นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 1 ตอนที่ 117 หลังฉาก ตอนที่ 2
“ลงมือ ?” แดชเชอร์มองไปที่ดยุกด้วยสีหน้าดูถูกก่อนจะกล่าวว่า “ลงมือยังไง ? ริชาร์ดเดินทางออกจากเฟาสต์ไปเป็นอาทิตย์แล้ว และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปที่ไหน แต่เขาจะต้องเดินทางไปยังเพลนอื่นอย่างแน่นอน และอย่าฝันเลยว่าจะได้รับพิกัดที่เขาอยู่ในเร็ว ๆ นี้ ไฮพรีสเทสเฟอร์ลินเองก็ส่งรุ่งอรุณให้เดินทางไปกับริชาร์ดด้วย ! ท่านคิดว่าเราจะสามารถหาสถานที่ที่พวกเขาไปได้จากวิหารแห่งมังกรนิรันดรงั้นหรือ ?”
“ริชาร์ดและโฟลว์แซนด์… เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างเลยรึ ?” เรย์มอนด์ถามก่อนจะยิ้มออกมา ในเวลานี้เขาไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจทว่ากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
แดชเชอร์มีสีหน้าหม่นลงเพราะในเวลานี้เขารู้สึกไม่พอใจท่าทางของเรย์มอนด์เท่าไหร่นัก แม้ว่าทั้งคู่จะสามารถครอบครองเกาะชั้นเดียวกัน ทว่าเวลลิงตันนั้นแข็งแกร่งกว่าโจเซฟอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในความเป็นจริงตระกูลโจเซฟต้องสูญเสียอำนาจไปเพียงเพราะว่าสงครามที่เกิดขึ้นกับอาเครอน
เรย์มอนด์ไม่ปล่อยให้ทุกคนคาดเดาอีกต่อไป “ริชาร์ดและโฟลว์แซนด์ออกเดินทางไปด้วยกัน นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องเดินทางไปยังเพลนระดับต่ำอยู่แล้ว และแน่นอนว่าทีมของพวกเขาที่เดินทางไปด้วยกันนั้นคงจะเป็นพวกที่อยู่ในระดับไม่เกิน 10 อย่างแน่นอน เราไม่จำเป็นที่จะต้องเสาะหาข้อมูลจากกาตอนหรือวิหารหรอก และเราก็ไม่จำเป็นต้องหาพิกัดเหล่านั้นด้วยตราบใดที่พวกเราสามารถเปลี่ยนตำแหน่งเพลนที่พวกเขาจะไปได้ แผนการของพวกเราก็จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ”
“เจ้าหมายความว่า… ?” ดวงตาของแดชเชอร์หรี่ลงและดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ชื่นชอบเรย์มอนด์อีกต่อไป
เรย์มอนด์ตอบกลับไปในทันที “ง่ายมาก เราก็แค่จัดพิธีของเราขึ้นมาเองโดยการขอพรเพื่อเปลี่ยนพิกัดของริชาร์ด เปลี่ยนให้กลายเป็นเพลนระดับกลางที่ต้องใช้คนที่มีความสามารถระดับ 18 เป็นอย่างน้อยถึงจะสามารถยึดครองได้ ! หลังจากนั้นพวกเราก็จะได้รู้พิกัดเพลนใหม่นั้นและเราก็แค่ส่งคนของเราออกไปแย่งชิงทรัพยากรที่นั่น นอกจากพวกเราจะได้ทรัพยากรเหล่านั้นแล้ว เรายังสามารถฆ่าริชาร์ดได้ในเวลาเดียวกัน กฎอนุญาตให้พวกเราส่งคนที่อยู่ระดับ 15 ไปได้โดยที่มันจะไม่มีผลกระทบกับทรัพยากรภายในนั้นเลย อีกอย่าง ด้วยวิธีนี้ เราก็สามารถหลบหลีกความสนใจจากตระกูลอาเครอนได้ด้วย ถ้าเราส่งคนที่อยู่ระดับสูงกว่าไปกำจัดพวกริชาร์ดที่นั่น เราก็จะได้เปรียบทีมของริชาร์ดได้ไม่ยาก”
ดยุกเมนซ่าไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เป็นความคิดที่ดี แต่นี่มันผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว… เราจะทันหรือ ?” การสังเวยนั้นสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
เรย์มอนด์รีบกล่าวเสริมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ในเวลานี้เขาคงเตรียมตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เราจับตามองอาเครอนอยู่ตลอด และริชาร์ดก็ไม่ได้มีทรัพยากรในการเดินทางที่มากพอก่อนที่พิธีกรรมของพวกเราจะเกิดขึ้น ดังนั้น เราจะต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะไม่ทันการ”
ความมั่นใจของเรย์มอนด์ทำให้ตัวแทนของตระกูลอื่น ๆ ต่างเปลี่ยนพฤติกรรมออกไปจากเดิม เพราะสำหรับการสอดแนมของโจเซฟที่มีต่อตระกูลอาเครอนนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“แต่พรของริชาร์ดนั้นไม่ธรรมดาเลย ครั้งนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องหาของสังเวยถึง 3 เท่า” ดยุกเมนซ่าเอ่ย
“เราสามารถทำมันได้หากพวกเราทุกคนในที่นี้ร่วมมือกัน” แดชเชอร์แทรกขึ้นมาก่อนที่เขาจะหันไปหาตัวแทนของตระกูลชัมปีเตอร์และขมวดคิ้ว “แล้วพวกเจ้า…”
ตระกูลชัมปีเตอร์เพิ่งมีการจัดพิธีกรรมไปเมื่อสองสามเดือนก่อนหน้านี้ และพลังอำนาจของพวกเขาก็เพิ่งจะลดลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไม่มีของดี ๆ สะสมไว้ในชั้นใต้ดินอีกต่อไป และหากพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในที่แห่งนี้ พวกเขาก็คงจะถูกเตะให้ออกไปจากภารกิจนี้อย่างแน่นอน
เมื่อสายตาของแดชเชอร์มองข้ามพวกเขาไป ตัวแทนของชัมปีเตอร์ก็กัดฟันก่อนจะพูดออกมา “งั้นปล่อยเด็กนั่นให้เป็นหน้าที่พวกข้าก็แล้วกัน หลังจากที่ฆ่าเขาได้แล้ว ข้าจะแบ่งทรัพยากรจากเพลนใหม่ให้เท่า ๆ กันและแบ่งให้ทุกตระกูลภายในนี้”
“งานนี้ไม่ง่ายเลย” แดชเชอร์ไม่ได้สนใจชายผู้นั้นขณะถามคำถาม “แล้วใครจะเป็นคนออกเดินทางไปเพลนที่เรากำลังจะเปลี่ยนเพื่อไปจัดการกับริชาร์ด ?”
ตัวแทนของชัมปีเตอร์กัดฟันพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ซินแคลร์ !”
“ดีเลย งั้นตกลงตามนี้ !” ในเวลานี้ดูเหมือนว่าแดชเชอร์จะพึงพอใจกับข้อสรุปนี้อย่างมากก่อนที่เขาจะหันไปถกเถียงกับอีก 2 คนที่เหลือเกี่ยวกับพิธีสังเวยที่จะเกิดขึ้น
ในค่ำคืนนั้นดยุกเมนซ่าได้นำกองกำลังไนท์เดินทางไปยังวิหารแห่งมังกรนิรนดรก่อนที่จะเริ่มพิธีกรรมเพื่อขอรับพร ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเป็นการจัดเตรียมพิธีที่เร่งรีบและมีคุณภาพต่ำจึงทำให้เฟอร์ลินไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ภายในที่แห่งนี้แต่กลับเป็นนักบวชคนอื่นที่มารับหน้าที่แทน
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น แสงภายในวิหารก็สว่างไสว พลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้เกิดขึ้นภายในความว่างเปล่าซึ่งนั่นทำให้เห็นว่านี่เป็นพิธีระดับสูงสุดที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้น้อยมากและผลตอบรับที่ดีก็สร้างความสุขให้กับนักบวชผู้นั้นจนนางแทบจะเป็นลม เพราะปกติแล้วพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มักจะไม่ได้ตกมาถึงมือของนาง และหลังจากที่พิธีเสร็จสิ้นลง นางก็ได้ส่งดยุกออกจากวิหารด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นกว่าปกติ
พิธีกรรมที่เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงของกลุ่มชนชั้นสูงภายในไม่กี่อาทิตย์ เหล่าสหายของดยุกก็ทยอยกันมาเยี่ยมเยียนเขาเพื่อแสดงความยินดี คนเหล่านั้นต่างเชื่อว่าพรที่เขาได้รับจะต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ หรือบางทีอาจจะเป็นพรที่ทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับการคุกคามของอาเครอนอีกต่อไป
แต่ในทุก ๆ ครั้งดยุกเมนซ่าก็มักกล่าวเพียงคำขอบคุณเท่านั้นโดยที่เขาไม่ได้เปิดปากพูดถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นภายในพิธีกรรมเลยแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะปล่อยให้ ‘สหายสนิท’ ของเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขาคิดโดยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
……
ในฝั่งของริชาร์ด พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นภายในเฟาสต์เลย พวกเขายังอยู่ในช่วงก่อนออกเดินทาง และในคืนสุดท้าย พวกเขาได้จัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ของวันก็ตกลงสู่เส้นขอบฟ้าอีกครั้ง
