นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 25 ฝ่าฟันอุปสรรค
มีเรื่อง ‘เล็กน้อย’ สองเรื่องเกิดขึ้นกับริชาร์ดในช่วงที่ผ่านมา แต่ความเล็กน้อยของมันกลับส่งผลกระทบต่อริชาร์ด ‘ไม่น้อยเลย’ โดยเฉพาะฉากของเอรินที่เดินคู่ไปกับชายอื่น ทว่าตัวเขากลับไม่ได้รับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เช้าวันต่อมา อ่าวโฟลยังคงหลับไหลอยู่เช่นเดิม เมื่อฤดูหนาวมาเยือนความมืดมิดก็ย่างกรายเข้ามาแทนที่แสงสว่างในยามเช้า แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อความสว่างในที่กลางแจ้งเท่าไหร่นัก เพราะพื้นดิน ภูเขา พืชพรรณ และแม่น้ำ ต่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจนแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนไปทั่วทุกพื้นที่ มีเพียงผิวน้ำทะเลในอ่าวโฟลที่ยังคงมีระลอกคลื่นอยู่ซัดกระทบฝั่ง
ริชาร์ดไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เขายืนทอดสายตามองทิวทัศน์ของอ่าวโฟลอยู่ริมหน้าต่างที่มีความสูงเกือบ 10 เมตรอย่างเงียบๆ ริชาร์ดพ่นลมหายใจอย่างแรงครั้งหนึ่งเพื่อปล่อยความอัดอั้นที่อยู่ข้างในออกมา ซึ่งมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกโล่งในจิตใจอย่างแปลกประหลาด แล้วเมื่อใช้ปากสูดอากาศเข้าไปไว้ในร่างกายอย่างสุดแรงอีกครั้ง เขาก็รู้สึกราวกับว่าสามารถบรรจุอากาศทั้งหมดของอ่าวโฟลเขาไปในตัวเขาได้
สองสามฤดูกาลที่ผ่านพ้นไปทิ้งร่องรอยแห่งความมืดมนไว้ในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าความรู้สึกโศกเศร้าเหล่านี้อาจจะติดค้างอยู่ภายในใจของเขาไปอีกนาน หรือมันอาจจะติดตรึงอยู่ภายในใจของเขาไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม
ริชาร์ดกวาดสายตามองดูสิ่งต่างๆรอบตัวเขา สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือความหลากหลายของผู้คนภายในดีพบลูแห่งนี้ อาจารย์ที่เคยสอนบทเรียนต่างๆก่อนหน้านี้ ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในบทบาทของผู้ให้ความรู้ แต่กำลังใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปในฐานะของมนุษย์ เอลฟ์ หรือคนแคระ
อาจารย์เหล่านี้ได้แบ่งปันความรู้ของตนเองเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับ แน่นอนว่าการแสดงออกของพวกเขาย่อมมีความแตกต่างและไม่ได้ดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอย่างที่มันควรจะเป็น เช่น การโบกมือ การขว้างปา การเลิกคิ้วหรือแม้แต่การปรับสายตาของพวกเขา แม้กระทั่งวลีเดียวกันเมื่อพูดในภาษาที่แตกต่างพร้อมกับน้ำเสียงที่แตกต่างกันออกไปก็สามารถสร้างความแตกต่างในด้านของความหมายไปได้โดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ริชาร์ดเข้าใจอาจารย์ผู้สอนวิชาต่างๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขารวบรวมข้อมูลต่างๆในความทรงจำเพื่อทำการเปรียบเทียบ และนั่นทำให้เขาตระหนักว่าคำพูดและท่าทางของอาจารย์ส่วนใหญ่ มักจะซ่อนความหมายโดยนัยเอาไว้เสมอ ซึ่งริชาร์ดยังคงต้องใช้เวลาเพื่อค้นหามัน
