บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 172 ยอมทิ้ง
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 172 ยอมทิ้ง
“ท่านจะมาพาข้ากลับไปงั้นเหรอ”อู่เทียนเหวินถามหลังจากเห็นไป๋จูเหวินเดินขึ้นมาบนรถม้าที่มันกําลังจะนั่งไปยังเมืองที่ร้านของเหม่ยฮวาตั้งอยู่
“เปล่า”ไป๋จูเหวินว่าพลางนั่งลงข้างๆเทียนเหวินโดยไม่ได้ถามอะไร มันแทบจะไม่ต้องคิดเลยว่าเทียนเหวินจะหนีไปไหน มันเลยมีเวลามากพอจะฝากงานเอาไว้ให้ยู่หยวนก่อนออกมาตามเทียนเหวินที่ท่ารถเสียด้วยซ้ำ
“ระหว่างทางก็แวะที่สมาคมแพทย์หน่อยก็แล้วกัน ข้าจะให้หลินหลินพาเจ้าเดินทางไปด้วย”ไป๋จูเหวินว่าพลางถอนหายใจออกมา เทียนเหวินที่เคยขี่หลังของหลินหลินทราบดีว่านางเดินทางได้เร็วกว่ารถม้าหลายสิบเท่า การที่ไป๋จูเหวินบอกว่าจะให้หลินหลินพามันไปก็เท่ากับว่ามันจะช่วยให้เทียนเหวินเดินทางได้เร็วขึ้นนั่นเอง
“ขอบคุณพี่ไป๋” เทียนเหวินว่าพลางลดท่าที่มาคุลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นตลอดทางพวกมันก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเพราะเทียนเหวินเอาแต่นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวมาตลอดทาง”
“พี่ไป๋” หลินหลินกับปิงปิงต่างวิ่งเข้ามากอดไป๋จูเหวิน ทันทีที่เห็นไป๋จูเหวินเดินทางมาถึงสมาคมแพทย์ โดยด้านหลังพวกนางย่อมมีหงเยว่ผู้ทําหน้าที่ดูแลพวกนางอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเจ้าเป็นเด็กดีกันหรือเปล่า”ไป๋จูเหวินถามพลางลูบหัวเด็กๆอย่างเอ็นดู
“ค้า…”แม้เสียงที่ตอบมาจะมีแค่เสียงของหลินหลินแต่ท่าทางของทั้งสองก็ทําให้ไป๋จูเหวินอมยิ้มออกมาอยู่ดี
“ไปกันเถอะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางหันไปบอกให้หลินหลินกลายร่างเป็นแมงมุมเพื่อเดินทางไปยังเมืองของเหม่ยฮวา
“…” ภาพแมงมุมหยกขนาดยักษ์ทําเอาเหล่าคนของสมาคมแพทย์ต่างตะลึงเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่คนของกลุ่มนักล่าอสูรเก่าละก็ คนอื่นๆไม่สามารถแยกพวกหลินหลินออกเลยว่าเป็นมนุษย์หรืออสูร ตอนแรกพวกมันคิดว่าพวกหลินหลินเป็นน้องของไป๋จูเหวินเสียอีก พอเห็นนางกลายร่างเป็นแมงมุมยักษ์ต่อหน้าต่อตาก็ได้แต่ยืนอึ้งกันเท่านั้น
“….” แต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินทางไปไหน อยู่ๆปิงปิงก็ดึงชายเสื้อของไป๋จูเหวินเบาๆราวกับมีเรื่องอยากจะบอก
“อ๊ะ ร่างแมงมุมของปิงปิงเกือบจะเท่าร่างของหลินหลิน แล้วนะเจ้าคะ” หงเยว่เห็นท่าทีของปิงปิงก็เดาออกทันที่ว่านางอยากจะบอกอะไร พอเห็นหงเยว่พูดให้เช่นนั้นปิงปิงก็พยักหน้าทันที
“งั้นเหรอ อีกหน่อยก็จะตัวเท่าหลินหลินแล้วสินะ”ไป๋จูเหวินพูดด้วยท่าที่ประหลาดใจ อสูรแมงมุมนี้โตกันเร็วจริงๆ หรือเพราะพวกนางเป็นอสูรประเภทแมลงกันนะ
หลังจากรับหลินหลินมาแล้ว ไป๋จูเหวินก็พาเทียนเหวินไปหาเหม่ยฮวาในทันที ดูเหมือนนอกจากขนาดตัวของปิงปิง แล้วพลังอสูรของพวกนางก็พัฒนาขึ้นด้วย ความเร็วของหลินหลินยามนี้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ท่าทางจะไปถึงเมืองของเหม่ยฮวาในไม่กี่วันแน่ๆ
ตึงๆๆ เป็นไปตามคาด ด้วยความเร็วของหลินหลินในเวลานี้ นางสามารถเดินทางจากสมาคมแพทย์ไปยังเมืองที่เหม่ยฮวอยู่ได้ในเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น
“พี่เทียนเหวิน ไม่ใช่ว่าพี่มีธุระหรอกเหรอ” เหม่ยฮวาที่เฝ้าร้านอยู่ถามพลางมองเทียนเหวินที่เข้ามาในร้านด้วยสีหน้าแปลกใจ เทียนเหวินเพิ่งเดินทางกลับไปบ้านเกิดไม่นานมานี้เอง การที่มันกลับมาเร็วขนาดนี้หรือว่ามันลืมอะไรกัน?