ลีน่าได้เตรียมวงเวทย์เรียบร้อยแล้วและมันก็อยู่ในช่วงรอเปิดใช้งาน นางยังคงใช้ความระมัดระวังทุกขั้นตอนในการทำเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นกับพิกัด แต่ริชาร์ดก็ตรวจสอบอีกครั้งก่อนที่เขาจะตัดสินใจใช้เทเลพอร์ตเพื่อเดินทางออกไป
ในตอนนี้ผู้ที่อยู่ในทีมของเขามีโฟลว์แซนด์ วอเตอร์ฟลาวเวอร์ แกงดอร์ โอเกอร์ 2 ตน โอล่า และกลุ่มทหารกลุ่มเล็ก ๆ ที่ได้รับจากอาเครอนก่อนหน้านี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าริชาร์ด โฟลว์แซนด์ และวอเตอร์ฟลาวเวอร์จะมีอุปกรณ์ระดับสูง ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไม่ต้องใช้พลังในการเทเลพอร์ตเข้าช่วย นอกเหนือจากตัวพวกเขาเองและอุปกรณ์แล้วก็ยังมีสิ่งของที่ไว้ใช้สำหรับการสร้างรูนถูกบรรจุอยู่ภายในกล่องขนาดใหญ่ 2 ใบที่ถูกนำไปด้วย
เมื่อลีน่าตรวจสอบทุกอย่างว่าเป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว นางก็เปิดใช้งานวงเวทย์เทเลพอร์ตทันที ทันใดนั้นมานาก็พุ่งออกมาจากคริสตัลที่ถูกวางอยู่บนวงเวทย์อย่างรวดเร็ว พลังที่ถูกส่งออกมาอย่างรุนแรงนั้นทำให้เกิดรอยแยกที่มั่นคงขึ้นตรงบริเวณวงเวทย์ ผ่านไปครู่หนึ่งมันก็ถูกแปรรูปให้กลายเป็นประตูมิติที่พร้อมสำหรับส่งพวกเขาไปยังที่แห่งอื่น
เหล่าทหารเดินไปยังประตูมิติเป็นกลุ่มแรกก่อนที่จะตามมาด้วยแกงดอร์ โอเกอร์ และคนอื่น ๆ ที่เหลือ หลังจากที่โฟลว์แซนด์ได้ก้าวเท้าเข้าไปแล้ว ริชาร์ดคือคนที่หลงเหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย
“รอก่อน !” จู่ ๆ ลีน่าที่กำลังมองดูทุกคนเดินเข้าไปยังประตูมิติก็เปล่งเสียงร้องออกมาก่อนจะกล่าวว่า “โชคดีนะ ริชาร์ด !”
“ขอบใจ !” ริชาร์ดยิ้มให้และยื่นมือให้นางจับเพื่อเป็นการร่ำลา ทว่าดราก้อนเมจกลับมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้กับเขาแทน อ้อมกอดที่ได้รับนั้นหนักแน่นพอที่จะทำให้ริชาร์ดรับรู้ถึงสัดส่วนร่างกายของนางที่แนบทับกับร่างของเขา ทว่าเขาก็ได้รับรู้ถึงความกังวลใจที่นางมีต่อเขาอย่างแท้จริง ริชาร์ดเดินกลับไปที่ประตูมิติ และก่อนที่เขาจะหายไป เขาก็หันกลับมาโบกมือลาและทิ้งท้ายว่า “ข้าจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน !”
นี่เป็นคำพูดปกติของชาวนัวแลนด์ที่ต้องเริ่มออกเดินทางไปที่อื่น ประตูมิติเป็นเหมือนกับกระจก ทว่าเพียงแค่แวบเดียวคนที่อยู่ในนั้นก็จะถูกส่งไปยังโลกอื่นทันที ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรในสถานที่ที่พวกเขากำลังจะเดินทางไป และก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกเช่นกันว่าพวกเขาจะสามารถลงหลักปักฐานในเพลนแห่งนั้นและครอบครองทรัพยากรต่าง ๆ รวมถึงมีชีวิตรอดกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่ หลังจากที่ริชาร์ดเดินทางออกไปยังเพลนอื่นแล้ว มีความเป็นไปได้เพียง 2 ทาง คือ เขาสามารถกลับมาเหยียบบนพื้นทวีปนัวแลนด์ได้อีกครั้ง หรือ เขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
เมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มหายไปพร้อมประตูมิติ ลีน่าก็รู้สึกใจหายจนอยากจะร้องไห้ออกมา ไม่ใช่เพราะริชาร์ดมีความพิเศษสำหรับนาง ทว่าเป็นเพราะฉากตรงหน้าทำให้นางนึกย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดราก้อนเมจอย่างนางต้องติดตั้งประตูมิติเพื่อส่งคนไปยังเพลนอื่น ก่อนหน้านี้นางก็ได้ผ่านการติดตั้งประตูมิติเพื่อส่งคนอื่น ๆ ให้ออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง สมาชิกในครอบครัวของนางเอง สหาย หรือแม้แต่คนรัก ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่กล้าหาญ เด็ดขาด เฉลียวฉลาด และเป็นผู้ที่โดดเด่นอย่างมากในช่วงเวลานั้น
— ทว่ามีจำนวนไม่น้อยที่หลังจากที่พวกเขาเดินทางออกไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย… —
คอมเม้นต์