อาจารย์ผู้สอนมาจากหลากหลายสาขาวิชาดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก บางสาขาถูกจัดตั้งให้มีความใกล้กันในขณะที่บางสาขาก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยส่วนใหญ่ผู้ที่มาจากสาขาเดียวกันมักจะไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่าไหร่นัก เช่นโพโพวิชและไรลีย์ คำพูดของพวกเขามักจะขัดแย้งกันเองและย้อนแย้งอยู่เสมอ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่มาจากสาขาวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย มักจะเป็นกลุ่มคนที่สนิทสนมกันมากกว่า
เมื่อพิจารณาถึงการค้นพบครั้งใหม่ของเขา ริชาร์ดพบว่ากุญแจสำคัญของความสัมพันธ์เหล่านี้คือการแข่งขัน และสิ่งที่ควบคุมพวกมันคือเหรียญทอง
หลังจากที่ริชาร์ดลืมตาขึ้น การคิดวิเคราะห์ต่างๆทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมวิชาเรขาคณิต คณิตศาสตร์ การวาดภาพและการสร้างวงเวทย์จึงถูกเพิ่มลงในหลักสูตรของเขา นอกจากนี้เขายังค้นพบสถานะใหม่ของเขาที่กำลังจะเกิดขึ้นในฐานะเซนต์รูนมาสเตอร์ในอนาคต
‘มาสเตอร์อยากจะให้ข้าเป็นรูนมาสเตอร์…..’ ริชาร์ดคิดอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กชายที่เติบโตบนภูเขา แต่ความรู้ของเขาก็เปิดกว้างขึ้นหลังจากที่เขาใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีในดีพบลูแห่งนี้ ในตอนนี้เขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาอีกแล้ว เขารู้ดีว่าสถานะของรูนมาสเตอร์จะเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่เขากลับไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแม่ของเขาจึงทำให้เขาเป็นคนที่ไม่แยแสต่อพรสวรรค์พิเศษ หรือความอัปยศอดสูใดๆเลยมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ริชาร์ดก็ไม่อยากจะทำให้ชารอนผิดหวังในตัวเขา เด็กที่เติบโตบนภูเขามักจะมีความทะเยอทะยาน แต่พวกเขาก็มีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองชอบและไม่ชอบ ริชาร์ดเป็นคนเฉลียวฉลาดเพราะความยากลำบากและทุกข์ทรมาน ที่เขาต้องพบเจอในชีวิตทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน และตอนนี้เขารู้ตัวดีว่าตัวเองมีฐานะพิเศษกว่าคนอื่นๆภายในดีพบลู และเขาได้รับรายรับจากความสุขของชารอนในทุกๆเดือน ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่เขาต่างมีนัยยะบางอย่างแอบแฝง ซึ่งมันเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ความปรารถนา และอยากจะฉกฉวยแย่งชิงทุกอย่างของเขา แน่นอนว่าคนเหล่านั้นมักจะแอบมองอยู่เพียงห่างๆ ไม่กล้าแสดงความเกลียดชังหรือท้าทายเขาอย่างเปิดเผย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพาพินเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เขาเป็นแค่ลูกหลานจากตระกูลขุนนางคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าน้ำที่เขาเหยียบย้ำในตอนนั้นมีความลึกเพียงใด
นอกจากนี้ริชาร์ดยังตระหนักว่ามีคนสองคนที่คอยติดตามดูแลเขาจากระยะไกลไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน จึงทำให้ผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นเกิดความเกรงกลัวจนไม่กล้าเผยตัวตนออกมา และในอีกมุมนึงริชาร์ดก็ยังรู้สึกด้วยว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยปกป้องเขาจากอันตรายหลายๆอย่าง เมื่อนึกถึงความปลอดภัยที่เขาได้รับจากชารอน ริชาร์ดก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น ซึ่งนี่คงเป็นความอบอุ่นเดียวที่ริชาร์ดได้รับในช่วงฤดูหนาวนี้…….
