ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 87: วิชาที่เลือกมาเพื่อเอาชนะ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 87 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในวันต่อมา กฎใหม่ของการประลองจัดอันดับก็ได้ถูกปล่อยออกมา

 

มันเป็นการแข่งขันที่ซื่อตรงและเรียบง่ายมาก

 

ถ้าใครก็ตามต้องการแย่งชิงอันดับจากหนึ่งในสามสิบหกสำนัก พวกเขาจะต้องท้าชิงผู้สืบทอดของสำนักนั้น

 

ถ้าพวกเขาชนะ พวกเขาจะไปแทนที่สำนักเหล่านั้น

 

ผู้สืบทอดคนหนึ่งสามารถที่จะท้าชิง ครึ่งวันต่อหนึ่งการท้าชิงและสำนักแต่ละสำนักสามารถที่จะท้าชิงสำนักอื่นได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

 

การประลองแย่งชิงอันดับจะดำเนินการเป็นจำนวนสามวัน ซึ่งคนที่อยู่ในสามสิบหกอันดับใหม่จะกลายเป็น 36 สำนักใหม่ของรัฐจิน

 

หลังจากกฎได้ถูกเปิดเผยออกมา ผู้สืบทอดของสำนักต่างกระวนกระวายกันมากขึ้นกว่าเดิม

 

มันไม่ได้มีอะไรมากเท่าไหร่ที่สำนักเหล่านี้จะทำได้และแม้แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้เป็นตัวยืนยันว่าพวกเขาจะการันตีได้รับตำแหน่ง

 

 

ในเวลานี้เอง ผู้หญิงที่สวมชุดแดงกำลังยืนเงียบๆอยู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมหยีหลาน

 

เธอดูเหมือนกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้และไม่มีใครสักคนกล้าที่จะจ้องมาที่เธอ

 

“ข้าคือเซียวฮวงจากสำนักวิหคสีชาด ข้าต้องการพบหน้าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน”

 

เมื่อได้ยินเสียงของเธอแล้ว กลุ่มคนจากต่างโผล่หัวออกมา

 

มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่ผู้สืบทอดหญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐจินจะปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านของพวกเธอ

 

ยังไงก็ตาม เมื่อเธอคิดว่าผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งสุดอันดับสี่อาศัยอยู่ในหอโสเภณีของพวกเธอแล้ว มันก็ดูไม่ใช่เรื่องที่หาได้ยากอะไร

 

พูดตามจริงแล้ว ผู้สืบทอดที่อาศัยอยู่ในหอโสเภณีนั้นมีถึงเจ็ดคนแล้ว ไม่ว่าอันดับของพวกเขาจะอยู่อันดับใดก็ตาม พวกเขาต่างเป็นพวกที่น่าประทับใจอยู่ดี

 

“เจ้าต้องการพบข้าด้วยเหตุผลอันใด?”

 

เฉินเฉินออกมานอกประตู สมบัติบนร่างกายของเขาส่องประกายราวกับแสงพระอาทิตย์ เมื่อเขายืนอยู่ด้านหน้าเซียวฮวงแล้ว แสงสว่างจากบนร่างกายของเขามันได้กลบแสงสีแดงจากร่างของเซียวฮวง

 

เมื่อเซียวฮวงเห็นเฉินเฉิน เธออดที่จะหยีตาลงไม่ได้

 

“ศิษย์น้องเฉิน การประลองจัดอันดับในครั้งนี้เป็นแผนการของสำนักอู๋ซิ่น พวกเราจะต้องรวมตัวกันผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ เห็นด้วยกับข้าไหม ศิษย์น้อง?”

