นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 10 เริ่มต้นจากจุดสูงสุด
ณ ห้องเรียนขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้ถึง 300 คน ภายในห้องมีเวทีตรงกลาง ด้านบนมีเก้าอี้ตัวใหญ่ดูสะดวกสบายวางตระหง่านอยู่ ส่วนด้านข้างมีเก้าอี้วางขนาบอยู่ดูแออัด บทเรียนแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นภายในห้องนี้ !
เมื่อริชาร์ดก้าวเข้ามาในห้องเรียน เขาก็ถูกสายตานับร้อยดวงจับจ้องมาจนรู้สึกประหม่า ภายในห้องเรียนมีนักเรียนมากมายหลายช่วงอายุ มีตั้งแต่เด็กอายุ 7 ปีไปจนถึงเมจเฒ่าอายุ 80 แต่ละคนต่างพากันจับจองที่นั่งของตัวเองไว้ก่อนแล้ว บทเรียนที่จะเรียนในห้องนี้เป็นวิชากึ่งสาธารณะ เมจที่ทำหน้าที่อยู่ภายในดีพบลูครบ 1 ปีก็สามารถเข้ามาเรียนหรือนั่งฟังบรรยายนี้ได้ ทันทีที่ริชาร์ดนั่งลงบนเก้าอี้ใหญ่กลางเวทีซึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับนักเรียนของชารอน ทุกสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาก็ส่งตรงมาที่เขาอย่างฉับพลัน
นอกจากริชาร์ดแล้ว ในส่วนกลางเวทียังมีเด็กชายและเด็กหญิงที่อายุมากกว่าริชาร์ด 2-3 ปีนั่งอยู่ด้วย ทว่าพวกเขาเป็นเมจระดับ 6 และระดับ 5 แล้ว ริชาร์ดเป็นนักเรียนคนที่ 13 ของชารอน ตอนนี้ นักเรียนของชารอนที่ยังเรียนอยู่ภายในดีพบลูมีอยู่เพียง 3 คนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามเพลนต่างๆ และคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนั้นก็ได้ครอบครองเพลนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ริชาร์ดเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ ประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นร่างของเมจซึ่งมีรูปร่างอ้วนเตี้ยและหัวโล้นขึ้น การมาถึงของเขาทำให้ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าบุคคลผู้นี้คืออาจารย์โพโพวิช ซึ่งเป็นเมจระดับ 16 เขาไม่ได้มีพลังเวทย์ที่โดดเด่นแต่เขามีชื่อเสียงในด้านทฤษฎีโลกเป็นอย่างมาก
รูปร่างหน้าตาของโพโพวิชจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดูไม่ดีสักเท่าใดนัก ด้วยเพราะจมูกกลมโตเทอะทะและคางที่แหลมยาวยื่นประดับอยู่บนใบหน้าของเขานั้นชวนให้น่าขบขันเป็นอันมาก แต่การที่จะเข้าร่วมเรียนวิชานี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่านักเรียนที่อยู่ภายในห้องจึงต้องสงบเสงี่ยมรักษากิริยาไว้ และรอการบรรยายจากอาจารย์โดยไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางใด ๆ ออกมา
โพโพวิชเริ่มกล่าวขึ้นว่า “โลกแห่งเวทมนต์มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริง ตอนที่พวกเจ้ามองดูโลก สิ่งที่พวกเจ้ามองเห็นและได้ยินล้วนไม่ใช่สัจธรรมที่แท้จริง แต่มันเป็นการรับรู้ของเจ้าผ่านภาพที่ฉายอยู่ภายในจิตสำนึกของเจ้า! สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญอะไร ทว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ ดังนั้น ระหว่างโลกที่เรารับรู้ด้วยจิตสำนึกกับโลกแห่งความเป็นจริงจึงมีความต่างกันอยู่ไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้เราจะลดการผิดพลาดได้อย่างไร? วิธีลดการผิดพลาดก็ทำได้โดยพึ่งพาวิธีคิดของพวกเจ้า หรืออธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจได้ง่ายขึ้นคือวิธีคิดของเมจจะส่งผลต่อการมองเห็นโลกใบนั้นว่าเป็นอย่างไรนั่นเอง”
โพโพวิชเงียบอยู่ครู่หนึ่งเพื่อรอให้นักเรียนที่อาจกำลังสับสนได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด รวมถึงเมจที่นั่งอยู่ในห้องเรียนนี้จะได้จดบันทึกเนื้อหาอย่างครบถ้วน หลังจากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า “ในเวลาต่อจากนี้ สิ่งที่ข้าจะไม่สอนพวกเจ้าก็คือการใช้เวทมนต์ระดับ 8 ที่มีพลังกดดันที่แข็งแกร่ง เพราะข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น !”
