นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 64 พิชิตสวรรค์ ตอนที่ 1
ริชาร์ดเงยหน้าจ้องมองดาวบนท้องฟ้าก่อนจะตอบกลับไป “แต่ก็ยังมีอาเครอนจำนวนมากที่อายุ 15 แล้วทำเช่นเดียวกับข้าได้ใช่หรือไม่ ?”
มอร์เดร็ดเผลอหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขายื่นมือไปช่วยริชาร์ดลงจากหลังม้าก่อนตบเข้าที่หลังของริชาร์ดเบา ๆ ทว่าสำหรับริชาร์ดแล้ว น้ำหนักมือนั้นมากพอที่จะทำให้เขาหลุดส่งเสียงร้องออกมาเลยทีเดียว “ฮ่า ๆ เจ้าหนุ่ม ! คิดมากเกินไปแล้ว ! มันก็จริงที่อาเครอนจะมีคนอื่น ๆ อีกที่เฉลียวฉลาดในวัยเพียงแค่ 15 แต่พวกเขาก็ทำได้แค่นั้น ในตอนที่มาสเตอร์อายุ 15 เขาดูเหมือนว่าจะเป็นคนโง่เขลาเสียด้วยซ้ำ ในเวลานั้นมีเด็กจำนวนมากที่เก่งกว่าเขา แต่ดูในตอนนี้สิ เขากลายเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในกลุ่มของคนเหล่านั้นไปแล้ว”
ดวงตาของริชาร์ดเบิกกว้างขึ้นก่อนที่เขาจะถามออกมา “ท่านหมายถึงกาตอน อาเครอนงั้นรึ ?”
“ใช่ บิดาของเจ้า” มอร์เดร็ดตอบ
“คือกาตอน อาเครอน จริง ๆ ใช่หรือไม่ ?” ริชาร์ดยังคงถามคำถามเดิม
“ก็ได้ ก็ได้ เขานั่นแหละ” มอร์เดร็ดยักไหล่ก่อนตอบ “อาเครอนเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริง ๆ”
“นั่นหมายความว่ายังไง ?” ริชาร์ดถามด้วยความสงสัย
“ง่ายมาก ตัวอย่างก็เช่นคนอย่างเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าค่อนข้างที่จะโดดเด่นเมื่อเทียบกับเด็กที่มีอายุ 15 ด้วยกัน แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่ออายุ 16 และแน่นอนว่าผู้ที่หัวเราะคนสุดท้ายคือผู้ที่เก่งกาจที่สุด ก่อนอื่น เจ้าต้องมั่นใจว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 16 นะเด็กน้อย ! นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ข้าต้องพาเจ้าผ่านการต่อสู้ตลอดเส้นทาง เพราะเฟาสต์ไม่ได้มีแค่ชื่อเสียงในเรื่องของความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง และผู้หญิงเท่านั้น !”
ก่อนที่ริชาร์ดจะกล่าวอะไรเพิ่มเติม มอร์เดร็ดก็ใช้โอกาสพูดแทรกขึ้นว่า “เอาล่ะเด็กน้อย ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกินและนอนแล้ว และเมื่อตอนนี้เจ้ามีรูนไวทัลลิตี้อยู่กับตัว ฉะนั้น พวกเราต้องเปลี่ยนแผนกันสักหน่อย การเดินทางพรุ่งนี้จะเพิ่มเป็น 700 กิโลเมตรก็แล้วกัน !”
