นครแห่งบาป City of Sin – เล่ม 2 ตอนที่ 133 การตอบโต้
ทันใดนั้นโฟลว์แซนด์ก็หยุดนิ่งและเปิดหนังสือแห่งกาลเวลาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระแสพลังอันศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งมายังหน้าหนังสือก่อนที่จะก่อตัวเป็นคาถาฮีลและส่งไปยังแกงดอร์ที่อยู่ไกลออกไปเกือบ 10 เมตร เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วทั้งฐานทัพและในเวลาเดียวกันเสียงคำรามของเมนต้าก็ดังขึ้นอย่างดุเดือดไม่แพ้กันเลย
ริชาร์ดมองหาโอล่าที่อยู่บนหลังคาตรงมุมของถนนก่อนที่เขาจะพาโฟลว์แซนด์วิ่งตรงไปยังโอล่าในทันที ในเวลานั้นไนท์ฝึกหัดที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดก็ปรากฏตัวขึ้นตรงท้ายซอย เขาจ้องมองหลังของริชาร์ดและโฟลว์แซนด์ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายแล้ววิ่งตามพวกเขาไปติด ๆ
ทว่าเพียงครู่เดียววอเตอร์ฟลาวเวอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นเงียบ ๆ ที่บนหลังคาตรงท้ายซอย นางกระโดดลงมาที่ด้านหลังของไนท์ฝึกหัดอย่างเงียบเชียบ การปรากฏตัวของนางเป็นเหมือนกับวิญญาณที่ไม่สามารถรับรู้ได้ นางเคลื่อนตัวไปด้านหน้าและเข้าประชิดกับร่างของไนท์ฝึกหัดผู้นั้นอย่างแคล่วคล่องว่องไว แน่นอนว่าเชฟเฟิร์ดออฟอีเทอร์นอลเรสท์ในมือของนางได้พุ่งใส่ร่างตรงหน้าก่อนที่จะส่งศัตรูให้กระเด็นลอยออกไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว และเมื่อร่างของชายผู้นั้นล้มลงบนพื้น วอร์เตอร์ฟลาวเวอร์ก็หายตัวไปตรงอื่นแล้ว
ริชาร์ดรู้สึกราวกับว่าเขากำลังพุ่งตัวไปยังที่ที่ไร้จุดหมายและทุก ๆ ที่ที่เขาผ่านก็ต้องพบเจอกับการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม โชคดีที่เขามีโฟลว์แซนด์เพราะคาถาศักดิ์สิทธิ์ของนางรักษาอาการบาดเจ็บของเหล่าอาเครอนรวมถึงช่วยฟื้นฟูพลังการต่อสู้ให้กับพวกเขาด้วย การเชื่อมต่อเข้ากับวอเตอร์ฟลาวเวอร์และบรู๊ดมาเธอร์ทำให้ริชาร์ดรับรู้ถึงสถานที่ที่พวกเขาอยู่ได้อย่างชัดเจนทว่าคนอื่น ๆ ที่ได้ทำสัญญาทาสกับเขาก่อนหน้านี้จะถูกส่งพิกัดกลับมาอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แม้ว่าภายในสนามรบครั้งนี้จะเกิดความวุ่นวายไปทั่วแต่จุดที่ดูเหมือนจะวุ่นวายมากที่สุดคงเป็นกองทัพของเมนต้า ในเวลานี้ฮิวเบิร์ตถูกฆ่าโดยการโจมตีที่มีการสนับสนุนจากเลนส์ออฟไทม์ของโฟลว์แซนด์ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับการถูกรายล้อมด้วยตัวของพวกเขาเอง
ริชาร์ดได้เข้าควบคุมสถานการณ์อีกครั้งโดยเป็นผู้บัญชาการให้กับกองกำลังของเขาเอง ในขณะเดียวกันวอเตอร์ฟลาวเวอร์และโฟลว์แซนด์ต่างพากันซ่อนตัวไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาของศัตรูเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวิกฤติ โฟลว์แซนด์ใช้คาถาในการสังหารเหล่าวอริเออร์และใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหล่าไนท์ฝึกหัดก่อนที่วอเตอร์ฟลาวเวอร์จะลงมือฆ่าพวกเขาในเวลาต่อมา การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและกองกำลังของเมนต้าก็ค่อย ๆ ถูกโจมตีจนลดกำลังลงเรื่อย ๆ