 

“ใช่” เฉินเฉินพูดพึมพำออกมา

 

เซี่ยวฮวงยิ้มหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและพูดต่อ “ดังนั้นข้าจึงขอเชิญศิษย์น้องเฉินไปยังหอปราณม่วง เพื่อที่พวกเราจะสามารถพูดคุยกันเรื่องสำคัญนี้ด้วยกันได้”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วเฉินเฉินก็เลิกคิ้ว ดูเหมือนผู้สืบทอดคนอื่นจะนึกถึงเขาได้แล้ว

 

พวกเขายังส่งผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างเซี่ยวฮวงมาเชิญเขาไปยังหอปราณม่วงอีก เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว เฉินเฉินเต็มไปด้วยความชื่นชม

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเลยสักนิด

 

เขารู้ดีว่าการมายังเมืองหลวงครั้งนี้มันสำคัญมากเพียงใด มันไม่ใช่การทำตัวล้อเล่น

 

เมื่อนึกได้เช่นนี้แล้ว เฉินเฉินพยักหน้าเล็กน้อยและตอบกลับ “ศิษย์พี่ รอข้าสักครู่หนึ่งก่อน ข้าขอไปแต่งตัวและจะรีบกลับมา”

 

หลังจากพูดจบ เฉินเฉินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมหยีหลานและเมื่อเขากลับออกมาด้านนอกแล้ว แสงสว่างของสมบัติเขาก็ได้หายไป

 

ยังไงก็ตาม เซียวฮวงกลับตกใจยิ่งกว่าเดิม

 

ราคาของสมบัติที่เฉินเฉินสวมตอนนี้มันแพงกว่าชุดก่อนหน้านี้เสียอีก

 

ผู้สืบทอดเทียนหยุนนี่มันอะไรกัน? เขารวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?

 

หลังจากตั้งสติได้แล้ว เซียงฮวงทำท่าบอกให้เขาตามเธอมาและเธอก็เดินนำหน้าไป

 

เมื่ออยู่ในระดับของเธอแล้ว แน่นอนว่าเธอจะไม่ได้เดินทางโดยการใช้รถม้าและการบินมันก็เป็นเรื่องที่ต้องห้ามในรัฐจิน เธอจึงเลือกที่จะเดินไป

 

อย่างไรก็ตามทันทีที่เธอก้าวขาออกไป เธอก็เคลื่อนตัวไปหลายสิบเมตร

 

เฉินเฉินเห็นดังนี้และรีบตามเธอไปพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าฝึกตนมานานแค่ไหนกันแล้ว?” เซียวฮวงถาม เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินตามหลังเธออยู่ไกลมาก

 

“ข้าจำไม่ได้” เฉินเฉินตอบกลับ เขาไม่สามารถบอกเธอได้หรอกว่าเขาพึ่งจะฝึกตนมาได้แค่สองเดือนเท่านั้นเอง

 

ไม่มีใครเชื่อเขาหรอก ถ้าเขาบอกไปแบบนั้น

 

“โอ้ ศิษย์น้องเฉิน เจ้าไม่ได้เชื่อใจข้าสินะ”

 

ทั้งสองคนคุยกันอยู่ตลอดทางและก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว พวกเขาก็ได้มาถึงหน้าร้านอาหารใหญ่แล้ว

 

มันเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของประเทศ! มันสูงกว่าสิบชั้นและความสูงมันเป็นรองเพียงแค่พระราชวังเท่านั้น มันมีข่าวลือว่าร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนมาจากราชวงศ์

 

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ภายในได้รับการตกแต่งมาอย่างงดงามและมันยังมีสิ่งของที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและอาหารก็เต็มไปด้วยส่วนผสมที่เป็นสมบัติสวรรค์มากมาย

 

ในความคิดเห็นของเฉินเฉินแล้ว เครื่องปรุงของตึกแห่งนี้ได้ถึงระดับเดียวกับเขา ก่อนที่เขาจะเข้าไปยังสำนักเทียนหยุน

 

นี่มันน่าหวาดกลัวเสียจริง!