……
วันเวลาผ่านไป ท้องฟ้าก็ได้แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามวัฏจักรของมัน จากเมฆครึ้มก็เปลี่ยนเป็นฝนตก แล้วก็เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าที่แจ่มใสวนอยู่เช่นนั้น เวลา 1 เดือนผ่านไปไวเสียยิ่งกว่าโกหก และในตอนนี้การเดินทางของริชาร์ดก็ใกล้ถึงจุดมุ่งหมายเต็มที
โลกใบนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและอุบัติเหตุก็มักจะเกิดขึ้นกับคนที่เก่งกาจที่สุดเสมอ ทั้งกาตอนและมอร์เดร็ดต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าศัตรูเก่าของตระกูลจะกลับมายับยั้งพวกเขาอีกครั้ง ตลอดระยะทาง เหล่าคนที่พวกเขาพบเจอไม่มีใครเลือกที่จะต่อสู้หรือยั่วโมโหมอร์เดร็ดแม้แต่น้อย คนเหล่านั้นต่างมองมอร์เดร็ดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเต็มใจที่จะหลีกทางให้พวกเขาเดินก้าวเข้าไปในเมืองอย่างง่ายดาย และพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลยเมื่อมองเห็นรูนไนท์ที่ร่างกายเต็มไปด้วยอาวุธผ่านเข้ามา
แม้ว่ามอร์เดร็ดจะเป็นผู้ที่กระหายเลือดและชื่นชอบการสังหาร แต่เขาก็ไม่ใช่พวกอันธพาลที่ไร้ศีลธรรม เขาจะจู่โจมฝ่ายตรงข้ามก่อนได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาส่งยิ้มมาให้ และยิ่งบางคนถึงขั้นเลือกที่จะส่งช่างเหล็กมาตรวจสอบเกือกของลาวาให้เขาหลังจากที่เขาชนเข้ากับรูปปั้นจนเสียหาย ? เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือการมอบถุงเงินให้กับคนเหล่านั้นเป็นการชดเชยรูปปั้นที่เขาทำมันพัง และเพราะเหตุนี้เอง ริชาร์ดจึงไม่ได้เห็นการต่อสู้ใด ๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นเลยตลอดระยะเวลาที่เดินทางมาสู่เฟาสต์ ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะมีการต่อสู้ก็เป็นเพียงแค่การฆ่าเหล่าสัตว์ร้ายที่ซุ่มรออยู่ระหว่างทางเพียงเท่านั้น
ริชาร์ดไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้จนกระทั่งลาวาได้ก้าวเข้ามาสู่ดินแดนของที่ราบนิรันดร ดูเหมือนว่าชื่อเสียง — ไม่สิ ความเลวร้ายของอาเครอนได้ถูกกระจายออกไปจนถึงสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วและคนเหล่านั้นต่างก็ไม่มีใครต้องการเผชิญหน้ากับคนบ้าคลั่งอย่างอาเครอนหากไม่ได้รับผลประโยชน์หรือมีพันธมิตรที่คอยสนับสนุนพวกเขา
ที่ราบนิรันดรเป็นอาณาเขตของเมืองในตำนาน ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้เจออันตรายที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกภายในพื้นที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ที่น่าแปลกคือที่ราบแห่งนี้มีเส้นขอบฟ้าทอดยาวขึ้นสู่ท้องฟ้าในระยะที่ไกลกว่าที่ริชาร์ดเคยเห็นมาก่อนในชีวิตของเขา ที่ราบสูงถูกตกแต่งด้วยก้อนหินออบซิเดียนและมีหญ้าที่ขึ้นมาตามรอยแตกของภูเขา ดอกไม้หลากหลายสีสันขึ้นประดับอยู่ทั่ว ซึ่งสีสันที่เกิดขึ้นนี้สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อย
ริชาร์ดหยุดม้าของเขาก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ลมแรง ๆ พัดผ่านเขาไปจนทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ทว่าสิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบกับการหายใจของเขาคือทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ภาพตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำให้เขามองเห็นที่ราบทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกัน
พื้นที่ทั้งหมดของที่ราบนิรันดรไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เส้นรอบวงของมันมีเพียง 100 กิโลเมตรเท่านั้นทว่าสำหรับนัวแลนด์แล้ว ที่แห่งนี้เป็นเหมือนพื้นที่ขนาดมหึมา ถึงแม้ในความเป็นจริงมันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากก็ตามแต่มันก็ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดได้ในคราวเดียว ภาพทั้งหมดสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับริชาร์ดมากซะจนเขามั่นใจว่าความสวยงามภายในนี้จะต้องตรึงตาตรึงใจจนทำให้ผู้คนที่เข้ามาพบเห็นต้องตกตะลึงจนหายใจติดขัดเช่นเดียวกับเขาอย่างแน่นอน
นอกจากนี้แล้ว ภายในพื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยพลัง แม้แต่ริชาร์ดผู้ที่คุ้นชินกับการมองเห็นพื้นที่ที่มีความกว้างกว่า 1,000 ตารางเมตรอย่างดีพบลูก็ยังต้องตกตะลึงกับทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเริ่มบังคับตัวเองให้หยุดหลงไหลไปกับทิวทัศน์เหล่านี้ก่อนกลั้นหายใจและมองไปยังยอดภูเขาที่มีลักษณะคล้ายกับเสาสีแดงเพลิง วิสัยทัศน์เหล่านี้ดูเหมือนว่าจะกว้างเกินไปจนทำให้ภาพทิวทัศน์ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก และเนื่องจากตัวเลขที่อธิบายจุดสูงสุดสีแดงของยอดเขาที่อยู่ภายในใจของเขาไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเห็น จึงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างผิดพลาดจนทำให้เขาแทบเสียสติ !