“….”
ในห้องเรียนเงียบสงัด ไม่มีใครรับมุขหรือเปล่งเสียงหัวเราะออกมาแม้แต่คนเดียว โพโพวิชเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยกมือเกาศีรษะและมองปฏิกิริยาของนักเรียนที่จริงจังเหล่านี้พร้อมกับกล่าวพึมพำว่า “ช่างน่าเบื่อเสียจริง” แล้วเขาจึงกลับเข้าสู่บทเรียนอีกครั้ง “เอาล่ะ เรามาเข้าสู่ประเด็นหลักเลยก็แล้วกัน ข้าจะสอนวิธีคิดให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้ดูถูกเชียว เพราะสิ่งนี้เป็นรากฐานสำคัญของทั้งหมด และจะเป็นตัวตัดสินว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จในโลกแห่งเวทมนตร์มากเพียงใด ความคิดที่ถูกต้องจะนำพาพวกเจ้าเข้าใกล้กับความเป็นจริงของโลกใบนี้ การตัดสินใจที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากพลาดเพียงนิดเดียวพวกเจ้าอาจจะต้องเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นแมลงวันหัวขาด ตัวเลือกที่สำคัญนี้ถูกรวมอยู่ในการทดลองเวทมนตร์หรืออาจจะเกิดขึ้นขณะเลือกใช้คาถาในการต่อสู้ก็เป็นได้
พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเจ้าต้องเริ่มจากจุดเริ่มต้น จงระลึกไว้เสมอว่าต้องเข้าใจโลกใบนี้ก่อน เจ้าจึงจะเข้าใจตัวเอง หากพวกเจ้าทำตัวเหมือน ‘คนบางคน’ ในหอคอยแห่งนี้ที่เห็นว่าตนเองสำคัญที่สุดและไม่สนใจสิ่งใดเลย พวกเจ้าก็จะได้เห็นแต่สิ่งแคบ ๆ และเล็ก ๆ เท่านั้น นกกระจอกจะเปรียบเทียบกับนกอินทรีได้อย่างไรกัน ความคิดเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นความคิดที่โง่เขลา แต่มันจะจำกัดความสำเร็จในอนาคตของพวกเจ้าด้วย !”
หลังจากที่โพโพวิชพูดประชด ‘คนบางคนที่อยู่ภายในหอเวทมนต์แห่งนี้’ แล้ว เขาก็เริ่มบรรยายเนื้อหาอย่างเป็นทางการ “พื้นฐานของทุกสิ่งคือแรงกำเนิด มันเป็นรากฐานของโลก มีบางสิ่งบางอย่างเติบโตอยู่เคียงข้างมัน มันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เรายังไม่สามารถควบคุมได้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเราสามารถใช้เป็นรากฐานได้ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้เป็นรากฐานของโลกของเราเท่านั้น มันยังสามารถใช้สำหรับโลกอื่น ๆ ได้อีกมากมายจนนับไม่ถ้วนด้วย
พลังของกฎทำหน้าที่เป็นโครงกระดูกของโลกและแผ่นดินจำนวนมากก็คือเนื้อหนังของโลก กฎมีความสำคัญมากกว่าแผ่นดินทว่าก็ยังคงต้องใช้เนื้อหนังหรือแผ่นดินของโลกเป็นรากฐานอยู่ดี แต่ละเพลนเป็นศูนย์รวมของกฎต่างๆ ซึ่งอาจจะมีเพียงกฎเดียวหรือหลายกฎก็ได้ ทว่ากฎของเพลนยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้เพลนนั้นมีสถานะที่สูงขึ้นตามไปด้วย เพลนที่สามารถทนกฎที่ซับซ้อนได้เช่นนัวแลนด์ ถือว่าเป็นเพลนที่เหนือกว่าดินแดนอื่นๆ หรือที่เรียกกันว่า ‘เพลนหลัก’
กล่าวมาจนถึงตรงนี้แล้ว พวกเจ้าก็คงจะเข้าใจว่ากฎและเพลนเป็นสิ่งที่คู่กัน หากอยากจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องทำตามกฎที่มี และหากเจ้าทำผิดกฎ ต่อให้เจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด เจ้าก็ต้องถูกลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากพวกเจ้าต้องการเปลี่ยนหรือกำจัดกฎของเพลน พวกเจ้าก็ต้องพร้อมที่จะต่อสู้กับเพลนนั้น!
