นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 4 ความจริง
เมื่อมือเล็กๆของริชาร์ดสัมผัสกับรูปปั้นที่ 7 มันก็สลายกลายเป็นเงาในทันทีและเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเขา ในตอนนั้นริชาร์ดรู้สึกราวกับถูกไฟเผา ราวกับร่างทั้งร่างของเขากำลังจะมอดไหม้ไปพร้อมกับจิตวิญญาณที่กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้ในตอนนี้เขาจะยังมีสติรู้ตัวอยู่ แต่มันก็เริ่มจะพร่าเลือนไปบ้างแล้ว ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็ถูกส่งออกมาจากภายในส่วนลึกของร่างกายเขาและพุ่งเข้าปะทะกับเปลวไฟร้อนแรงนั้น การต่อสู้กันของพลังที่แตกต่างในร่างกาย ทำให้ริชาร์ดรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เขากัดฟันและใช้ความดื้อรั้นและความแน่วแน่เข้าข่มกลั้นเพื่อครองสติเอาไว้ จนกระทั่งเงานั้นแทรกซึมเข้าไปในร่างกายทั้งหมด หลังจากเงาถูกดูดซับไปจนหมดแล้ว ริชาร์ดก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ภาพวิหารงดงามอลังการที่ปรากฎอยู่ในสายตาของเขาเริ่มเลือนลางลง
ในที่สุดการมองเห็นของริชาร์ดก็พร่ามัวไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ริชาร์ดมองเห็นภาพใบหน้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยความกังวลของมารดาเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติไป “ข้าได้มา 2 อบิลิตี้ ท่านแม่คงจะภูมิใจในตัวข้า!” ริชาร์ดเปล่งเสียงออกมาในความมืดมิด
รอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นบนห้องใต้หลังคา การสร้างความเสียหายให้แก่แท่นบูชาเก่าแก่นี้ได้ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัว ในตอนนี้เอเลนมีสภาพที่ดูไม่ดีนัก เลือดหยดหนึ่งไหลลงจากมุมปากของนาง แต่นางก็ไม่ใส่ใจ นางขยับตัวตรงเข้าไปสำรวจดูร่างกายของริชาร์ด ใจของเอเลนสงบลงได้บ้างเมื่อนางเห็นว่าเขาไม่ได้รับอันตรายอะไร
ไม่ว่าจะอย่างไร เอเลนก็สังเกตเห็นจุดเงาที่มืดมนบางอย่างปรากฎขึ้นมาบริเวณระหว่างหัวคิ้วทั้งสองของบุตรชาย ทั้งแสงจากตะเกียงและแสงจันทร์ไม่สามารถลบล้างเงานั้นได้เลย มันเหมือนกับหมอกสีหม่นที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนหน้าผากของเขาอย่างช้าๆ สายตาของคนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่ภายใต้พลังแห่งดวงจันทร์ที่ 5 ของเอเลนทำให้นางค้นพบมัน นางรู้สึกหนาวเหน็บและเจ็บปวดเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงมัน เงานั้นเป็นผลจากการปะทะกันระหว่างพลังแห่งความมืดกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของอลูเซีย
“อสูรไนท์แมร์?” เอเลนอุทานออกมา นางกัดฟันและใช้ปลายนิ้วกดลงบนขมับของริชาร์ด แล้วเริ่มร่าย —— คาถาโพรเฟซี่* จากส่วนลึกในความทรงจำ แม้จะเป็นคาถาที่นางไม่เคยใช้ได้มาก่อน แต่ในตอนนี้เอเลนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นางต้องพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ริชาร์ดเป็นอิสระจากอสูรร้ายที่น่ากลัวนั้น
*คาถาศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 6 ของอลูเซีย