โชคดีที่ความสับสนวุ่นวายในใจของริชาร์ดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งริชาร์ดยังค้นพบว่าเวทมนตร์ของเขาก็เกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด การค้นพบครั้งนี้สร้างความมั่นใจให้กับเขามากยิ่งขึ้น
ฤดูหนาวผ่านพ้นไปพร้อมกับฤดูใบไม้ผลิที่ก้าวเข้ามาอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นจากการเรียนที่หนักหน่วงทั้งวันแล้ว ริชาร์ดก็ลากตัวเองกลับยังห้องพักเหมือนกับทุกๆวัน เขาเดินผ่านตุ๊กตาเหล็กที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงมุมห้อง และตระหนักได้ว่าวันเกิดของเขามาถึงอีกครั้งแล้ว
นอกเหนือจากหัวของตุ๊กตาที่ยังคงสภาพเดิมแล้ว ส่วนอื่นๆของมันเสียรูปจนแปลกประหลาด ทำให้แทบจะมองไม่เห็นเค้าโครงเดิมที่มันเคยเป็น นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่ริชาร์ดใช้เออรัพชั่นโจมตีมันจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากตัวตุ๊กตาที่หมดสภาพแล้วกำแพงที่อยู่ใกล้ๆก็เกิดรอยยุบเป็นแนวยาวเช่นเดียวกัน
ริชาร์ดเดินไปใกล้ๆตุ๊กตาเหล็กพร้อมกับใช้มือลูบไปตามรอยบุบบนตัวมันอย่างพิจารณา รอยบุบบางส่วนมีลักษณะเป็นรอยแตกหักของเหล็กที่แหลมคม มันไม่ใช่แค่เพียงร่องรอยของหมัดที่เขาทิ้งเอาไว้ แต่มันมีรอยของข้อศอก ไหล่ เข่า รวมถึงศรีษะของเขาด้วย ซึ่งทุกรอยบุบนั้นจะเต็มไปด้วยรอยของเลือดที่แห้งกรัง
หลังจากได้สัมผัสกับความเจ็บปวดจากปลายนิ้วของเขาและเห็นรอยเลือดแล้ว ริชาร์ดก็เข้าใจทันทีว่า เขาไม่ได้เดียวดายในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ความเจ็บปวดยังคงวนเวียนอยู่กับเขาเสมอ เพียงแต่มันถูกซ่อนไว้ลึกมากจนเขาคิดว่าเขาลืมมันไปแล้ว และเขาได้ใช้เวลาไปกับตัวเองเพื่อข้ามผ่านฤดูกาลนี้ไปอย่างเงียบๆ
หัวของตุ๊กตาเหล็กอยู่ในลักษณะที่สมบูรณ์ พื้นผิวที่สะอาดแวววาวของตุ๊กตาสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งของริชาร์ด รอยร้าวตามตัวของตุ๊กตาเห็นได้อย่างชัดเจนและพร้อมที่จะแตกออกจากกันทุกเมื่อหากถูกเขาใช้แรงซัดมันอีกครั้ง ริชาร์ดยิ้มพร้อมกับตบเข้าที่หน้าของตุ๊กตาเหล็กก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าสู่ห้องนอนของตัวเอง
ตารางเรียนในวันนี้ของริชาร์ดยังคงอัดแน่นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา และหนึ่งในวิชาเหล่านั้นคือวิชาวาดภาพ หลังจากที่ได้ฟังบทเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีศิลปะทั้งหมด นักเรียนจำนวนสิบกว่าคนก็นำภาพร่างของตัวเองที่ถูกวาดอย่างลวกๆส่งให้กับอาจารย์ตามที่ได้รับมอบหมาย ก่อนเดินออกจากห้องไปทีละคน ริชาร์ดเป็นคนสุดท้ายที่ส่งผลงานในมือของตนเอง
ใบหน้าของมาเอสโตรแสดงความยุ่งยากใจอย่างชัดเจนเมื่อเขามองเห็นริชาร์ด ทั้งๆที่ริชาร์ดก็เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น เขามองหน้าเด็กหนุ่มวัยรุ่นตามความคิดของเขาอยู่ชั่วครู่พร้อมกับรับภาพวาดของริชาร์ดมา การพบเจอริชาร์ดในครั้งนี้ สร้างความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจของมาเอสโตรอย่างมากราวกับมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ถูกแช่แข็งกำลังกดทับอยู่ในหัวใจของเขา และความรู้สึกนี้ก็ยากที่จะสะบัดให้หลุดออกไปจากความรู้สึกของเขาได้
มาเอสโตรพยายามทำใจอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจะมองข้ามสิ่งที่เขาไม่ชอบใจในผลงานของริชาร์ด ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขารู้ว่ามันเป็นเพียงภาพวาดเล็กๆ ในกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง 30 เซนติเมตรท่านั้น