 

มันเป็นสถานที่ที่หลินจิน ผู้สืบทอดของสำนักมังกรมรกตอาศัยอยู่

 

เมื่อเขาเข้ามาในหอปราณม่วง เฉินเฉินรู้สึกได้ว่ามีคนนับไม่ถ้วนจ้องมาที่เขา

 

หนึ่งในพวกเขาดูคมคายและดูเฉลียวฉลาด เขาดูเต็มไปด้วยพลังอำนาจและเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ซึ่งสูงกว่าสองเมตร!

 

“ซวนฮง ผู้สืบทอดของสำนักซวนวู? เขาจ้องเขม็งมาที่ข้าแบบนั้นทำไมกัน? เขาไม่เคยเห็นคนรวยแบบนี้มาก่อนหรือไง?”

 

เฉินเฉินบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะสำรวจไปที่ฝูงชนโดยรอบและเลือกที่จะนั่งลงข้างโยวหลานซิน

 

มันมีคนจำนวนสิบหกคนที่อยู่ที่นี่ คนที่อ่อนแอที่สุดนั้นอยู่ที่ขั้นท้ายของขั้นสร้างรากฐาน เฉินเฉิน โยวหลานซินและเย่หวู่เชิงเป็นเพียงผู้สืบทอดจากสิบแปดสำนักทางเหนือที่อยู่ที่นี่

 

ในขณะที่นั่งอยู่ในห้อง เซียวฮวงพูดกับชายร่างผอมที่อยู่ห่างออกจากกลุ่ม “ศิษย์พี่หลินจิน ข้าได้เชิญศิษย์น้องเฉินเฉินมาแล้ว”

 

หลินจินเหลือบตามองไปยังกลุ่ม ก่อนที่จะพยักหน้าแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียด

 

“ตั้งแต่ที่ทุกคนมาถึงแล้ว ข้าจะเข้าเรื่องเลยละกัน ทุกคน พวกเราคือผู้นำของทั้งสามสิบหกสำนักและข้าเดาว่ามันคงไม่มีใครอยากที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอู๋ซิ่นใช่ไหม?”

 

“แน่นอนว่าไม่มีทาง” ผู้สืบทอดมากมายต่างตอบกลับ

 

ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ต่างมีอนาคตที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักกันทั้งหมดและไม่มีใครยินยอมที่จะกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซิ่น

 

“ตั้งแต่ที่พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ยังงั้นปัญหาก็ง่ายดายมาก”

 

หลินจินยิ้มและเริ่มอธิบายแผนการ

 

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการนับถือว่าหลินจินเป็นชายที่ดูน่านับถือและมีอิทธิพลมาก

 

เพียงเวลาไม่นาน ผู้สืบทอดที่อยู่ในกลุ่มต่างพยักหน้าให้กันและกัน

 

โยวหลานซินที่นั่งอยู่ใกล้กับเฉินเฉินอดที่จะกระซิบข้างหูเขาไม่ได้ “ศิษย์พี่เฉิน ท่านจะต้องช่วยสำนักโยวฉุยด้วยนะ!”

 

เมื่อคิดดังนี้แล้ว เฉินเฉินก็ดื่มชาลงไปอึกหนึ่งและหัวเราะออกมา “ข้าจะช่วยเจ้ายังไง? ทำตามที่หลินจินพูดงั้นเหรอ?”

 

โยวหลานซินพยักหน้าระรัว ความกังวลและความตึงเครียดของเธอในช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้เปิดเผยนิสัยตามธรรมชาติของเธอออกมาและเธอไม่สามารถทำตัวเย็นชาและดูนิ่งเงียบได้อีกต่อไป

 

ในความเป็นจริงแล้ว แผนการที่หลินจินสร้างมาก็ง่ายดายมาก ซึ่งมันคือการใช้กฎและคอยสนับสนุนกันและกัน

 

ยกตัวอย่างเช่น สำนักเทียนหยุนและโยวฉุยร่วมมือกัน

 

ถ้าสำนักโยวฉุยถูกท้าชิงและพ่ายแพ้ไป พวกเธอก็จะได้รับการล้างแค้นโดยสำนักเทียนหยุน ซึ่งสำนักโยวฉุยก็จะท้าชิงสำนักเทียนหยุน สำนักเทียนหยุนก็จะยอมแพ้และให้สำนักโยวฉุยได้ตำแหน่งนั้นคืน