ตั้งแต่สูญเสียตำแหน่งในฐานะชาแมนไป เอเลนก็ได้สูญเสียพรและคาถาแห่งเทพธิดาไปหมดแล้ว แต่ในที่สุดความพยายามที่ดูจะสิ้นหวังของนางก็ได้ผล เมื่อภาพต่างๆปรากฎขึ้นต่อหน้านาง มันแสดงความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว มีเพียงพลังงานที่ยุ่งเหยิงภายในจักรวาล เงาขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น วิถีโคจรของความยุ่งเหยิงทั้งหมดมีเป้าหมายไปที่ตำแหน่งเดียว ซึ่งก็คือลูกชายของนาง
ภาพพวกนั้นหายไปจากสายตาของเอเลน แม้มันจะปรากฎขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็ทำให้พลังงานของนางเกือบจะหมดไป จนไม่สามารถแม้แต่จะขยับนิ้วมือได้แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม และถึงแม้ว่านางจะยังมีแรงเหลืออยู่แต่เมื่อเห็นภาพพวกนั้นแล้วก็ทำให้แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงในทันที
อสูรไนท์แมร์คือสิ่งแปลกปลอมจากความมืด พลังงานของพวกมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่เป็นเศษซากของสิ่งมีชีวิตที่เว้าแหว่งหลากหลายชนิดที่เร่รอนไปมาอย่างไร้จุดหมาย อยู่ระหว่างดวงดาวต่างๆ ซึ่งนั่นเป็นการเพิ่มความยุ่งเหยิงให้กับจักรวาล พวกมันเจ้าเล่ห์ อันตรายและทรงพลัง — ทำให้พวกมันเป็นทั้งที่รักและเป็นที่รังเกียจของบรรดาเมจ
ชาโดว์ซัมมอนนิ่งคือคาถาโบราณซึ่งเป็นระดับ 6-9 ที่ช่วยให้ผู้ร่ายสามารถควบคุม อสูรไนท์แมร์ได้ โอกาสล้มเหลวในการใช้คาถานี้มีน้อย แต่ถ้าหากควบคุมอสูรไนท์แมร์ไม่อยู่ มันจะกลืนกินผู้อัญเชิญราวกับว่าเป็นอาหารอันโอชะที่สุดเท่าที่พวกมันเคยพบ ทุกๆปีจะมีข่าวจากบนแผ่นดินใหญ่ เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เมจถูกพวกมันกลืนกิน
อสูรไนท์แมร์กำลังก่อตัวขึ้นบริเวณหว่างคิ้วของริชาร์ดราวกับมีชีวิต แต่ดูท่าว่ามันจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก พลังงานแห่งความมืดของมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาก พลังระดับนี้ชาแมนทั่วๆไปสามารถชำระล้างได้อย่างง่ายดาย แต่เอเลนกลับพบว่า โพรเฟซี่ของนางกลายเป็นเหมือนแสงนำทางให้พลังแห่งความมืดมิด เป็นเสมือนบทสวดอัญเชิญให้พวกมันมายังโลกแห่งนี้ แม้ว่าเงานั้นจะถูกชำระล้าง แต่มันก็สายเกินไป สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดจำนวนมากถูกส่งมาที่นี่แล้ว และริชาร์ดก็กำลังถูกใช้เป็นพาหนะ เพื่อช่วยส่งผ่านให้พวกมันแทรกซึมเข้ามาในโลกนี้ได้
เมื่อสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดจำนวนมากโจมตีดาวดวงนี้ สิ่งที่ริชาร์ดจะพบมีเพียง 2 ผลลัพธ์เท่านั้น คือ เขาจะถูกฆ่าในระหว่างการปะทะกันของพลังที่รุนแรง หรือไม่ก็กลายเป็นร่างทรงให้กับสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดที่แข็งแกร่งที่สุด และจะสูญเสียการควบคุมร่างกายไป ไม่มีผู้ใดเข้าใจกฎเกณฑ์ที่จริงแท้ทั้งหมดของจักรวาล สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะมาถึง หรือไม่ก็อาจจะเดินทางมาถึงในเดือนข้างหน้าก็ได้