หมับ! ไม่พูดพร่ำทําเพลง อยู่ๆเทียนเหวินก็เข้าไปกอดร่างของเหม่ยฮวาเอาไว้แน่นโดยไม่สนสายตาใครแม้แต่น้อย ทําเอาเหล่าลูกค้าในร้านต่างเอ่ยปากแซวกันยกใหญ่เพราะส่วนมากพวกมันก็ทราบอยู่แล้วว่าเหม่ยฮวากับเทียนเหวินกําลังคบหากันอยู่ แถมใกล้จะหมั้นหมายกันเต็มที่แล้ว
“พะ พี่เทียนเหวิน” เหม่ยฮวาหน้าแดงพลางพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของเทียนเหวิน แต่เทียนเหวินกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างไร ทําให้คนธรรมดาอย่างเหม่ยฮวาได้ แต่ยอมอยู่ในอ้อมแขนของมันต่อเท่านั้น
หมับ… เทียนเหวินปล่อยร่างของเหม่ยฮวาออกพลางจับมือของนางเอาไว้แทน ยามนี้ดวงตาของมันมองจ้องเข้าไปในดวงตาของเหม่ยฮวาจนใบหน้าของนางแดงกราวกับลูกตําลึง
“หากมันทําให้ข้าได้แต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมสละ” เทียนเหวินพูดประโยคน์ที่มันเคยพูดออกมาครั้งหนึ่งมาแล้วด้วยสีหน้าจริงจัง การที่มันได้เห็นเหม่ยฮวาอีกครั้งทําให้มันกลับมามั่นคงได้อีกครั้งก็ว่าได้
“….” ไม่ทราบทําไมเทียนเหวินถึงพูดเช่นนั้นออกมา แต่เหม่ยฮวาที่ได้ฟังก็หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความจริงจังในน้ำเสียงของเทียนเหวินคราวนี้นั้นมันช่างหนักแน่น และจริงจังอย่างมากจริงๆ
“ท่านมาพูดอะไรกลางร้านแบบนี้กัน” เหม่ยฮวาอายจนแก้มร้อนผ่าว อยู่ๆเทียนเหวินก็พูดเรื่องเช่นนี้ออกมากลางร้านที่มีแขกอยู่เต็ม ทําเอานางทําตัวไม่ถูก แถมพวกแขก ประจํายังส่งเสียงเชียร์อีกต่างหาก
“นั่นสินะ” เทียนเหวินว่าพลางปล่อยมือเหม่ยฮวาช้าๆ
“ท่านลุงเฉิน ข้าจะช่วยท่านเอง” เห็นอีกฝ่ายเขินอายมาก เทียนเหวินเลยผละจากนางเข้าไปในครัวทันที ทําให้ไป๋จูเหวินได้ทราบว่าหลังจากขอเหม่ยฮวาแต่งงานในคราวก่อน เทียนเหวินก็ช่วยเฉินตงทําอาหารในครัวหากมีโอกาส แถมด้วยความสามารถของเทียนเหวิน การฝึกทําอาหารก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างไร ไม่นานเฉินตงก็ยอมให้มันช่วยงานตามที่ขอ
วันนั้นทั้งวัน องค์ชาย 4 อย่างเทียนเหวินเข้าไปช่วยงานในครับบ้างออกมาช่วยเหม่ยฮวายกอาหารบ้าง แต่ใบหน้าของมันกลับดูสดชื่นจนเวลาหลายวันที่มันเอาแต่ครุ่นคิดมาตลอดราวกับเป็นเรื่องโกหก
“พี่ไป๋ ขอบคุณท่านมาก”เทียนเหวินว่าพลางนําอาหารจานหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะของไป๋จูเหวิน
“จานนี้ข้าเลี้ยงเอง” เทียนเหวินว่าพลางยิ้มกว้าง แม้จะเป็นแค่อาหารจานหนึ่ง แต่อาหารฝีมือองค์ชาย 4 จะหากินได้ที่ไหนอีก ไป๋จูเหวินเลยได้แต่ยิ้มแล้วกินอาหารของเทียนเหวินอย่างอารมดี ที่มันตามเทียนเหวินมานั้นมันไม่ได้อยากรู้เรื่องการตัดสินใจของเทียนเหวินแต่อย่างไร เพราะเรื่องการขึ้นครองราชย์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวมันอยู่แล้ว แต่มันเป็นห่วงเทียนเหวินเท่านั้น พอได้เห็นมันยิ้มแย้มแจ่มใสดี ไป๋จูเหวินก็วางใจ
สําหรับตัวไป๋จูเหวินแล้ว มันไม่เคยรู้จักคําว่าอํานาจเสียเท่าไหร่ แต่หากให้มันขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้วต้องแลกด้วยการไม่สามารถพบเจอกับพวกท่านน้าได้อีก มันคงไม่มีทางยอมรับแน่ๆ จะว่าไปช่วงนี้มันก็ไม่ค่อยได้กลับไปเยี่ยมท่านน้าเลยนี่นา บางทีมันคงต้องหาเวลากลับไปเยี่ยมท่านน้าบ้างแล้ว
“ท่านลุงเฉิน ตกแต่งร้านทําไมเหรอขอรับ” หลังจากพักอยู่ที่บ้านของเหม่ยฮวามาหลายวัน อยู่ๆเฉินตงก็ลุกขึ้นมาแต่เช้ามืดพลางหาผ้าแดงมาติดประดับร้านเสียอย่างนั้น
“เมื่อวานมีคนของเจ้าเมืองมา” เฉินตงว่าพลางประดับร้านต่อราวกับจะมีงานมงคลก็ไม่ปาน
“มันบอกว่ามีเชื้อพระวงก์มาพักที่จวนเจ้าเมือง เลยให้ทุกร้านในเมืองประดับร้านให้สวยงามท่านจะได้พึงพอใจ” เฉินตงตอบเสียงเรียบ แม้จะไม่ค่อยสนใจเชื้อพระวงก์จะพอใจหรือไม่ แต่ในเมื่อเป็นคําสั่งของเจ้าเมืองมันก็ได้แต่ทําตามเท่านั้น
ส่วนทางเทียนเหวินนั้นแทบจะพูดอะไรไม่ออก พี่ใหญ่ของมันทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แม้แต่ไป๋จูเหวินยังเดาได้ไม่ยากว่า มันจะหนีไปที่ไหน ทําไมอู๋หมิงจะนึกไม่ออกกัน เพียงแต่ หากเป็นก่อนหน้านี้มันคงหาข้ออ้างกับเหม่ยฮวาและออกไป ซ่อนที่อื่นก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่วันก่อนมันได้ตัดสินใจเรื่องหนึ่งไปแล้ว มันจะยืนยันเรื่องนี้ต่อหน้าพี่ๆของมัน
“เจ้าพร้อมแล้วนะ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองเทียนเหวินจากมุมหนึ่งของร้าน ตัวมันยังไม่ได้กลับไปแต่อย่างไรเพราะยังอยากดูเรื่องนี้ให้จบ
“ขอรับ”เทียนเหวินว่าพลางเดินไปช่วยเฉินตงแต่งร้านด้วยท่าทีสงบราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทําให้เช้านี้เทียนเหวินทําทุกอย่างเช่นเดิมทั้งหมดจนกระทั่ง
“ร้านนี้สินะ” องค์หญิงซูหลานว่าพลางเดินเข้ามาในร้านของเฉินตงพร้อมเหล่าองครักษ์และผู้ติดตาม แทบไม่ต้องบอกเลยว่านางคือเชื้อพระวงก์ที่พูดถึงนั่นเอง
“ใช่” อู๋หมิงตอบพลางเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าที่สงบ แม้เทียนเหวินจะไม่คิดว่าพี่ซูหลานจะมาด้วย แต่มันก็ทําใจเอาไว้แล้ว
“เชิญขอรับ” ตงเฉินผู้เป็นเจ้าของร้านออกมารับหน้าด้วยตนเอง แม้แต่เหล่าลูกค้าที่มาก่อนยังพากันลุกขึ้นเดินหลบไปแทบจะติดกําแพง นอกจากผู้ติดตามแล้ว แทบจะไม่มีใครกล้ายืนขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“ท่านเจ้าของร้าน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับพวกท่าน”อู๋หมิงว่าพลางประคองร่างของเฉินตงเอาไว้ไม่ให้คุกเข่าลงไปกับพื้น
“ขะ ขอรับ” เฉินตงมีสีหน้างุนงงอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จะคุ้นหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเชื้อพระวงก์มันก็ได้แต่ตัดความคิดนั้นทิ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ
“ต้องขออภัยด้วยที่องค์จักรพรรดิไม่อาจมาได้ด้วยตนเอง เนื่องจากท่านพึ่งหายป่วยได้ไม่นาน”อู๋หมิงว่าพลางหันไป มองเทียนเหวินครู่หนึ่ง ยามนี้ครอบครัวของเฉินตงพากัน ออกมาหมดแล้วทั้งมารดาของเหม่ยฮวาและเหม่ยฮวาเอง
“ข้าในฐานะรัชทายาทอันดับ 1 จึงเดินทางมาหาท่านแทนพระองค์”อู๋หมิงพูดพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ทําเอาเฉินตงและครอบครัวทําตัวไม่ถูก
“รัชทายาทอันดับ 1…”เทียนเหวินถึงกับสะดุ้งโหยง ทําไมพี่ใหญ่ของมันถึงพูดเช่นนั้นออกมาหรือว่ามันรับปากสืบทอดตําแหน่งต่อจากบิดาแล้ว
“ข้ามาที่นี่เพื่อพูดเรื่องการหมั้นหมายระหว่างน้องชายของข้ากับบุตรสาวของท่าน”ได้ยินอู๋หมิงพูดพวกเฉินตงก็พากันใจหายวาบ พวกมันรู้เรื่องของเทียนเหวินกับเหม่ยฮวา เป็นอย่างดี หากมีคนอื่นมาสู่ขอบุตรสาวมันก็สมควรปฏิเสธ แต่จะทําอย่างไรหากคนผู้นั้นคือเชื้อพระวงก์กัน
“พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน” เทียนเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาอู๋หมิงด้วยท่าที่ประหลาดใจ
“ข้ารู้มาว่าเจ้าอยากตะแต่งงานกับเหม่ยฮวา ข้าก็จะทําเรื่องให้ถูกต้องไงล่ะ”อู๋หมิงว่าพลางตบบ่าของเทียนเหวินเบาๆ
“ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น ที่ข้าถามคือ ทําไมท่านถึงกลายเป็นรัชทายาทอันดับ 1 กัน” เทียนเหวินถามพร้อมดวงตาที่เริ่มร่อนผ่าว ตามแผนของมันที่วางเอาไว้ มันจะเข้าแทรกแซงการชักนําอู๋เต๋อของจื่อหลาน และดันมันให้เป็นองค์จักรพรรดิ แต่เหตุใดพี่ใหญ่ของมันถึงรับตําแหน่งแทน
“มันคงถึงเวลาแล้ว”อู๋หมิงว่าพลางยิ้มบางๆ
“ถึงเวลาที่ข้าจะต้องทําหน้าที่ของข้าเสียที”ได้ยินเช่นนั้นอยู่ๆน้ำตาของเทียนเหวินก็พลันไหลออกมา พวกมันต่างรู้ดีว่าอู๋หมิงต้องการกลายเป็นเซียนกระบี่เช่นเดียวกับท่า นอาวุโสเทียนหมิงมาตลอด ถึงขนาดยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อเป้าหมายนี้มาแต่เด็ก การที่มันยอมทิ้งเป้าหมายนั้นไปหากไม่ใช่ เพราะมันต้องการทําให้เทียนเหวินได้สมหวัง
คอมเม้นต์