 

การสนับสนุนก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน

 

ถ้าสำนักเทียนหยุนพบเจอกับการต่อสู้ครั้งใหญ่และไม่สามารถสู้ต่อได้ สำนักโยวฉุยก็จะท้าชิงสำนักเทียนหยุนแทนและไม่ให้สำนักอื่นเอาเปรียบจากตอนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ เพื่อยื้อเวลาให้กับสำนักเทียนหยุนในการฟื้นตัว

 

ในช่วงเวลาอันสั้น ยิ่งมีคนมากเท่าใดรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็มีพื้นที่ให้ทำตามกฏนี้ได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อตอนนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถที่จะใช้สถานการณ์ได้ทั้งสองฝ่าย

 

“ใช่ ใช่ ใช่! ศิษย์พี่เฉินต้องเอาชนะทุกคนที่ท้าชิงสำนักโยวฉุยนะ!”

 

โยวหลานซินโบกมือของเธอไปมาอย่างร้อนรน

 

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เมื่อผู้ฝึกตนที่อ่อนแอจะเข้าร่วมกับสำนักอู๋ซิ่น ส่วนผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจะมีความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นตัวการันตีและคนที่มีโอกาสพ่ายแพ้น่าจะเป็นพวกที่อยู่ระดับท้ายของขั้นสร้างรากฐาน

 

โยวหลานซินรู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่าง สำนักโยวฉุยจะถูกเตะออกจากสำนักทั้ง 36 สำนัก

 

เมื่อดูสภาพของโยวหลานซินแล้ว เฉินเฉินอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะแกล้งเธอเล่น

 

“ที่จริงแล้วข้าก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะที่สำนักโยวฉุยจะออกจากทั้งสามสิบหกสำนักและมาเข้าร่วมกับสำนักเทียนหยุนของข้า ดังนั้นอาจารย์ของข้าและอาจารย์ของเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันยังไงละ มันจะแย่ตรงไหนกัน?”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าของโยวหลานซินตึงเครียดทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความน่าสงสาร

 

“พวกเขาเป็นคู่รักที่ท้ายที่สุดแล้วจะอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ข้าจะโดนกระทืบจนตายก่อนเนี่ยสิ! ศิษย์พี่เฉิน ท่านทิ้งข้าแบบนั้นไม่ได้นะ! ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อตอบแทนบุญคุณนี้เลย พี่เฉิน!”

 

เมื่อทั้งสองคนพูดคุย เสียงการเดินก็ดังขึ้นจากตรงบันได

 

ทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มคนเดินขึ้นมาจากบนบันไดและปรากฏต่อหน้าฝูงชน

 

เมื่อเห็นกลุ่มคนดังกล่าว สีหน้าของหลินจินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

เซียวฮวงอดที่จะมีสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจไม่ได้

 

พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกเหนือไปจากผู้สืบทอดทั้งสิบแปดสำนัก ซึ่งมีสิบคนที่อยู่ระดับขั้นสูงสุด ในอีกแปดคนอยู่ขั้นท้ายของขั้นสร้างรากฐาน

 

ผู้นำของกลุ่มคือฉีปู่ฝาน ผู้สืบทอดของสำนักหลัวโยวที่ก้าวข้ามเย่หวู่เชิงไปในการจัดอันดับ!

 

“โอ้? ศิษย์พี่หลิน? ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ ท่านมารวมตัวกันเพื่อหาวิธีรับมือกับพวกเรางั้นเหรอ?”

