นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 2 ตอนที่ 122 การทำลายล้าง ตอนที่ 2
การใช้คาถาธรรมดาทั่วไปไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาได้เลย หากปรากฎการณ์นี้เป็นผลมาจากการใช้คาถาแบนชีสครีมจะต้องมีศพของเหยื่อหลงเหลืออยู่ด้วย แต่หากเป็นเพราะความขัดข้องในระหว่างการข้ามประตูมิติก็จะต้องส่งผลกระทบต่อเสื้อผ้าซึ่งจะทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้บ้าง และทั้งคาถาแบนชีสครีมและความขัดข้องของการข้ามมิติจะต้องทิ้งคราบของผงฝุ่นสีขาวเทาที่กำจัดออกไปได้ยากเหลือไว้ให้เห็น หรือแม้แต่คาถาในระดับเลเจนดารี่ อย่างเช่นแวมไพร์เอมเบรสก็จะต้องทิ้งซากศพแห้ง ๆ คล้ายซากมัมมี่เหลือเอาไว้ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นมันไม่ได้ตรงกับแบบไหนเลย
โฟลว์แซนด์เดินตรงเข้าไปใกล้ประภาคารแห่งกาลเวลา และใช้ฝ่ามือสัมผัสบนอักขระที่ถูกสลักไว้บนตัวหอคอย นางขยายประสาทสัมผัสอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “พลังแห่งกาลเวลาหมดไปแล้ว และด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้ก็ไม่มีทางที่ข้าจะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่ได้ เปลวไฟแห่งกาลเวลาก็ดับไปแล้วเช่นกัน …มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบ่งบอกพิกัดของนัวแลนด์ …หากไม่มีเปลวไฟแห่งกาลเวลาเราก็จะกลับไปที่นัวแลนด์ไม่ได้และคนที่อยู่ที่นัวแลนด์ก็จะไม่สามารถติดตามค้นหาตำแหน่งของเราได้เช่นเดียวกัน”
“นี่พวกเราหลงทางซะแล้วรึ !?” โอล่าแผดเสียงดังด้วยความตกใจ หากพวกเขาหลงอยู่ในห้วงแห่งมิติเวลา ชะตากรรมเดียวที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงแค่ความตาย
“มันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย ! อย่างน้อยพวกเราก็มาถึงเพลนนี้แล้วและทุกคนก็ยังอยู่กันครบ!” แกงดอร์ตะคอกกลับ
แม้ว่าสิ่งที่แกงดอร์พูดจะถูกต้อง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างย่ำแย่เพราะการสูญเสียพิกัดในเพลนไปนั้นหมายความว่าพวกเขาต้องติดอยู่ที่เพลนประหลาดนี้และไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนานเพียงใด นี่มันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการถูกเนรเทศให้ออกจากนัวแลนด์เลยด้วยซ้ำ
เรื่องดีเรื่องเดียวเท่าที่พวกเขาสัมผัสได้ในตอนนี้ก็คือลักษณะภูมิประเทศและสิ่งมีชีวิตในเพลนแห่งนี้คล้ายคลึงกับนัวแลนด์ ดังนั้นการรวบรวมทรัพยากรเพื่อเอาตัวรอดก็น่าจะทำได้ค่อนข้างง่าย ถ้าหากว่าพวกเขาถูกส่งไปโผล่ใน ‘เพลนองค์ประกอบธาตุ’ หรือสถานที่อย่าง ‘อบิส’ หรือ ‘นรก’ การมีชีวิตรอดของพวกเขาก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่แสนจะยากลำบาก โชคยังดีที่ดูเหมือนว่าภายในฐานแห่งนี้จะมีเสบียงพื้นฐานที่ครบถ้วน รวมถึงมีอาวุธและชุดเกราะจำนวนมากหลงเหลือไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีปริมาณมากเพียงพอที่จะเลี้ยงปากท้องและจัดเตรียมให้กับนักรบหลายร้อยคนในกองทัพขนาดย่อม ๆ ได้เป็นเวลานานหลายเดือน
ทันใดนั้น น้ำเสียงประหลาดใจของทีรามิสุก็ดังขึ้นจากภายในโรงอาหาร “เฮ้ ! สเต๊กนี่มันดูแปลก ๆ เหมือนจะอร่อยแต่มันก็ดูเหมือนมีอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว อี๋ ! ข้าไม่กล้ากินหรอก”
“เอามาให้ข้านี่ ข้าหิว! แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามันถูกย่างมาอย่างดี” มีเดียมแรร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความคลั่งไคล้
“เอาไปให้แม่สาวน้อยโฟลว์แซนด์ตรวจดูก่อนเถอะ ข้าว่ามันมีอะไรแปลก ๆ !” ทีรามิสุพูดขัด
โอเกอร์ที่โต้เถียงกันอยู่หาทางเบียดตัวออกจากโรงอาหาร เนื้อหนา ๆ บนร่างกายใหญ่โตของพวกมันบดเบียดกับกรอบประตูอยู่สองสามครั้งก่อนที่พวกมันจะสามารถพาร่างมหึมาผ่านออกไปได้ ส่วนเรื่องที่ว่าพวกมันผ่านเข้าประตูมาได้ยังไงนั้นก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
ทีรามิสุถือสเต๊กเนื้อแกะทั้งชิ้นไว้ในมือซึ่งดูคล้ายกับว่ามันเพิ่งออกมาจากกระทะหมาด ๆ โดยมีสายตาของมีเดียมแรร์คอยจับจ้องอยู่และกำลังกลืนน้ำลายอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของมีเดียมแรร์ในตอนนี้สมควรที่จะถูกยกให้เป็นมาสเตอร์แห่งมารยาทสำหรับโอเกอร์ได้เลยเพราะมันสามารถยับยั้งตัวเองไม่ให้น้ำลายไหลออกมาได้แม้ในขณะที่กำลังหิวโหยอย่างหนัก
ร่างกายของโฟลว์แซนด์ดูเปราะบางราวกับต้นอ้อลู่ลมเมื่อต้องยืนอยู่ต่อหน้าโอเกอร์ร่างสูงกว่า 2 เมตรครึ่งทั้งสองคนนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรโอเกอร์ทั้งสองก็ให้ความเคารพนางอย่างถึงที่สุดและเป็นรองก็แต่เพียงริชาร์ดคนเดียวเท่านั้น ทีรามิสุนั่งหมอบกับพื้นและก้มตัวลงอย่างยากลำบากเพื่อยื่นสเต๊กชิ้นนั้นให้โฟลว์แซนด์ตรวจสอบได้อย่างง่าย ๆ
เคลริคสาวร่ายคาถาออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปล่งเสียงร่ายคาถาต่อหน้าริชาร์ด แสงสีทองปรากฏขึ้นจากปลายนิ้วของนางแล้วเปลี่ยนเป็นเม็ดทรายเล็กละเอียดตกลงบนผิวของเนื้อส่งผลให้ผิวของสเต๊กชิ้นนั้นเกิดแสงสีทองเปล่งออกมา ซึ่งแสงสีทองที่เกิดขึ้นนั้นมีความเข้มอ่อนแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนของชิ้นเนื้อ บางส่วนเป็นสีดำทึบขณะที่บางส่วนส่องแสงสีทองเข้มออกมา แสงเหล่านั้นเกิดจากการที่เม็ดทรายแห่งกาลเวลาไหลเข้ามารวมตัวกัน พวกมันไหลเข้าไปรวมกันมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ และในตอนนั้นเองพวกมันบางส่วนก็ไม่สามารถยึดเหนี่ยวพลังงานแสงเอาไว้ได้อีก จนทำให้เกิดเป็นแสงสีทองเปล่งประกายพุ่งออกไปยังท้องฟ้าคล้ายน้ำพุสีทองในที่สุด
สีหน้าของโฟลว์แซนด์เคร่งขรึมขึ้น นางสั่งให้ทีรามิสุวางสเต๊กเนื้อแกะนั้นลงบนพื้น “มีเศษเสี้ยวที่ผิดปกติของพลังแห่งกาลเวลาหลงเหลืออยู่ …เหมือนกับพลังนั้นถูกกัดเซาะไปตามกาลเวลา แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรเนื้อนี้ถึงยังไม่เน่าเสียหรือสลายหายไป เท่าที่เห็นถึงจะมีบางส่วนที่ยังใหม่อยู่แต่ส่วนที่เหลืออีกหลายส่วนกลับเก่าแก่และมีอายุมานานหลายพันปี ถ้าใครกินสเต๊กชิ้นนี้เข้าไปอวัยวะภายในบางส่วนก็จะแก่และเสื่อมถอยลงไปเป็นพันปีในพริบตา และเจ้าก็น่าจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง”
ทีรามิสุเหงื่อแตกพลั่ก มันรีบก้มมองมือของตนเอง และเมื่อพบว่ามือยังไม่ได้แสดงอาการแปลก ๆ ออกมามันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตรงกันข้ามขาทั้งสองของมีเดียมแรร์กลับสั่นเทาและทำให้มันทรุดลงกับพื้นในทันที มันไม่เคยคิดเลยว่าสเต๊กที่ดูน่าอร่อยมากขนาดนี้จะมีอันตรายซ่อนอยู่ด้วย
ริชาร์ดยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ อยู่ทางด้านข้าง เขาเลือกที่จะพูดขึ้นเมื่อได้ฟังโฟลว์แซนด์พูดสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึ ? ที่ฐานนี้มันผิดปกติมากเกินไปแล้ว เหล่าทหารที่ซุ่มโจมตีพวกเราก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่ระดับ 4 หรือ 5 ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยสำหรับมาตรฐานของนัวแลนด์ ไนท์โคโจเองก็เป็นถึงวอริเออร์ระดับ 12 ถ้าหากว่าที่นี่เป็นเพลนระดับต่ำจริง แล้ววอริเออร์ระดับ 12 ที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะนำทัพทหารไม่ถึงร้อยคนในการต่อสู้ได้ยังไงกัน ?”
โฟลว์แซนด์เงยหน้าขึ้นมองและรอให้ริชาร์ดพูดต่อไป
ริชาร์ดจึงพูดต่อไปด้วยท่าทีสงบ “หากข้าเดาไม่ผิด พวกเรากำลังอยู่ในเพลนระดับกลาง พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของที่นี่อาจเป็นถึงสิ่งมีชีวิตระดับเลเจนดารี่ และหากดูจากพลังของโคโจแล้ว ที่นี่ต้องไม่ใช่จุดหมายปลายทางดั้งเดิมของเราแน่ ๆ”
“ข้าก็ไม่รู้ก็ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราเบี่ยงเบนออกจากจุดหมายปลายทางอย่างชัดเจนระหว่างที่เรากำลังข้ามมิติเทเลพอร์ต และฐานที่เชื่อมต่อกับพวกเราในตอนแรกก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นที่นี่แทน ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจึงถูกพามาที่นี่ด้วย ถ้าหากไม่มีแนวการป้องกันที่เหมาะสม ฐานนี้ก็ไม่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ทันการ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจึงหายตัวไป ซึ่งมันก็ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เราพบ ‘ทุกคนในฐานจะหายไปราวกับถูกเทเลพอร์ตไปที่อื่น’ นั่นคือเหตุผลที่มีชุดเกราะตกเกลื่อนไปทั่วและยังมีอาหารที่ปรุงไม่เสร็จกับเนื้อสเต๊กที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่ง มันอธิบายทุกอย่างที่เราเห็นทั้งหมด” โฟลว์แซนด์พูดยาวเหยียดทว่าท่าทางของนางยังคงนิ่งเฉย
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?” ริชาร์ดตั้งคำถาม คิ้วทั้งสองของเขาขมวดมุ่น พวกเขามีพิกัดที่มั่นคงและชัดเจนอีกทั้งเคลริคแห่งมังกรนิรันดรก็เดินทางมาพร้อมกับพวกเขาด้วย เรื่องผิดพลาดแบบนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ?
“ข้ายังตอบไม่ได้ในตอนนี้ แต่ทุก ๆ สิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอในเพลนที่มีอยู่นับไม่ถ้วน” โฟลว์แซนด์ตอบ นี่เป็นคำตอบที่มาจากสามัญสำนึกของเคลริคสาว ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้มันก็เป็นคำตอบที่ดูเหมือนการตอบอย่าง ‘หมดหนทาง’ แล้วเช่นกัน
โฟลว์แซนด์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและในที่สุดนางก็พูดออกมา “อืม… ข้าคิดว่าอาจมีบางคนจงใจรบกวนมิติและกระแสของเวลาในตอนที่พวกเรากำลังเทเลพอร์ต จากความรู้ของข้า พรของมังกรนิรันดรมีกฎบางอย่างซ่อนอยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ การยื่นข้อเสนอบางอย่างสามารถแลกเปลี่ยนกับพรบางประเภทได้ และตระกูลเก่าแก่โบราณบางตระกูลก็มีวิธีลับที่จะสามารถ ‘เลือก’ ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้เช่นกัน และถึงแม้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาได้รับพรที่อ่อนแอ แต่พวกเขาก็อาจมองว่ามันเหมาะสมแล้วภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่าง…. ริชาร์ด เจ้าจะต้องพิจารณาดูว่ามีคนที่จะยอมทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อต้องการที่จะฆ่าเจ้าหรือไม่ ?”
คอมเม้นต์