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่จะสู้กับกฎของเพลนได้คือต้องสู้กับกฎที่เป็นสาขาของกฎพื้นฐานอีกที ซึ่งเราเรียกว่า’กฎอนุพัทธ์’ พวกเจ้ายังพอมีหวังสำหรับสายนี้ ข้าขอย้ำนะ ว่า แค่ยังพอมีหวัง ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้แต่ข้าไม่คาดหวังให้มันเกิดขึ้นกับพวกเจ้า คนที่เข้มแข็งอาจจะคิดท้าทายกฎอนุพัทธ์ของเพลน แต่คนโง่เท่านั้นที่คิดจะแตะต้องกฎพื้นฐาน
กฎของเพลนเป็นตัวตัดสินลักษณะพื้นฐานและระบบพลังงานของเพลนนั้น ๆ ในอนาคตที่อาจเป็นไปได้คืออาจจะมีใครสักคนที่สามารถพิชิตเพลนนั้นได้ และเมื่อถึงเวลานั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการวิเคราะห์กฎอนุพันธ์และระบบพลังงานของเพลน ขอเพียงแค่ทำขั้นตอนนี้ได้ พวกเจ้าก็จะสามารถปรับวิธีการต่อสู้ให้เข้ากับเพลน รวมถึงสามารถจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งานในเพลนได้ ขบวนการนี้มีสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่ง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร ? ”
โพโพวิชหยุดพักจากการอธิบายเพื่อดื่มน้ำ เขายกขวดน้ำเทน้ำบริสุทธิ์ลงคออย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ก่อนจะเปล่งคำพูดออกมาว่า “มังกรนิรันดรยังไงล่ะ!”
“มังกรนิรันดรมีสถานะที่สูงส่งที่สุดเหนือเทพเจ้าทุกองค์ และเหนือกว่าโลกด้วย อีกทั้งยังมีพลังที่เหลือเชื่อและคาดเดาไม่ได้อีกด้วย สถานที่ที่จะสามารถสื่อสารกับมังกรนิรันดรได้คือ ‘วิหารนิรันดร’ ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญที่สุดจากทั้งทวีป ที่ตั้งของวิหารนิรันดรถูกล็อคเอาไว้ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงและไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเวลาและพิกัดสถานที่
วิหารนิรันดรเป็นสถานที่ที่มีอยู่ก่อนเกิดอารยธรรมแรก อารยธรรมเวทมนตร์แห่งทวีปนัวแลนด์นั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากมังกรนิรันดร และยังเป็นแนวทางสำหรับเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอเช่นมนุษย์ที่จะมีความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ด้วยการชี้นำของมังกรนิรันดรทำให้เวทมนตร์ของมนุษย์มีการพัฒนาขึ้นมาจนไม่ด้อยไปกว่าเอลฟ์และโนมส์เลือดมังกรเลย
ผู้ที่รับอิทธิพลจากมังกรนิรันดรไม่ได้มีเพียงจักรวรรดิทั้งสามของมนุษย์เท่านั้น เผ่าพันธุ์อื่นก็รับมาเช่นกัน เมืองหลวงของทั้ง 6 จักรวรรดิในทวีปนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังหรือมรดกจากมังกรนิรันดรทั้งสิ้น
มังกรนิรันดรเป็นสัตว์โบราณที่ตั้งตนอยู่เหนือกฎทั้งปวง มันได้ทิ้งเครื่องหมายไว้บนเพลนจำนวนมาก เมื่อพวกเจ้าเข้าสู่เพลนใหม่ เป้าหมายสูงสุดของพวกเจ้าคือการหาร่องรอยที่มันทิ้งไว้ในเพลนแห่งนั้น ร่องรอยพวกนี้อาจจะเป็นได้ทั้งมังกรตัวเมีย ไข่ หรือแม้แต่มูล ตราบใดที่พวกเจ้าพบร่องรอยของมัน พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจกฎของเพลนได้อย่างแน่นอน ซึ่งมันจะช่วยให้เจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงภายในเพลนแห่งนั้น!