 

ฉีปู่ฝานที่สวมชุดขาวโบกพัดกระดาษในมือด้วยใบหน้าที่หยิ่งผยอง

 

หลินจินยังคงมีใบหน้าที่เฉยเมยและตอบกลับอย่างเย็นชา “อย่ามัวแต่อ่านเรื่องไร้สาระไปเยอะสิ อย่าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ด้วย ลูกศิษย์จากสำนักเล็กนอกเหนือ 36 สำนักไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกข้าแบบนั้น”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้วสีหน้าของผู้สืบทอดทั้งสิบแปดคนก็เปลี่ยนไปทันที

 

เฉินเฉินเห็นดังนี้และตกตะลึง ‘หลินจินนี่ทำให้คนเกลียดได้ง่ายมากเลย!’

 

สีหน้าของฉีปู่ฝานบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาเยาะเย้ยออกมา “36 สำนัก? ดูทรงพลังจังนะ พวกเจ้าได้รับทรัพยากรไปมากมาย แต่พัฒนาคนมาได้แต่กองขยะแบบนี้เนี่ยนะ? เหอะ พวกเจ้ามีกันตั้ง 16 คน แต่มีเพียงหกคนที่อยู่ระดับสูงสุด พวกเจ้าควรที่จะถูกแทนที่ในเวลาอันไวแล้วละ หลินจิน บางทีในอีกสองวันข้างหน้า คนที่จะพูดคำนี้อาจจะเป็นข้า ไม่ใช่เจ้าแล้วละ ข้าอาจจะพูดประโยคเดียวกันกับเจ้าก็ได้นะ”

 

ฉีปู่ฝานถูกยั่วยุได้อย่างง่ายดาย เพียงเวลาไม่นานที่คำว่าขยะดังออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณก็ระเบิดออกมาจากผู้สืบทอด ยกเว้นเฉินเฉิน

 

คนที่สูงสุดอย่างซวนฮงก้าวออกมาข้างหน้าและกระทืบพื้นลง!

 

“ฉีปู่ฝาน! เจ้าพูดอะไรของเจ้า?! พูดออกมาอีกทีสิ ถ้าเจ้ากล้า!”

 

“โอ้ คนโง่เขลาที่มีแต่พละกำลัง แต่ไม่มีสมองนี่เหมาะสมกับการเป็นผู้สืบทอดเนี่ยนะ? น่าขำเสียจริง”

 

ฉีปู่ฝานเยาะเย้ย

 

ชายคนนี้มีพลังปราณดินที่หนาแน่น ซึ่งมันเอาชนะพลังปราณน้ำของซวนฮง

 

แรงกดดันจิตวิญญาณปะทะเข้าใส่กันและเพียงไม่นานซวนฮงก็พ่ายแพ้

 

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น สายตาของผู้สืบทอดทั้งสามสิบหกสำนักต่างตกตะลึง

 

ในชั่วครู่ต่อมา ความคิดที่น่ากลัวก็โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา

 

‘หรือว่าวิชาที่เหล่าผู้สืบทอดจากสำนักทั้ง 18 สำนักนั้นเลือกมาเพื่อเอาชนะพวกเขางั้นเหรอ?’

 

เมื่อมีความคิดดังนี้แล้ว เย่ฮัวที่มีปราณธาตุไฟก็ก้าวออกมา

 

เป็นไปตามคาด ผู้หญิงอีกคนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งก้าวออกมาและออร่าที่เยือกเย็นของเธอก็ทำให้อากาศในชั้นหนาวขึ้นกว่าเดิม อุณหภูมิในชั้นลดลงไป 7 ถึง 8 องศา

 

“มันเป็นวิชาน้ำแข็งลึกลับที่หายไปเป็นเวลานานนี่นา!”

 

เย่ฮัวอดที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงไม่ได้

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ฉีปู่ฝานหัวเราะออกมา

 

เขาชี้ไปที่ผู้สืบทอดทั้ง 16 คนและตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “พวกเจ้าทุกคน ระวังตัวเอาไว้! รอดูละกัน ในอีกสองวันข้างหน้า พวกเจ้าจะกลายเป็นตัวตลกมากแค่ไหนกัน พวกเจ้ายังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดได้อยู่อีกหรือเปล่า!”

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด