ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 33: การเดินทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและอันตราย

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 33 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เฉินเฉินทำหน้าบึ้งเล็กน้อย หลังจากที่เขาได้ยินเสียงอึกทึกของกลุ่มคนที่เข้ามาข้างในจุดพัก

 

“มีคนประมาณสามสิบคนสินะ น่าจะเป็นพวกกลุ่มลูกคุณหนูละ”

 

ด้วยสัมผัสที่เฉียบคม เฉินเฉินประเมินจำนวนของผู้มาใหม่ที่กำลังแห่เข้ามาในสถานีด้วยการฟังที่คมกริบของเขา

 

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้สนใจสถานการณ์มากนัก เขาหลับตาแล้วเริ่มพักผ่อนต่อ

 

พูดตามตรงแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นเซียนที่เขามีนั้น เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยต่อให้ต้องตื่นตลอดสามวันสามคืนก็ตาม

 

 

โดยไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปจนดึกดื่นแล้ว

 

หูของเฉินเฉินกระตุกจากเสียงรบกวนที่ดังขึ้นจากห้องข้าง ๆ

 

มันคือเสียงจังหวะหัวเตียงกระแทกกับกำแพง

 

ตึง! ตึง! ตึง!

 

จุดพักแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ ซึ่งมันกรองเสียงได้ห่วยแตกมาก ๆ และผนวกกับประสาทสัมผัสที่เฉียบคมของเฉินเฉิน หูของเขาจึงได้ยินเสียงพวกนี้อย่างชัดเจน

 

เฉินเฉินนั้นใช้ชีวิตมาถึงสองช่วงชีวิตคนแล้ว และไม่มีทางที่เขาจะบอกไม่ได้ว่าเสียงพวกนี้คืออะไร แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรกับมันเหมือนกัน

 

ในโลกแห่งการฝึกตนอันน่าอัศจรรย์นี้ มันไม่ค่อยมีวิธีหาความสนุกให้ตัวเอง ดังนั้นในตอนที่ผู้คนมีเวลาว่าง พวกเขาก็จะทำลูกกัน ซึ่งมันถือเป็นเรื่องปกติ

 

“ถึงจะผ่านความวุ่นวายมาทั้งวัน เรื่องแบบนี้มันก็ยังไม่หลุดไปจากหัวของพวกเขาสินะ หมดคำจะพูดเลย”

 

หลังจากบ่นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เฉินเฉินก็อุดหูของเขา แล้วหลับตาพักผ่อนต่อ

 

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

ตึง! ตึง! ตึง!

 

เมื่อถึงจุดนี้ เฉินเฉินใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว เสียงแปลก ๆนี้เริ่มมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนและมันก็ยังคงดำเนินต่อไปด้วยเสียงที่ทั้งดังและหนักหน่วง จากการประมาณคร่าว ๆของเขา นี่มันน่าจะ 2,000 ครั้งได้แล้ว!

 

“หรือว่าจะเป็นเซียนกัน? ไม่อย่างนั้นเขาจะมีแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน!”

 

เฉินเฉินตกตะลึงอยู่ในใจ ด้วยความถี่นี้ เขาคงมีค่าตัวเป็นสิบล้านถ้าเขาถูกพาไปเป็นพ่อพันธุ์ที่ไหนซักแห่ง

 

เขามีความเป็นลูกผู้ชายที่โดดเด่นขนาดไหนกันนะ!

 

“อึ๊กก!”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงประหลาดก็หยุดลงในที่สุด และมันก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงคราง

 

พอได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ในที่สุดก็จบลงซักที!

 

อย่างไรก็ตาม พอตั้งใจฟังดูแล้ว เสียงมันค่อนข้างผิดปกตินะ เสียงครางนั้นมันให้ความรู้สึกว่ามันไม่ได้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่เป็นความทุกข์ทรมานแทน

 

“เกิดอะไรขึ้น? ชายคนนั้นไม่ได้รู้สึกดีหรอ? หรือว่าเขาบังเอิญไปเจออสูรที่กินพลังชีวิตเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง?”