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีแต่สิ่งที่ริชาร์ดกังวลที่สุดในเวลานี้คือบรู๊ดมาเธอร์ สาเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะมันมีรูปร่างที่เล็กและอ่อนแอ ทว่าเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่เขายังไม่สามารถอธิบายออกมาในเวลานี้ได้ เขาไม่สามารถคาดการณ์ถึงสิ่งมีชีวิตตัวนี้ได้เลยว่าหลังจากนี้มันจะทำอะไรต่อไป สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือของขวัญที่ได้รับจากมังกรนิรันดรจะไม่ทำร้ายผู้ที่ได้รับมันอย่างแน่นอน
เขาหันกลับไปมองบรู๊ดมาเธอร์อีกครั้ง ขณะนี้มันกำลังลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ด้านข้างของมันมีวอริเออร์ผู้พ่ายแพ้นอนอยู่ มันกระพือปีกขึ้นลงเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่ามันจัดการศัตรูสำเร็จแล้ว และเมื่อเขาละสายตาจากมัน มันก็รีบฝังตัวเข้าไปที่ร่างของวอริเออร์ผู้นั้นทันที โฟลว์แซนด์ที่เดินตามมาจากทางด้านหลังได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไร
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตรงมุมของฐานทัพก่อนที่มันจะเงียบหายไปในเวลาไม่กี่วินาที ทุกคนที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาพร้อมด้วยโล่ต่างพากันรู้สึกเสียวสันหลังเมื่อได้ยินเสียงโหยหวนนั้น เหล่าไนท์ฝึกหัดของเมนต้าเองต่างก็พากันทิ้งระยะห่างออกจากพื้นที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว บรู๊ดมาเธอร์เคลื่อนตัวออกมาจากบ้านหลังเล็ก ๆ ภายในไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก่อนที่จะผลักร่างของไนท์ฝึกหัดที่ไร้ศีรษะให้กลิ้งไปกับพื้นสุดแรง มันใช้กรงเล็บแหลมคมจิกเข้าที่เนื้อของร่างนั้นเพื่อดึงเข้าไปยังบ้านที่อยู่ด้านข้าง
และหลังจากที่มันออกมาจากบ้านอีกครั้ง ร่างของมันก็เปลี่ยนไปโดยมันมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า ในเวลานี้หน้าท้องของมันบวมเป่งจนกลายเป็นลักษณะทรงกลมและดูเหมือนไม่ว่ามันจะกระพือปีกเร็วแค่ไหน ตัวของมันก็ลอยขึ้นจากพื้นได้ไม่เกินกว่า 1 เมตร
ในเวลานั้นมีวอริเออร์ผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงมุมถนน หลังจากที่เขาเห็นสิ่งมีชีวิตสีดำบินมาอยู่ใต้จมูกของเขา เขาก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวราวกับว่าถูกดาบตัวเองปักเข้าที่ร่างกาย บรู๊ดมาเธอร์ได้ยินเสียงนั้นและทันทีที่มันมองเห็นร่างของวอริเออร์ มันก็รีบพุ่งตรงไปหาเขา และยังไม่ทันที่เขาจะได้เคลื่อนไหวไปไหน เลือดก็ไหลออกมาจากจมูกและหูของเขาก่อนที่เสียงร้องของเขาจะเงียบลง บรู๊ดมาเธอร์ทะยานลงสู่พื้นก่อนที่มันจะปีนไปบนตัวของวอริเออร์ด้วยท่าทางที่ยากลำบากและลากร่างของชายผู้นั้นเข้าไปในบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ อีกครั้ง
ริชาร์ดและบรู๊ดมาเธอร์ต่างก็รู้พิกัดที่อยู่ของกันและกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องบังเอิญหรือความจงใจ ทุกครั้งที่มันจะกินอาหาร มันมักจะออกห่างจากจุดที่ริชาร์ดอยู่และพยายามหาพื้นที่ที่ห่างไกลต่อการเชื่อมต่ออยู่เสมอ
หลังจากที่วางร่างของวอริเออร์อีกคนลง ริชาร์ดก็แทบจะหยุดหายใจ แม้ว่าเขาจะได้รับพลังแห่งรูนหรือแม้แต่พรที่ได้รับจากโฟลว์แซนด์มากเป็น 2 เท่า ทว่าในเวลานี้ทั้งมานาและพละกำลังของเขาใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ได้มาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว บัดนี้เขาไม่ได้ยินเสียงร้องของเมนต้าจากฐานทัพอีกต่อไป ส่วนแกงดอร์เองก็ไม่หลงเหลือความแข็งแกร่งและเรี่ยวแรงที่จะพูดเกี่ยวกับชื่อขวานของเขาด้วยเช่นกัน
‘ถึงเวลาแล้ว !’
