าก็ยังได้ปรับแต่งมันด้วยตัวของข้าเอง ตัวข้าเป็นเมจระดับ 8 ก็จริงแต่ระดับมานาของข้านั้นอยู่ใกล้ ๆ ระดับ 9 แล้ว
และสำหรับเรื่องคาถาที่ข้าใช้ คาถาหลัก ๆ ของข้าคือคาถาระดับ 3 ไฟร์บอล และคาถาระดับ 4 เนเจอร์เบ็คคอนกับไอซิเคิลสตอร์ม ข้าปรับปรุงคาถาไฟร์บอลเพื่อให้ข้าสามารถร่ายมันออกมาได้อย่างรวดเร็วภายในไม่ถึงวินาทีโดยมันจะใช้มานาน้อยกว่าปกติ ข้าคิดว่าเนเจอร์เบ็คคอนอาจเป็นผลมาจากสายเลือดเอลฟ์ของข้าที่เป็นตัวช่วยเสริมพลังทำให้เมื่อข้าร่ายคาถานี้ออกมามันจะส่งผลที่รุนแรงกว่าเดิม ส่วนไอซิเคิลสตอร์มนั้น ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถทำให้มันสมบูรณ์ได้ แต่มันก็มีพลังมหาศาลเพราะว่าข้ายังต้องใช้เวลาถึง 5 วินาทีในการร่ายมันออกมา แต่มันจะเป็นประโยชน์มากในการต่อสู้จริง ๆ”
แน่นอนว่าริชาร์ดยังไม่ได้อธิบายทุกอย่างออกมาทั้งหมด กำไลงาช้างที่ข้อมือของเขาเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเขายังมีความสามารถอื่นอยู่อีกนั่นคือการที่เขาสามารถสื่อสารกับสิ่งที่เขาอัญเชิญมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาสามารถอัญเชิญหมูป่ามาในจำนวนที่เพิ่มขึ้นได้
“แล้วอบิลิตี้ทางสายเลือดของเจ้าล่ะ ?” โฟลว์แซนด์ถามต่อไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
ริชาร์ดลังเลก่อนจะอธิบายในที่สุด “จนตอนนี้ข้าก็ยังปลุกอบิลิตี้มาได้แค่อย่างเดียว คือ — เออรัพชั่น”
โฟลว์แซนด์ก้มหัวลงและขีดเขียนอะไรบางอย่างไปบนอากาศ นางใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “ดี ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าควรจะสนับสนุนเจ้าในการต่อสู้ยังไง เอาล่ะ ตอนนี้ถึงคราวของข้าบ้าง ข้าแตกต่างจากพรีสต์ทั่ว ๆ ไปเพราะข้าเป็นเคลริคที่ได้รับนามหรือฉายาว่า ‘รุ่งอรุณ’ มาจากมังกรนิรันดร และข้ามีมานาสำรองมากกว่าพรีสต์ในระดับเดียวกันประมาณ 3 เท่าซึ่งเจ้าคงพอจะสังเกตเห็นรูนบนหน้าผากของข้าอยู่บ้าง ข้าได้มันมาพร้อมกับตอนที่ได้รับฉายาซึ่งทำให้ข้ามีอบิลิตี้พิเศษที่เรียกว่า —— เลนส์ออฟไทม์ มันทำให้ข้าสามารถเปลี่ยนการไหลของเวลาของจุดที่เป็นเป้าหมายได้ 15 วินาที แต่ถ้าเป้าหมายนั้นมีระดับสูงกว่าข้า 5 ระดับ จะมีโอกาสเพียงครึ่งเดียวที่จะประสบความสำเร็จ และจะไม่มีโอกาสเลยหากว่าเป้าหมายแตกต่างจากข้ามากถึง 7 ระดับ”
“เจ้าเร่งมันให้เร็วขึ้นได้มากแค่ไหน ?” ริชาร์ดตาลุกวาว
“ในตอนนี้น่ะหรือ ? เร่งได้ประมาณ 33% ของอัตราการไหลปกติของเวลา และมันจะเพิ่มขึ้นอีก หากระดับของข้าเพิ่มสูงขึ้น”
“งั้นก็เยี่ยม ! เรามีวิธีรับมือกับไนท์พวกนั้นแล้ว !” ริชาร์ดไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาจ้องมองโฟลว์แซนด์และพูดขึ้นอีกครั้งด้วยความปีติยินดี “ข้าล่ะดีใจจริง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โฟลว์แซนด์ก็เผยรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่ดู ‘ค่อนข้างเข้าใจยาก’ แต่ในที่สุดนางก็ตอบกลับไป “ข้าก็เช่นกัน”
ริชาร์ดส่งยิ้มให้นาง ในที่สุดพวกเขาก็เหมือนได้พบแสงสว่างในสถานการณ์นี้แล้ว
คอมเม้นต์