 

เฉินเฉินรู้สึกสงสัยเขาจึงลุกจากเตียงเพื่อไปแอบตรวจสอบดู ด้วยความเงียบและระแวดระวัง เขาก็เปิดประตูห้องของเขาแล้วไปแง้มประตูดูห้องข้าง ๆ

 

ข้างในนั้นส่องสว่างด้วยแสงสลัว

 

อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์ของเฉินเฉินนั้นยอดเยี่ยมมาก ผ่านช่องว่างแคบ ๆ เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน

 

มันคือภาพของผู้หญิงที่เปลือยทั้งตัวด้วยเรือนร่างอันยั่วยวนที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าอยู่

 

หุ่นของเธอนั้นสามารถบรรยายได้แค่ประโยคเดียว

 

“ยื่นออกมาที่ด้านหน้าและโค้งงอนที่ด้านหลัง โดยรวมแล้วช่างเป็นภาพที่งดงาม”

 

แค่มองเพียงปาดเดียวเฉินเฉินก็รู้สึกว่าเลือดของเขากำลังพุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว

 

“หนอย ยัยผู้หญิงชั่วร้าย!”

 

เฉินเฉินสบถในใจ แต่ก็ยังอดดูซ้ำไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเอง ผู้หญิงคนนี้ก็หันหลังเล็กน้อย แล้วเผยให้เห็นหางฟูฟ่องที่บั้นท้ายของเธอ

 

ในตอนที่เห็นหางนั่น เฉินเฉินก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกสาดด้วยน้ำเย็น ๆในขณะที่หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา

 

“โอพระเจ้าช่วย เธอเป็นอสูรของแท้เลยนี่หว่า!”

 

“ระบบ มีอสูรอยู่ในระยะยี่สิบเมตรรึเปล่า?”

 

“มีค่ะ มีอสูรจิ้งจอกสูงแปดเมตรอยู่เบื้องหน้าท่าน นอกเหนือจากนั้น ที่สิบเมตรทางซ้าย มีปีศาจดอกผักบุ้งน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัยอยู่”

 

พอได้ฟังการยืนยันจากระบบ เฉินเฉินก็เหงื่อแตกพลั่ก เขารีบกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างระมัดระวังแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงโดยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“ระบบ ในระยะยี่สิบเมตรมีใครที่สามารถต่อสู้กับอสูรจิ้งจอกตัวนั้นได้ไหม?”

 

“ไม่มีค่ะ”

 

แค่สามคำก็ทำให้หัวใจของเฉินเฉินสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิมแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า ปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นแข็งแกร่งกว่าเขา

 

“ข้าจะรีบออกไปจากที่นี่ในทันทีที่ฟ้าสาง แบบนี้มันโคตรอันตรายแล้ว!”

 

เฉินเฉินสบถอยู่ในใจ เขาไม่ได้กังวลว่าจะเจอกับขโมยหรือโจร แต่การที่เขาบังเอิญมาเจอปีศาจนี่มัน แถมยังน่าจะเป็นพวกกินคนด้วย

 

ใครจะไปทนรับสถานการณ์แบบนี้ได้หล่ะ?

 

หลังจากกลุ้มใจมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า แสงสลัวก็ค่อย ๆปรากฏขึ้นด้านนอก และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เฉินเฉินก็ลุกขึ้นแล้วปลุกจางจี เช่นเดียวกับผู้ติดตามคนอื่น ๆ

 

“หนทางยังอีกยาวไกลนัก พวกเราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดและไปถึงจุดหมายให้สำเร็จ ดวงอาทิตย์พึ่งจะขึ้น แล้วอากาศก็ยังไม่ร้อน พวกเราควรเริ่มออกเดินทางกันได้แล้ว”

 

เฉินเฉินบอกเพื่อนรวมทางของเขาด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็คว้าเจ้าดอกผักบุ้งน้อยแล้วเดินลุกลี้ลุกลนไปที่รถม้า

 

ณ จุดนี้ คนที่เหลือในกลุ่มยังคงสะลึมสะลืออยู่ และไม่มีใครตื่นเต็มที่ คนเลี้ยงมาดูไม่เต็มใจมาก ๆ แต่เขาก็ทำตามคำแนะนำของเซียน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงคัดค้าน

 

เฉินเฉินไม่ได้สนใจสภาพจิตใจของกลุ่ม หลังจากที่วางเจ้าดอกผักบุ้งน้อยเอาไว้ในรถม้า เขาก็กระโดดขึ้นหลังม้า

 

“พี่เฉิน ก่อนจะออกเดินทางพวกเราหาอะไรกินกันก่อนไม่ดีหรอครับ?” จางจีลังเล

 

“ไม่ พวกเราควรจะรีบออกเดินทางกันตอนนี้เลย” เฉินเฉินพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น

 

เขามีความรู้สึกว่าถ้าพวกเขาชักช้าไปกว่านี้ พวกเขาจะกลายเป็นอาหารของใครบางคน ไม่ต้องพูดถึงการหาของกินให้ตัวเองเลย

 

ถ้าเขาไม่ได้กลัวว่าจะไปทำให้ศัตรูรู้ตัว เขาก็คงจะหนีเอาตัวรอดไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

 

“ก็ได้ครับ พวกเราจะทำทุกอย่างตามที่พี่เฉินสั่ง”

 

จางจีไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับคำสั่ง เขาขึ้นม้าของเขา จากนั้นก็เรียกคนเลี้ยงม้ามาจัดเตรียมม้าให้พร้อมออกเดินทาง

 

ในตอนนี้ มีม้ากลุ่มนึงถูกผูกเอาไว้ที่คอก แต่ละตัวนั้นเป็นม้ารูปร่างดี เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันเป็นของกลุ่มคนที่เข้ามาสถานีเมื่อคืน

 

คนขับเกวียนมองม้าพวกนี้ด้วยความอิจฉาในขณะที่ขึ้นเกวียนแล้วเริ่มขี่ไปข้างหน้า

 

กุบกับ! กุบกับ! กุบกุบ!

 

เสียงกีบม้าดังก้องไปทั่วพื้นที่ รถม้าสามคันกำลังขนคนเจ็ดคนที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนออกจากสถานีเหมือนกับว่าพวกเขากำลังหนีจากภัยพิบัติ

 

หลังจากเดินทางไปได้หลายสิบไมล์ ในตอนที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ในที่สุดเฉินเฉินก็สั่งให้ทั้งกลุ่มหยุด

 

“เอาหล่ะ ตอนนี้คงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกคนพักกันเถอะ”

 

เมื่อเห็นเฉินเฉินรีบมาตลอดทางโดยไม่ลงจากม้าเพื่อเก็บดินหรือหินเลยนั้น จางจีก็พอเดาสถานการณ์ได้คร่าว ๆ ด้วยสีหน้ามัวหมอง เขาถามขึ้น “พี่เฉิน กลุ่มคนที่พวกเราได้ยินเสียงเมื่อคืน พวกเขาเป็นโจรหรอครับ? พวกเขาหมายตาพวกเราแล้วหรอ?”

 

“ไม่ใช่โจร แต่มีอสูรอยู่ในกลุ่มพวกนั้นด้วย” เฉินเฉินตอบกลับ

 

พอได้ยินคำว่า ‘อสูร’ สีหน้าของคนดูแลม้าทั้งสามและคนคุ้มกันอีกสองคนก็เต็มไปด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็เปลี่ยนจากสภาพไร้ชีวิตชีวา เป็นสภาพกระปรี้กระเปร่าและมีกำลังใจเต็มร้อย

 

“นายน้อยเฉิน ข้าคิดว่าพวกเราไปเร็วกว่านี้ได้อีกนะครับ”

 

“นั่นสิครับ พวกเราพึ่งมาได้นิดเดียวเอง มันยังไม่ถึงไหนเลยใช่ไหมครับ? นายน้อยเฉิน ให้พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ”

 

“ระแวกนี้เต็มไปด้วยภูเขาลูกใหญ่และป่าไม้ ข้ารู้สึกว่าอาจจะมีสัตว์ประหลาดซุ่มซ่อนอยู่ก็ได้ครับ พวกเราค่อยพักหลังจากที่พ้นที่นี่ไปแล้วเถอะครับ”

 

“….ก็ได้” เฉินเฉินมองดูสมาชิกแต่ละคนแล้วถึงกับพูดไม่ออก

 

เมื่อครู่ก่อน แต่ละคนยังดูเหมือนกับจะตายให้ได้ถ้าให้เดินทางต่ออยู่เลย แต่ตอนนี้ พวกเขาดูมีแรงฮึดยิ่งกว่าเวลาปกติอีก….

 

อสูรเป็นตัวตนที่อันตรายเป็นพิเศษจริง ๆสินะ

 

อย่างไรก็ตาม ความเร็วที่เสถียรของพวกเขาลดลงเล็กน้อย ถึงยังไง ม้าก็เป็นสัตว์ที่เดินให้กับพวกเขา และพวกมันส่วนใหญ่ก็เริ่มเดินเหยาะๆแล้ว

 

แม้ว่าจะหนีมาจากสถานีได้หลายสิบไมล์ แต่เฉินเฉินก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

 

ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่หนทางการฝึกตน เขาก็รู้สึกว่าเขาเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป และการเดินทางในครั้งนี้ก็น่าจะผ่านไปได้อย่างราบลื่น แต่ว่าหลังจากที่ได้เห็นอสูร ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึงความยากลำบากของการเดินทางนี้

 