มันเป็นภาพวาดทิวทัศน์ของอ่าวโฟลที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเหน็บของฤดูหนาว รูปวาดของริชาร์ดสื่อถึงความงามอันแสนขมขื่นของฤดูหนาว มันเป็นภาพที่ดูอึมครึมแต่กลับมีรายละเอียดที่สวยงามเป็นพิเศษ ในสายตาของมาเอสโตร เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ของริชาร์ดแล้ว ผลงานชิ้นนี้ของเขาถือว่า ‘เป็นปกติ’ มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามพลังที่แฝงอยู่ในทุกลายเส้นก็ยังคงทำให้มาเอสโตรเกิดอาการขนหัวลุกได้อยู่ไม่น้อย และหลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปครั้งหนึ่ง เขาก็สึกถึงสายตาของริชาร์ดที่จับจ้องอยู่กับเขาในทันที
“ภาพวาดนี้ดูสบายตาขึ้นหรือเปล่าครับ?” แม้ว่าริชาร์ดจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเคารพ แต่มันกลับทำให้มาเอสโตรเกิดอาการเย็นวาบขึ้นทันที เขาเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้โดยสัญชาตญาณและเกือบจะสะดุดกับชายเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ เขายกมือขึ้นและชี้ไปยังริชาร์ดด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา “เจ้า….เจ้า……”
ในสายตาของมาเอสโตร ลักษณะท่าทางของริชาร์ดในเวลานี้ดูคล้ายเด็กหัวแข็งที่ค่อนข้างก้าวร้าว รอยยิ้มงดงามที่ถูกฉาบไว้บนใบหน้าคมให้ความรู้สึกเหมือนปีศาจร้ายที่กำลังจ้องจะกลืนกินเหยื่อเข้าไป แต่ไม่ว่าริชาร์ดจะแสดงท่าทีอย่างไร มาเอสโตรก็รู้ดีว่าภายในใจของเด็กหนุ่มผู้นี้คงจะเจ็บปวดมากกว่าที่เขาแสดงออกมาให้เห็น จิตวิญญาณของเขาเหมือนได้จมหายไปในเหวลึกแล้วตลอดกาล! เมื่อเห็นรอยยิ้มที่หายากบนใบหน้าของริชาร์ด เม็ดเหงื่อเย็นๆก็เริ่มไหลซึมทั่วทั้งแผ่นหลังของมาเอสโตร จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกหวาดกลัวกับเด็กชายที่อายุเพียง 12 ปีเช่นนี้!
เมจระดับ 12 สงสัยอย่างมากว่าทำไมริชาร์ดถึงสามารถอ่านใจเขาออก แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป มาเอสโตรสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง เขารู้ดีว่าริชาร์ดยังมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูดออกมา เด็กคนนี้อายุเพียง 12 ปีเท่านั้นแต่มันกลับยากเหลือเกินที่จะเข้าถึงความรู้สึกและตัวตนของเขาได้ ภาพวาดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความบ้าระห่ำทั้งปวงที่เต็มแน่นอยู่ภายในโลกของเด็กผู้ชายคนนี้
จิตรกรผู้ยอดเยี่ยมสูดหายใจเข้าลึก เขาจัดเสื้อผ้าของเขาพร้อมกับปรับท่าทางของตนเองให้กลับมาภูมิฐานสมเป็นอาจารย์อีกครั้งก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม แล้วส่งสัญญาณให้ริชาร์ดนั่งลงเช่นเดียวกัน ทว่าเด็กชายไม่ได้นั่งลงตามการเชื้อเชิญนั้นแต่กลับเลือกที่จะโค้งตัวลงอย่างให้เกียรติ ซึ่งเป็นมารยาทโดยทั่วไปที่อโคไลท์จะปฏิบัติต่ออาจารย์ของพวกเขาในเวลาที่จะขอคำปรึกษาชี้แนะ หลังจากนั้นริชาร์ดก็ถามขึ้นด้วยท่าทางที่มีมารยาทว่า “อาจารย์ ข้าอยากจะรู้เรื่องราวของรูนมาสเตอร์”
มาเอสโตรนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่รูนมาสเตอร์ ข้าเป็นเพียงแค่เมจระดับ 12 เท่านั้น หากเจ้าอยากจะรู้เรื่องพวกนี้ก็จงไปถามแกรนด์เมจเฟย์หรืออาจารย์ฮูรู ทั้งสองคนมีความรู้เกี่ยวกับรูนมากกว่าข้า….”
ยังไม่ทันที่มาเอสโตรจะพูดจนจบประโยค ริชาร์ดก็พูดแทรกขึ้น “ไม่ ข้าไม่ได้มองหาอาจารย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับ ‘การสร้างรูน’ ข้าอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอก ข้าอยากรู้ว่ารูนมาสเตอร์คืออะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง และพวกเขามีความเป็นอยู่อย่างไร ข้าอยากจะรู้ว่ารูนมาสเตอร์คนไหนที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จัก ข้าอยากรู้เรื่องราวชีวิตก่อนที่พวกเขาจะมาเป็นรูนมาสเตอร์ อยากรู้ความสำเร็จก่อนหน้านี้ของพวกเขา อาจารย์เฟย์และอาจารย์ฮูรูใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในดีพบลูและเขาไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในโลกภายนอกเหมือนกับท่าน ท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติของราชวงศ์มนุษย์ทั้งสามจักรวรรดิ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าท่านจะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ”
คำถามของริชาร์ดสร้างความตกใจให้กับมาเอสโตรอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเด็กชายอายุ 12 ปี จึงถามคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทเรียนเช่นนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วเด็กอายุเพียงเท่านี้จะไม่สามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งอย่างที่ริชาร์ดถามเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้มาเอสโตรตั้งถามกลับไป “ทำไมเจ้าถึงอยากรู้เรื่องพวกนี้ ? ”
“ข้าอยากเป็นรูนมาสเตอร์ ดังนั้นข้าจำเป็นต้องรู้ว่ารูนมาสเตอร์มันเป็นยังไง ข้าจะได้รู้ว่าข้าควรจะทำอย่างไรบนเส้นทางสายนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและประวัติของรูนมาสเตอร์ที่ยอดเยี่ยมจะทำให้ข้ารู้ถึงความสำเร็จ รวมทั้งปัญหาที่พวกเขาต้องพบเจอ อย่างน้อยข้าก็จะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของพวกเขา แล้วเอามาปรับใช้กับตัวเอง” ริชาร์ดตอบกลับไป และหลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดเพิ่มเติมว่า “ชีวิตของรูนมาสเตอร์ของโลกอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นๆเห็นหรือเข้าใจก็ได้”
เลือดในกายของเกรทมาสเตอร์เย็นเฉียบขึ้นอีกครั้ง เพราะเขารู้สึกราวกับว่าเด็กคนนี้สามารถอ่านใจของเขาได้…..
และเขาพบว่าในตอนนี้ตนเองไม่สามารถปฎิเสธริชาร์ดได้เลย เขาจึงยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับเด็กชายวัย 12 ปี คนนี้ หลังจากหลายนาทีแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลายอย่างเงียบๆ กับริชาร์ด ผ่านทางภาพวาดของเขาแล้ว มาเอสโตรก็รู้สึกได้ว่าเด็กชายคนนี้แตกต่างจากนักเรียนคนอื่นๆของเขาอย่างสิ้นเชิง
เขาจัดระเบียบความคิดก่อนจะพูดขึ้นช้าๆว่า “เอาล่ะ ก่อนอื่น….ตามความคิดเห็นของข้า รูนมาสเตอร์ไม่ใช่ ‘ผู้สร้างปาฎิหารย์’ แต่เป็น ‘ผู้สร้างฝันร้าย’ เป็นเพราะพวกเขาจึงทำให้เกิดเหล่ารูนไนท์ขึ้นมา พวกเขาสามารถที่จะบดขยี้ป้อมปราการต่างๆ และผ่านภูเขาไปได้ด้วยกีบเหล็กที่อยู่ภายใต้เท้าของพวกเขา การปรากฎตัวของพวกเขาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกและได้สร้างนัวแลนด์ให้ขยายไปสู่เพลนอื่นๆ ถ้าหากไม่มีพวกเขา โลกก็คงจะไม่น่าเศร้าเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตอีกมากมายก็คงจะไม่สูญหายไปตลอดกาล…… ”