เมื่อเทียบเหล่าทวยเทพกับมังกรนิรันดรแล้ว เหล่าทวยเทพก็ไม่ต่างจากปรสิตที่หลุดพ้นจากกฎของเพลนเท่านั้น เทพพวกนั้นยังคงต้องอยู่ใต้กฎอันน้อยนิดอยู่ดี มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมังกรนิรันดรเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมและอยู่เหนือกฎได้อย่างแท้จริง”
หลังจากการอธิบายอันยาวนาน อยู่ ๆ โพโพวิชก็ได้กล่าวโพล่งขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูสิ โลกใบนี้มันง่ายเหลือเกิน ! เพียงแค่เริ่มจากจุดสูงสุดลงมาสู่จุดล่างสุด” เขากล่าวพร้อมกับความโกรธเคืองที่แสดงออกมาบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้น ท่าทางเช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนกังวลได้ มันราวกับว่าตัวของเขาจะระเบิดเป็นชิ้น ๆ จากธาตุที่ยุ่งเหยิงในอีกไม่กี่วินาที ทว่าเสียงของเขาก็ยังคงดังก้องต่อไป
“จุดกำเนิด, โลก, กฎแห่งเพลนและมานา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนประกอบของทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อพวกเจ้าค้นพบวิธีการคิดที่ถูกต้อง พวกเจ้าจะพบว่าตนเองยืนอยู่บนเขาของมังกรนิรันดรและกำลังก้มลงมองดูเพลนมากมาย และพลังระดับเลเจนดารี่ที่แข็งแกร่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเพียงผงฝุ่นสำหรับพวกเจ้าเท่านั้น ยกเว้นก็แต่ชารอนผู้ยิ่งใหญ่คนเดียว เพราะนางถือเป็นเจ้านายและเป็นคนพิเศษที่อยู่เหนือกว่าสิ่งใด!”
ในที่สุดโพโพวิชก็ยกมือขึ้น เขาลูบมืออ้วน ๆ ของเขาเข้าด้วยกันและกล่าวเน้นย้ำให้เหล่านักเรียนฟังด้วยความตั้งใจว่า “ความคิดเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง !”
คำสอนของโพโพวิชทุกคำที่ริชาร์ดได้ยินล้วนแทรกซึมเข้าไปอยู่ภายในใจราวกับค้อนที่ทำให้เขารู้สึกสับสนมึนงง ไม่ใช่เพราะเสียงที่ดังของเขา แต่เป็นเพราะอาจารย์ผู้นั้นได้ใช้เทคนิคเวทมนตร์ระงับความคิดของนักเรียนด้วยพลังของเขาในฐานะเกรทเมจ
เสียงระฆังดังขึ้นในขณะที่ทุกคนเริ่มฟื้นตัวจากอาการวิงเวียนศีรษะ บทเรียนสำหรับวันนี้ได้จบลงแล้ว “บทเรียนของวันนี้มีเท่านี้ ขอสาปแช่ง ‘ใครบางคน’ ในหอนี้ด้วยเถิด เลิกเรียนได้ !”
เมื่อริชาร์ดกลับมายังห้องพัก เขาก็ไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้เลย ริชาร์ดอ่านหนังสือทุกเล่มที่โพโพวิชสั่งไว้ราวกับกำลังถูกครอบงำ บทเรียนที่เขาได้ร่ำเรียนมาในวันนี้เสมือนกับโพโพวิชได้เปิดประตูบานหนึ่งให้เขาได้เห็นความลับบางอย่างของโลก ความรู้สึกนี้เหมือนกับการได้เปิดคัมภีร์ในห้องใต้หลังคาที่บ้านของเขาครั้งแรก
คอมเม้นต์