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง….” เอเลนพึมพำขณะที่โอบกอดริชาร์ดแน่น น้ำตามากมายเปียกเปื้อนทั้งตัวนางและหยดลงบนตัวของลูกชาย นางเงยหน้าขึ้นไปมองจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า แล้วก็พบรอยที่คล้ายคราบเลือดแห้งๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเปื้อนอยู่ ดูแล้วการเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์จะเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรม และเรื่องนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากว่านางยังคงเป็นชาแมนแห่งอลูเซีย
‘หรือนี่คือบทลงโทษของนาง?’ เอเลนคิดอย่างขมขื่น หมดแรงที่จะตัดพ้อต่อโชคชะตาหรือความน่าเวทนาแล้ว นางลุกขึ้นอุ้มร่างหมดสติของลูกชายลงบันไดไปยังห้องนอน และวางเขาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล คิ้วของริชาร์ดขมวดมุ่นเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาบอกได้ชัด –– ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังฝันดี
ริชาร์ดเป็นเด็กที่น่ารัก เขาเริ่มจะสูญเสียความเป็นเด็กไปทีละนิด เขาดูหล่อเหลาขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เอเลนมองดูลูกชายอันเป็นดั่งดวงใจของตัวเอง จุดเปลี่ยนในชีวิตของนาง ผ่านพ้นมา 10 ปีแล้ว ปกติแล้วเวลา 10 ปี เป็นช่วงเวลาแค่ชั่วพริบตาถ้าเทียบกับช่วงชีวิตอันยาวนานของนาง แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้ มันเหมือนกับเป็นเวลาชั่วนิรันดร์ ริชาร์ดค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เขาดู ‘เป็นเด็ก’ กว่าเด็กคนอื่นๆที่มีอายุเท่ากัน แต่มันก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสายเลือดของเอลฟ์ซิลเวอร์มูนจะมอบอายุขัยให้เขา 500 ปี แต่ไม่ว่าอย่างไร เหตุผลของการที่ลูกชายของนางค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปอย่างช้าๆและประณีตนั้น จะมีเพียงแต่นางคนเดียวเท่านั้นที่รู้
เงายังคงปรากฎอยู่บนหน้าผากของริชาร์ดต่อไป นั่นทำให้เอเลนถอนหายใจออกมาเบาๆ ในขณะที่นางจูบราตรีสวัสดิ์บนหน้าผากของลูกชาย ก่อนที่จะออกจากห้องนั้นไป เอเลนนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นและเหม่อมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตกำลังแล่นผ่านสมองของนาง เหมือนหนังฉายซ้ำ มันชัดเจนราวกับเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน คืนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตนาง เป็นความเกลียดชังและความรักชั่วชีวิต และมันช่วยไม่ได้ที่นางจะคิดถึงมันอีกครั้ง ดวงจันทร์ดวงที่ 5 เปลี่ยนผ่านไป จนถึงดวงจันทร์ดวงที่ 6 และเมื่อดวงที่ 7 ขึ้นมาที่เส้นขอบฟ้า นั่นจะเป็นสัญญาณของวันใหม่
……
ความเปล่งประกายของดวงจันทร์ที่ 7 ทะลุผ่านหน้าต่าง เอเลนมองดูเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็น แต่ก็ดูน่าดึงดูดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนด้วย ตอนนี้กระจกบนกำแพงห้องสะท้อนรูปลักษณ์อันเลอโฉม นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเอเลน ที่นางเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว เพราะไม่ได้เห็นมานานกว่า 10 ปีแล้ว มันเป็นความงดงามที่มีเพียงแต่เอลฟ์ซิลเวอร์มูนเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง
เอเลนยืนขึ้น เอาแผ่นกระดาษเวทมนตร์ที่ประทับไปด้วยลวดลายของดวงดาวออกมาและเอามากางบนโต๊ะ นางเอาปากกาเวทมนตร์ที่ทำจากขนของกริฟฟินออกมา จุ่มลงไปในหมึกพิเศษที่ทำจากเลือดของยูนิคอร์น แม้มันจะเก่ามากแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะยังใช้ได้อยู่ และตอนนี้ก็มีหมึกเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่นางก็จะเขียนไม่ยาวอยู่แล้ว จดหมายที่มีแค่เพียงข้อความสั้นๆก็พอ
ปากกาขนนกนั้นน้ำหนักเบา แต่กลับให้ความรู้สึกที่หนักอึ้งเมื่ออยู่ในมือของนางในตอนนี้ และยิ่งหนักมากขึ้นเมื่อนางจะจรดปลายปากกาเขียนข้อความลงไปสักประโยคหนึ่ง ในที่สุดแม้จะใช้เวลาอยู่นาน เอเลนก็ยังไมได้เขียนอะไรลงไป จนแสงอาทิตย์แรกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาแล้ว มันทำให้นางถอนหายใจ พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพึมพำ “ใครบางคนที่ทำลายปราสาทซิลเวอร์มูนจะสามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตจากความมืดนี้ได้ไหม? มีอะไรอีกนะ มันผ่านมา 10 ปีแล้ว …”
ในที่สุดเอเลนก็เขียนร่ายคาถาที่พิถีพีถันลงไปบนกระดาษก่อนที่จะใช้ปากกาเขียนชื่อยาวๆลงไป
— กาตอน ไอเซห์ ซาทานิสโตเรีย อาเครอน —
ปากกาเวทย์มนต์สั่นไหวเล็กน้อยในตอนที่นางเขียนชื่อนั้นเสร็จ ปลายของมันส่องแสงสีแดงเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ ทั้งหมดที่เหลือเมื่อเปลวไฟหายไปก็คือ เครื่องหมายที่เกือบจะมองไม่เห็น และเครื่องหมายนั้นจะถูกทำลายได้ก็เฉพาะตอนที่กระดาษล้ำค่านี้ถูกทำลาย ในฐานะอดีตชาแมน นางตระหนักเรื่องของสายเลือดลับเป็นอย่างดี เปลวไฟที่ลุกไหม้เสมือนสื่อให้รู้ว่าชื่อที่ถูกเขียนลงไปมีพลังของเดม่อน เครื่องหมายที่ปรากฎจะเป็นตัวแทนแห่งคำมั่นว่าทุกสิ่งที่นางเขียนลงไปจะไปถึงคนคนนั้นอย่างแน่นอน มันจะข้ามขอบเขตของพื้นที่และเวลาไปได้โดยสมบูรณ์
ปากกาเวทมนตร์หยุดอีกครั้ง มือที่ถือมันสั่น นี่เป็นข้อพิสูจน์อีกเรื่องหนึ่งได้ กาตอนบอกชื่อจริงๆของเขากับนาง แม้ว่านางจะไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ แต่มันก็พิสูจน์ความจริงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก และด้วยข้อได้เปรียบของการรู้นามที่แท้จริงของเดม่อน นางจะสามารถร่ายคำสาปที่รุนแรงใส่เขาได้ แม้ว่าเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเลเจนดารี่ แต่เขาก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายไปได้ นามที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ถือเป็นความลับที่สุดของผู้ที่มีสายเลือดพิเศษบางอย่าง
‘คนโง่นั่นบอกชื่อมาจริงๆด้วย’ ช่วยไม่ได้ที่นางจะคิดแบบนี้ แต่ความคิดนี้ก็ถูกแทนที่ได้ง่ายๆด้วยความทรงจำของป่าขนาดใหญ่ที่ล่มสลาย มือของนางเริ่มเย็น แต่มันก็ไม่ได้สั่นอีก นางใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ในการเขียนคำที่ล้ำค่าลงไป นางลังเลเพียงตอนที่นางต้องเซ็นต์ชื่อลงไป แม้ว่าจะลังเลแต่นางก็ยังเซ็นลงไปอย่างประณีตและงดงาม
— เอเลน่า มูนซอง —
กระดาษถูกเผาไหม้อย่างรุนแรงและเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา ข้อมูลภายในนั้นถูกส่งออกไปแล้ว เมื่อเอเลน่าวางปากกาลง ความกังวลและปัญหาทั้งหมดที่นางเผชิญอยู่ก็ถูกปล่อยวางลงไปพร้อมกัน มันดูสงบเงียบและงดงาม
คอมเม้นต์