“หรือจะพูดอีกอย่างคือรูนมาสเตอร์เป็นผู้สร้างสงคราม” ริชาร์ดพูดแทรกขึ้นมาเพื่อสรุปเนื้อหาที่มาเอสโตรเล่า จิตรกรผู้ยอดเยี่ยมถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างโศกเศร้า
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่….” เขาเริ่มลังเลที่จะพูดสรุปทุกอย่างให้กับริชาร์ด แต่เขาก็พยายามอธิบายเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง หลังจากคิดอยู่นาน มาเอสโตรก็กล่าวออกมาว่า “เอาเถอะ เจ้าพูดถูก มันก็เหมือนกับพวกเลเจนดารี่ที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงถึงราชวงศ์และขุนนางทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในตำแหน่งหรือฐานะอะไร เลเจนดารี่ก็ถือเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด ในทางตรงกันข้าม รูนมาสเตอร์เป็นที่เคารพอย่างสูงเพราะสามารถทำลายประเทศต่างๆได้ กองทหารขนาดเล็กที่มีไนท์จำนวนไม่มากก็สามารถที่จะเอาชนะกองทัพขนาดใหญ่หลายพันคนได้หากในกองทัพของพวกเขามีรูนมาสเตอร์
อืม… มาเริ่มกันที่ลอร์ด โรดานดาร์ เขาเป็นรูนมาสเตอร์คนแรกที่มีความเที่ยงธรรมสูง…..” มาเอสโตรบอกเล่าเรื่องราวของรูนมาสเตอร์ผู้มีชื่อเสียงอย่างกระชับและมีชีวิตชีวา ถึงแม้จะเป็นคำพูดไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้ริชาร์ดรู้สึกว่ารูนมาสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วอย่างน่าทึ่ง
รูนมาสเตอร์ใช้สติปัญญาและความสามารถของพวกเขาในการสร้างกองกำลังรูนไนท์นับไม่ถ้วน ในแต่ละกองทัพจะมีเครื่องหมายของรูนมาสเตอร์อยู่ รูนมาสเตอร์แต่ละคนจะมีการสร้างที่แตกต่างกันออกไปเพราะพวกเขาสามารถแสดงบุคลิกและพรสวรรค์ของพวกเขาตามความประสงค์ รูนมาสเตอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ทิ้งผลงานชิ้นเอกของพวกเขาไว้ เช่นชุดลวงตาของลอมเมน ไนท์แดงเพลิงของริคาร์ดิโม่ หรือจะเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเซนต์ปีเตอร์ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกทำลอกเลียนแบบไปหลายครั้ง แต่ทว่าก็ยังไม่มีใครที่ทำออกมาได้เหนือกว่าต้นแบบ
มาเอสโตรใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการวาดโครงร่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับประวัติของการสร้างรูนออกมา เขาเลือกการวาดเป็นโครงร่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เพราะถ้าหากเขาใช้วิธีการอธิบายอาจจะต้องใช้เวลา 10 วันหรือนานถึง 1 เดือนจึงจะสามารถเล่ารายละเอียดทุกสิ่งอย่างออกมาได้จนหมด
ริชาร์ดพูดขึ้นหลังจากที่มาเอสโตรเล่าจบ “ขอบคุณท่านอาจารย์ คำขอร้องที่สองของข้าคือ อยากจะให้ท่านช่วยแนะนำใครบางคนให้ข้าหน่อยครับ”
จิตรกรผู้ยอดเยี่ยมพยักหน้าตอบรับแล้วพูดขึ้น “ข้ารู้จักคนในดีพบลูเยอะมาก และข้าก็รู้จักกับ ‘คนพิเศษ’ อยู่มาก เจ้าอยากจะให้ข้าแนะนำใครให้เจ้าล่ะ ? สาวงามรึ ? ฮ่าๆๆๆๆ”
คำพูดหยอกล้อของมาเอสโตรไม่ได้ทำให้รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของริชาร์ดแม้แต่น้อย ริชาร์ดก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแววตาที่แน่วแน่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นว่า “ข้ากำลังมองหาใครสักคนที่ช่วยสอนเกี่ยวกับการฆ่าให้กับข้า”
คอมเม้นต์