เคยมีการเล่าขานกันว่าผู้ที่เดินทางมายังที่ราบนิรันดรที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกจะได้รับพร คนเหล่านั้นจะได้รับความสามารถในการมองเห็นทุกซอกทุกมุมภายในที่ราบ ตอนนี้ริชาร์ดได้รับรู้แล้วว่าตำนานที่ถูกเล่าขานกันนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าพรที่เขาได้รับจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่เขาคิดไว้ แต่มันก็สร้างความตื่นเต้นให้กับเขาไม่น้อยเลย
จุดสูงสุดที่เป็นสีแดงซึ่งอยู่ภายในเฟาสต์ เป็นจุดที่สูงจนน่าอัศจรรย์ ภูเขาลูกนี้ถูกรายล้อมไปด้วยเส้นบาง ๆ ที่แทบจะไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า นั่นเป็นทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาและยอดเขานั้นก็ซ่อนตัวอยู่เหนือก้อนเมฆ ! มีเมฆหนาแน่นกำลังปกคลุมยอดเขาอยู่ ลักษณะของมันเต็มไปด้วยความขาวบริสุทธิ์ การเคลื่อนไหวของมันเป็นไปอย่างช้า ๆ และสง่างามราวกับมีชีวิต และมันก็ไม่เกิดการสั่นไหวจากแรงลมที่ปะทะเข้ามาด้วยเช่นกัน
ริชาร์ดมองเห็นอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ภายในเมฆที่รวมตัวกันอยู่บนนั้น เขารีบขยี้ตาก่อนจ้องมองมันอีกครั้งอย่างตั้งใจ และในที่สุดเขาก็มองเห็นมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นเกาะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ! บนนั้นมีภูเขา ลำธาร และพืชพรรณมากมาย และนอกจากธรรมชาติเหล่านั้นเขายังมองเห็นตึกที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของมันเองอีกด้วย
“นั่น… นั่นมัน…” ริชาร์ดถึงกับอึ้งขณะชี้ไปยังเกาะที่ลอยอยู่เหนือเมฆ
“อ้อ ที่นั่นคือ ‘เกาะลอยฟ้า’ มันเป็นสถานที่ที่ตระกูลทั้ง 14 ที่ได้รับการยินยอมจากเฟาสต์อาศัยอยู่ ตอนที่ข้าเห็นมันครั้งแรก ข้าเองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน แต่เมื่อตอนที่ข้าได้ร่วมต่อสู้กับบิดาของเจ้าภายในเฟาสต์โดยที่เราต้องอดหลับอดนอนกันเป็นเวลากว่า 6 เดือน ข้าก็แทบจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าข้าต้องเจอกับการต่อสู้มามากมายเพียงใดหรือแม้แต่ใครบ้างที่ถูกข้าฆ่า และข้าข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าพวกเขาล้มตายไปมากน้อยแค่ไหน เมื่อเรามาถึงที่ราบนิรันดรข้าก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงทันที ในเวลานั้นข้าต้องการพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกายของตัวเองจนแทบไม่ได้สนใจที่จะชื่นชมความงามเหล่านี้เลย แต่ยังไงซะตอนนี้เราก็มาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเราก็จะต้องได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าคำพูดของมอร์เดร็ดจะดูเหมือนเป็นคำพูดเรียบ ๆ ที่ไม่ได้มีอะไร ทว่าภายใต้น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความต้องการที่ครอบงำอยู่จนทำให้ผู้ฟังรับรู้ความปรารถนาของเขาได้อย่างชัดเจน
คอมเม้นต์