นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 2 ตอนที่ 154
ในขณะที่ผู้นําระดับสูงภายใต้การบังคับบัญชาของฟอร์ซ่าพยายามหาเหตุผลที่จะอยู่นิ่งเฉยนั้น ริชาร์ดก็ค้นพบเส้นทางไปสู่คฤหาสน์อื่นแล้ว เขาส่งไฟร์บอลไปยังแนวการรักษาความปลอดภัยหลักของสถานที่ซึ่งประกอบไปด้วยทหารหนุ่มที่แข็งแกร่งหลายคนซึ่งมันส่งพวกเขาตรงไปยังความตายทันทีจากนั้นริชาร์ดที่นั่งอยู่บนหลังม้าของเขาก็ชีไปข้างหน้าอย่างใจเย็นเพื่อให้กลุ่มทหารที่มีแค่โล่และดาบวิ่งกรูเข้าไป
คนเหล่านี้คือเชลยที่ยอมจํานน พวกเขาได้รับอาวุธและโล่ทว่าไม่มีเกราะป้องกัน อย่างไรก็ตาม กองทหารแนวป้องกันส่วนใหญ่ในตอนนี้ถูกริชาร์ดจัดการด้วยไฟร์บอลไปแล้ว ดังนั้นกลุ่มที่วุ่นวายนี้จึงสามารถเอาชนะการต่อต้านและผ่านไปได้ในคราวเดียว
ในที่สุด ลอร์ดของคฤหาสน์ซึ่งเป็นไนท์ติดยศที่แต่งตัวอย่างสง่างามก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าเขาใช้เวลามากเกินไปในการสวมใส่ชุดเกราะครบชุดของเขาซึ่งมันดูเด่นเกินไปจนแกงดอร์และวอเตอร์ฟลาวเวอร์มองเห็นเขาได้ง่ายๆขณะที่เขาเข้าสู้ในสนามรบอย่างสง่างาม แต่แน่นอนว่าหลังจากนั้นเพียงนาที่เดียวเขาก็ถูกจับตัวเป็นเชลย
ครึ่งชั่วโมงต่อมาริชาร์ดเคลื่อนตัวพร้อมด้วยกองทหารขนาดใหญ่อีกครั้ง พวกเขาผ่านคฤหาสน์อีก 2 หลังและจับตัวเหล่าไนท์ติดยศที่ปกครองคฤหาสน์เหล่านั้นไว้ได้ก่อนที่จะเดิน
ทางไปถึงจุดหมายปลายทางในตอนรุ่งสาง ที่นี่คือวัดทาวน์บ้านของเซอร์เมนต้า ในตอนนี้ภรรยาของโคโจคงจะมีเพื่อนที่มีสถานะคล้าย ๆ กันอีกหลายคนอยู่กับนางด้วย
เมื่อพวกเขายึดวัดทาวน์ได้ ริชาร์ดจึงทิ้งกลุ่มทหารเหล่าตัวประกัน และเชลยที่เหนื่อยล้าเกินกว่าจะไปต่อไว้ข้างหลังเขาให้ในท์ขี่ม้า 2 คนพาพวกเชลยกลับไปยังฐานทัพพร้อมด้วยแร็พเตอร์อีก 2 ตัว ส่วนตัวของเขานั้นพากลุ่มที่มาจากหัวแลนด์มุ่งหน้าต่อไปยังดินแดนของเซอร์ฮิวเบิร์ตในเมืองซีเควียร์ซึ่งสงครามที่แท้จริงได้เกิดขึ้นที่นั่น มีผู้คุ้มกันและวอริเออร์กว่า 30 คนเข้าร่วมในการต่อสู้ที่สิ้นหวัง ครั้งนี้อย่างไรก็ตามถึงแม้การเสียสละของพวกเขาจะเป็นอะ ไรที่กล้าหาญทว่าพวกเขาก็ตายไปอย่างไร้ประโยชน์ การปรากฏตัวของโฟลว์แซนด์ทําให้พวกเขาไม่สามารถให้ทําให้พวกพ้องของนางได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่คนเดียว
เนื่องจากเมืองซีเควียร์ถูกยึดไว้ ครอบครัวของเซอร์ฮิวเบิร์ตจึงถูกจับตัวเช่นกัน ผู้คุ้มกันรวมทั้งหมด 28 คนถูกสังหารและทั่วทั้งเมืองก็ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก
ทว่าก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมไปจากนี้อีก ริชาร์ดจึงออกจากที่นั่นได้ในเวลาที่กําหนดไว้โดยไม่ได้ล่าช้า ความต่อต้านและดิ้นรนอย่างสิ้นหวังทําให้พวกเขาเหลือเวลาน้อยนิดในการปล้นสะดม
ภายในเวลาเพียงวันเดียว ริชาร์ดได้กําจัดกองกําลังของบารอนไปได้มากถึงครึ่งหนึ่ง เขาทั้งจับตัวไนท์ 3 คนและสังหารคนที่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้และแม้กระทั่งจับตัวภรรยาของไนท์มียศที่ตายไป 2 คนด้วย หากมีเพียงแค่ครอบครัวเดียวล่ะก็ ฟอร์ซ่าคงจะสามารถแกล้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้แต่ด้วยครอบครัวถึง 3 ครอบครัวได้ถูกบุกรุก การไม่ทําอะไรเลยก็คงจะเป็นจุดจบของการปกครองของเขา
หลังจากโกรธแค้นอยู่ตลอดช่วงบ่าย ในที่สุดตระกูลของบารอนก็ส่งกองทัพออกไล่ล่าเหล่าผู้บุกรุก ทหาร 500 คนเดินทางออกจากเมืองหลวงของเขาในเวลาพลบค่ําโดยมีไนท์5คนเป็นผู้นําทัพขณะที่พวกเขารีบเดินทางไปยังโจเว่นเพื่อโจมตีผู้บุกรุกซึ่งเริ่มเคลื่อนทัพออกไปแล้ว แม้ฟอร์ซ่าจะไม่ใช่อัจฉริยะทว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลา – เขารู้ว่าจํานวนคนของเขาไม่สามารถชดเชยในด้านทักษะของพวกเขาได้ ความแข็งแกร่งของพวกผู้บุกรุกนั้นค่อนข้างชัดเจนพวกเขามีวอริเออร์ที่แข็งแกร่งซึ่งมีพลังมากกว่าไนท์ของเขาอยู่อย่างน้อย 15 คนและมีเมจ 1 คนที่อยู่ราวๆระดับ 10 ด้วย
ไอ้เมจเฮงซวยนั่น !
เมจในแผ่นดินที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้พบได้ยากยิ่งกว่าพรีสต์และชาแมน เมจคนใดที่ใกล้ระดับ 10 จะเป็นที่ยกย่องนับถือยิ่งกว่าบารอนเสียอีกสถานะที่สูงส่งแบบนั้นไม่ ใช่ว่าจะได้มาเพียงจากความกล้าหาญทําลายล้างในการต่อสู้เท่านั้น – และยังมีสิ่งของกับอุปกรณ์หลายอย่างที่มีแค่เมจเท่านั้นที่จะสามารถมีได้เนื่องจากสิ่งของอย่างเช่นอุปกรณ์เว ทมนตร์และอุปกรณ์ลงอาคมเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามาก
เนื่องจากบารมี พลัง และความมั่งคั่งเหล่านี้ทําให้ผู้คนมากมายอยากจะเป็นเมจ แต่อย่างไรก็ตาม ประเพณีของเพลนนี้ให้ความสําคัญกับเรื่องของสายเลือดมากโดยมีข้อกําหนดเกี่ยวกับบรรพบุรุษที่เข้มงวด เมจระดับ 10 สามารถรับผู้ฝึกหัดได้ประมาณ 10 คนเท่านั้นโดยไม่มีการรับประกันว่าผู้ฝึกหัดเหล่านี้จะสามารถเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้นตระกูลขุนนางที่มีหนทางหรือแม้แต่ราชวงศ์ย่อมให้ทายาทของตนเองที่มีความสามารถน้อยที่สุดได้ไปอยู่กับเมจที่มีประสบการณ์เหล่านี้เพื่อเติมเต็มโควต้าที่จํากัด แม้ว่าสามัญชนคนธรรมดาบางคนจะมีพรสวรรค์มากกว่า ทว่าหลาย ๆ คนก็ไม่มีโอกาสก้าวเข้าสู่โลกใบนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ประเพณีเหล่านี้ยิ่งทําให้เกิดความขาดแคลนเมจและทําให้พวกเขามีค่ามากยิ่งขึ้น ยิ่งพวกเขามีคุณค่ามากแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งขาดแคลนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนี่ ! ผู้บุกรุกพวกนี้มีเมจที่ทรงพลังอยู่ด้วย ! ในสายตาของฟอร์ซ่านั้นภัยคุกคามนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าผู้บุกรุกอื่น ๆ รวมกันเสียอีกเคยมีคน “กล่าวหนึ่งบนเพลนนี้ที่ว่า มีแค่เมจเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับเมจได้แน่นอนว่าเมจเป็นคนที่คิดคําพูดนั้นขึ้นมาเองและด้วยสถานะความเป็นแกรนด์เมจของคนที่พูดขึ้นมาจึงทําให้คําพูดนั้นไม่เป็นที่น่าสงสัยเลย
อย่างไรก็ตาม พรีสต์ เคลริค และวอริเออร์ผู้ทรงพลังสามารถเทียบเท่ากับเมจได้ตามทฤษฎี แต่เนื่องจากไม่ได้มีการต่อสู้มากมายนักเพื่อใช้วิเคราะห์ พวกเขาจึงไม่มีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเผชิญหน้าแบบนี้ กลยุทธ์ที่ได้รับการยอมรับก็คือการทําให้มานาของคู่ต่อสู้หมดไปก่อนที่พวกนั้นจะสังหารเขา
ฟอร์ซ่าอาจมีทุนในการสร้างวิหารให้กับเทพแห่งความกล้าหาญแต่เขาไม่สามารถหาเมจระดับ 10 มาช่วยเหลือได้ เขาขอความช่วยเหลือจากเจย์ลีออนเพราะว่าเอิร์ลผู้นั้นมีเมจที่อยู่ระดับ 10 หรือสูงกว่าอยู่ถึง 3 คน มันเป็นกลยุทธ์ที่ดั้งเดิมมากที่สุดซึ่งก็คือการใช้เมจเพื่อรับมือกับเมจด้วยกัน
ฟอร์ซ่าเฝ้านับวันเวลาอยู่ภายในห้องหนังสือที่หรูหราและสวยงามของเขา มันจะใช้เวลาไม่เกิน 5 วันเพื่อให้กําลังเสริมของเอิร์ลเดินทางมาถึง และหากว่าเขาโชคดีกองกําลังแนวหน้าคงจะมาถึงภายใน 2 วัน และเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของความปลอดภัยนั้นทําให้ฟอร์ซ่าต้องสั่นสะท้าน เอิร์ลเจย์ลีออนมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักในเรื่องของความโลภ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พลาดโอกาสในการรีดไถเพื่อให้ได้ราคาสูงลิ่ว การสูญเสียกองกําลังต่อสู้เกือบทั้งหมดทําให้ฟอร์ซ่าไม่มีสิทธิ์ต่อรอง ซึ่งมูลค่าที่เขาจะต้องเสียไปในครั้งนี้เทียบเท่ากับมูลค่าของไนท์ 5 คนเป็นอย่างต่ําเลยทีเดียว
มันไม่ใช่แค่ดินแดน เงินภาษี และกําลังคนเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงไนท์ที่ซื่อสัตย์และทรงพลังถึง 5 คนด้วย
หากเขารู้ว่าวันแบบนี้จะมาถึง ฟอร์ซ่าคงจะไม่ยั่วให้ผู้บุกรุกที่ “ไม่วิเศษวิโส” เหล่านี้ต้องโกรธตั้งแต่แรก คําพูดนี้เป็นคํานิยามที่แม่นยําท่ามกลางคําทํานายซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บุกรุกไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงไปกว่าระดับ 10 อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่ “ไม่ วิเศษวิโส”เหล่านี้กลับสร้างความสูญเสียมากพอที่จะข่มขู่ทั้งเขาและไนท์ของเขาได้
ฟอร์ซ่ารู้สึกเสียใจที่เขาเลือกใช้กําลังในตอนแรกทางเลือกที่ฉลาดกว่าคงจะเป็นการยอมให้ผลประโยชน์บางอย่างกับพวกเขาไป รวมถึงให้แผนที่นําทางพวกเขาไปหาดยุกไดร์วูล์ฟฟอร์ซ่าไม่ได้นอนหลับอย่างสบายเลยมาตลอดระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมา และในตอนนี้ถุงใต้ตาสีน้ําเงินคล่ําก็เริ่มปรากฏขึ้นชัดเจนบนใบหน้าของเขาแล้ว
เมื่อมองออกจากห้องหนังสือของบารอนฟอร์ซ่าจะสามารถมองเห็นท่าเรือของเมืองได้ ประภาคารและวิหารแห่งความกล้าหาญเป็นอาคารที่สะดุดตาที่สุดในยามค่ําคืนหอสัญญาณสูงตระหง่านซึ่งสูงมากกว่าประภาคารที่สร้างขึ้นภายในอาคารของวิหารเสียอีก หอส่งสัญญาณนี้จะสว่างเมื่อได้รับคําทํานายหรือระหว่างช่วงเทศกาลซึ่งแสงสว่างจ้านั้นมองเห็นได้ในระยะทางหลายไมล์และจะไม่ดับไปอีกเป็นเวลา 10 วัน ฟอร์ซ่าลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ณ วิหารอันงดงามและเขาก็พบกับเปลวไฟที่ส่องแสงสว่างจ้าในทันที เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงและดึงผ้าม่านให้ปิดลงเพื่อป้องกันไม่ให้แสงลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ตอนนี้คําภาวนาเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือการที่กองทัพของเขาจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกเพราะเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดอะไรตามมา
ผู้บุกรุกที่ชั่วร้ายสามารถทําลายขวัญและกําลังใจของวอริเออร์ธรรมดาได้ด้วยการบุกรุกที่โกลาหลเพียงครั้งเดียว มีเหตุผลที่อาจจะพูดออกมาได้ที่เขาส่งทหารออกไปในเวลากลางคืน – เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาต้องอยู่กันอย่างกระจายตัวด้วยเพราะยิ่งมืดก็ยิ่งหลบหนีได้ง่าย นี่คือกลยุทธ์ทางทหารครั้งสุดท้ายของบารอนฟอร์ซ่า
อย่างไรก็ตาม คําภาวนานั้นเกิดผลเพียงบางส่วนเท่านั้นคนของเขาเพิ่งออกจากค่ายทหารและเดินไปได้เพียงแค่ 5 ไมล์แต่พวกเขาก็ถูกพบเข้าโดยแร็พเตอร์ที่เดินด้อมๆมองๆอยู่พวกมันส่งข้อความกระแสจิตไปให้ริชาร์ดที่อยู่ไกลออกไปทันที
ในท์ได้ค้นพบอสูรตัวนั้นในพงหญ้าทว่ากลับคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่มาจากภูเขา เขาจึงไม่ได้สนใจที่จะล่า ณ เวลานั้นเขาคิดเพียงแค่เรื่องการนํากองทหารของเขาไปยังโจเว่นและคุ้มกันมันให้ได้อย่างรวดเร็ว บารอนได้ให้จดหมายลับกับเขาไว้ก่อนที่จะเดินทางออกไป มันเป็นคําอธิบายว่างานอย่างเดียวของเขาคือเฝ้ารออย่างปลอดภัยในช่วง 2-3 วันสุดท้ายก่อนที่กําลังเสริมของเอิร์ลจะเดินทางมาถึง
ในขณะเดียวกัน อสูรที่ถูกพบตัวนั้นดูเหมือนไม่เต็มใจนักทว่ามันก็ยังเลือกติดตามกองทหารนั้นเป็นระยะทางไกลเกือบ 2 ไมล์ก่อนที่จะหายไปในความมืด
คอมเม้นต์