ริชาร์ดส่งคำสั่งไปยังจุดจาง ๆ 2 จุดภายในจิตสำนึกของเขา แม้ว่าโอเกอร์ทั้งสองตนจะรู้สึกเพียงความสั่นสะเทือนในจิตใจของพวกมัน แต่พวกมันก็สามารถเข้าใจสัญญาณเหล่านี้ได้ การสั่นสะเทือนในครั้งนี้ได้บอกพวกมันแล้วว่าถึงเวลาที่พวกมันควรเริ่มลงมือโจมตีเสียที
ในเวลานั้นเอง เหล่าทหารจำนวน 10 กว่าคนที่กำลังคอยคุ้มกันพรีสต์และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้านนอกก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจนทำให้ร่างของพวกเขาสั่น ใบไม้ที่อยู่บนต้นไม้สั่นไปมาพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง พวกเขาพากันจับตามองถึงสิ่งผิดปกติด้วยความหวาดกลัวและทันใดนั้น ก้อนหินขนาดใหญ่ 2 ก้อนก็กลิ้งออกมาจากป่าอย่างรวดเร็ว ! ลมที่รุนแรงพัดเข้าใส่พวกเขาขณะที่หินก็กลิ้งตรงมาเรื่อย ๆ ก้อนหินกลิ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะชนเข้ากับผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงนั้นจนได้รับบาดเจ็บถึง 3 คน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยที่ไม่มีใครสามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน
*ฟึบ* หลังจากที่หินได้ผ่านพ้นไป ไฟร์บอลก็ถูกส่งลอยออกมาจากป่าอีกครั้ง พลัง เวลาในการร่าย รวมถึงมานาที่ถูกปล่อยออกมาเป็นไปตามค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปของคาถาไฟร์บอล ซึ่งนั่นทำให้เห็นว่าแตกต่างจากไฟร์บอลของริชาร์ดเพราะในเวลานี้ผู้ที่ร่ายคาถาออกมาคือทีรามิสุผู้ซึ่งเป็นเมจ เปลวเพลิงครึ่งหนึ่งกระจายออกไปยังเหล่าวอริเออร์ และแม้แต่พรีสต์ที่สามารถหลบหนีได้ทันเวลาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากไฟร์บอลลูกนี้
แรงสั่นสะเทือนมีพลังมากขึ้นขณะที่เงาขนาดใหญ่ของมีเดียมแรร์พุ่งตัวเข้าไปหาเหล่าทหารที่อยู่ด้านหน้าอย่างสุดแรง ในเวลานี้มันไม่ได้มาเพียงตัวเปล่า ๆ อีกต่อไปเพราะมันสวมใส่ชุดเกราะที่ทำจากเหล็กหนาและหมวกที่มีรูปทรงคล้ายกับลูกบอลเหล็กไว้บนหัวพร้อมด้วยรองเท้าบูทหนังขนาดใหญ่ที่พอดีกับเท้าของมัน
เกราะไม่ได้มีการลงอาคมใด ๆ ทว่าน้ำหนักและความแข็งแกร่งของเหล็กที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้ศัตรูเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาได้ เพราะน้ำหนักร้อยกว่ากิโลบนเกราะนั้นสามารถทับวอริเออร์ 1 คนให้แน่นิ่งไม่ไหวติงได้อย่างง่ายดาย ทว่าถึงแม้เกราะนี้จะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของมีเดียมแรร์เลยแม้แต่น้อย โอเกอร์ตนนี้แข็งแกร่งมากพอที่จะถือค้อนไว้ในมือซึ่งมีความหนักพอ ๆ กับเกราะของมันได้ด้วยตัวเอง
แม้แต่โอเกอร์ในนัวแลนด์ที่เจริญเติบโตเต็มที่ก็ยังต้องทำให้เหล่านักผจญภัยต้องล่าถอย สำหรับในเพลนระดับกลางเช่นนี้ก็คงจะมีเพียงแค่เหล่าชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถท้าทายกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ และยิ่งพวกมันมีอาวุธและเกราะติดตัวมาด้วยแล้ว…
ในเวลานี้มีเดียมแรร์แทบจะเหมือนกับป้อมปราการเคลื่อนที่ มันพุ่งเข้าใส่ผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่อย่างดุเดือด รังสีของมานาส่องสว่างบนร่างของโอเกอร์ก่อนที่ผิวของมันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทันทีตั้งแต่หัวจรดเท้า เหล่าวอริเออร์ได้รับบาดเจ็บในขณะที่ยังมีโล่กำบังอยู่ในมือ พวกนั้นโดนรังสีเวทมนตร์เข้าอย่างจังจนต้องเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังไปตาม ๆ กัน
สิ่งที่น่ากลัวกว่าเกราะที่อยู่บนตัวของโอเกอร์คงจะเป็นอาวุธที่หายากในมือของมัน ในเวลานี้ร่างของมันได้รับพลังการโจมตีและความแข็งแกร่งจากสกิลไอรอนสกิน ค้อนยักษ์กระทบเข้ากับโล่ของวอริเออร์ผู้หนึ่งอย่างแรงจนทำให้วอริเออร์ตรงหน้าลอยไปกลางอากาศโดยอยู่ในลักษณะที่บิดไปมาและโล่ของเขาก็มีรูปร่างแปลกไปจากเดิม
“เหลือไว้ให้ข้า 2 คน !” ทีรามิสุตะโกนผ่านออกมาจากป่าก่อนที่มันจะถือค้อนลักษณะเดียวกันกับของมีเดียมแรร์ออกมา ทว่าในเวลานี้เกราะที่มันสวมใส่เป็นเพียงเกราะหนังเท่านั้น เพราะทีรามิสุเป็นเมจจึงทำให้มันสามารถถืออาวุธเช่นเดียวกันกับมีเดียมแรร์ได้ แต่ความแข็งแกร่งของมันดูเหมือนว่าจะมีขีดจำกัดมากกว่ามีเดียมแรร์จึงทำให้มันไม่สามารถสวมใส่เกราะที่เหมือนกับของมีเดียมแรร์ได้
ทันทีที่ทีรามิสุวิ่งเข้ามาในสนามรบ มีเดียมแรร์ก็จัดการพุ่งชนเข้ากับศัตรูตรงหน้าจนหมดพร้อมทั้งใช้ค้อนทุบศีรษะของพรีสต์เบา ๆ จนทำให้ศีรษะบวมเป่ง การโจมตีที่อ่อนโยนด้วยค้อนหนักร้อยกว่ากิโลในมือทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
“เจ้าฆ่าพวกมันหมดเลย !” ทีรามิสุเปล่งเสียงคำรามออกมาด้วยความไม่พอใจ มีเดียมแรร์พุ่งตัวกลับไปยังฐานทัพทันทีที่มันจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น “เอาเหอะหน่า… การต่อสู้ยังไม่จบ มาสเตอร์เรียกพวกเราแล้ว !”
ทีรามิสุได้ยินเช่นนั้นก็รีบออกตัววิ่งกลับไปยังฐานทัพเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะที่หนักเท่ากับมีเดียมแรร์ ทว่าความเร็วของมันก็ยังไม่สามารถที่จะเทียบเท่ากับอีกฝ่ายได้ และดูเหมือนว่าพวกมันจะทิ้งระยะห่างออกจากกันเรื่อย ๆ
“บ้าจริง !” ทีรามิสุสบถอย่างไม่พอใจก่อนที่มันจะตัดสินใจใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นเมจร่ายคาถาเพื่อทำให้มีเดียมแรร์วิ่งช้าลง…
คอมเม้นต์