นอกจากจะต้องคอยระวังคนชั่ว ทั้งกลุ่มยังต้องคอยระวังอสูรและสัตว์ประหลาดด้วย

 

ณ จุดนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับการเดินทางไปยังชมพูทวีป และในฐานะคน ๆเดียวที่มีพลังแก่กล้า เฉินเฉินต้องรับบทเป็นซุนหงอคง

 

“พี่เฉิน อสูรนี่มันไม่ใช่เรื่องปกติหรอกครับ มันไม่ใช่ว่าพวกเราจะเจอพวกมันในระหว่างทางแน่ ๆ พี่ไม่ต้องกังวลนักหรอกครับ”

 

ในระหว่างทาง จางจีอดไม่ได้ที่จะลองปลอบเฉินเฉิน เพราะเขาเห็นหน้าตาที่จริงจังและกลุ้มใจของเขา

 

เฉินเฉินมองลึกเข้าไปในป่าที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วตอบกลับอย่างแผ่วเบา “พวกเราอาจจะไม่ได้เจอพวกมันอีก แต่ถ้าพวกเราเจอจริง ๆ แล้วข้าสู้พวกมันไม่ได้หล่ะ?”

 

“เอิ่ม! ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรับรองความปลอดภัยของพี่เฉินด้วยชีวิตของข้าเอง!” ใบหน้าของจางจีเป็นสีแดงระเรื่อในขณะที่เขาเริ่มกระวนกระวาย

 

พอได้ฟังคำตอบของจางจี เฉินเฉินก็จ้องกลับ ในตอนที่เขาสังเกตเห็นสายตาของเฉินเฉิน จางจีก็ตัวสั่น

 

เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเฉินต้องการให้เขาปกป้องรึเปล่า

 

หลังจากที่เงียบไปซักพัก เฉินเฉินก็ตอบกลับพร้อมถอนหายใจ “คืองี้นะ น้องชาย พวกเราไม่ควรฝากความหวังเอาไว้กับโชคที่ไม่มีความแน่นอนและจับต้องไม่ได้หรอกนะ”

 

อย่างไรก็ตาม พอเขามาคิดดูดี ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่คำพูดที่เหมาะจะเอามาพูดกับจางจีเลยซักนิด จางจีมักจะพึ่งโชคของเขาในตอนที่ออกไปข้างนอก! จางจีสามารถพึ่งโชคได้ แต่เขายังทำไม่ได้

 

ในตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสถึงพลังเซียนหนาแน่นได้ในป่าที่อยู่ใกล้ ๆ เฉินเฉินเลี้ยวม้าไปยังทิศทางตรงข้ามแล้วตรงไปยังภูเขาลูกนึง

 

“รอข้าที่นี่ซักพักนะ”

 

“พี่เฉินจะไปไหนหรอครับ!” จางจีตามหลังเขาไป

 

ครู่ต่อมา พวกเขาทั้งสองก็มาหยุดม้าที่ตีนเขา

 

“พี่เฉิน พี่มาทำอะไรที่นี่หรอครับ?” จางจีถาม

 

เฉินเฉินสะบัดมือแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตาแทน

 

“ระบบ ข้าจะใช้โอกาสในการค้นหาสิบกิโลเมตร ค้นหารอบๆให้หน่อยว่ามีอะไรที่สามาถใช้ยับยั้งอสูรได้บ้าง”

 

ระยะทางพันเมตรอาจไม่ได้ฟังดูกว้างอะไร แต่ระยะครอบคลุมในความจริงนั้นกว้างอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งน่าจะนับรวมได้ประมาณ 314 กิโลเมตร

 

พื้นที่ที่ถูกค้นหาตั้งอยู่ลึกในภูเขา และไม่มีใครรู้ว่าจะมีสิ่งที่น่ากลัวแบบไหนอยู่ในระยะรอบ ๆ 300 กว่าตารางกิลโมเตรนี้

 

“เริ่มต้นการค้นหา…”

 

“ข้างหลังไปทางซ้ายสามพันเมตร มีชิ้นส่วนขุมทรัพย์เวทมนตร์ที่สูญหายอยู่ ซึ่งสามารถต่อต้านอสูรและความชั่วร้ายได้”

 

“ห้าพันเมตรข้างหน้า ลึกลงไปใต้ดินหกเมตร มีไม้ควบคุมมังกรอยู่”

 

“แปดพันเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในถ้ำ มีหนังสือการไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐานอยู่”

 

 

ครู่ต่อมา ก็มีเป้าหมาย 20 เป้าหมายผุดขึ้นมาในหัวของเฉินเฉิน

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด