ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 38: ขอร้องหล่ะ ฆ่าข้าเถอะ
ไม่กี่นาทีต่อมา เฉินเฉินก็ได้พากลุ่มของเขาเดินทางไปตามถนนหลายกิโลเมตร ทันใดนั้นเอง เขาก็หยุดม้าของเขา
“จางจี พาคนกลับไปดูให้หน่อยว่าพวกนั้นฆ่ากันเองรึเปล่า”
จางจีรู้สึกสับสนอย่างมากเพราะเขาไม่รู้ว่าเฉินเฉินกำลังสื่ออะไร
ซึ่งเฉินเฉินก็ไม่ได้คิดจะอธิบาย แต่เขาพูดต่อแทน “ถ้าพวกนั้นฆ่ากันเอง ให้ฆ่าหัวหน้านักรบซะ”
“เอ๊ะ? เข้าใจแล้วครับ!”
แม้ว่าเขาจะมีคำถาม แต่จางจีก็ไม่คิดจะขัดคำสั่งเฉินเฉิน เขาเริ่มขี่ม้าย้อนกลับไปทางเดิม
ในตอนที่จางจีย้อนกลับไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็หยุดพักตามปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินยังไม่ว่างจากงาน เขาเริ่มจัดการเจ้าจิ้งจอกสองหางที่พึ่งจับมาให้อยู่ในสภาพที่ถูกที่ควร
ขั้นแรก เขาใช้เถาวัลย์กักอสูรมัดจิ้งจอกสองหางเอาไว้แน่น จากนั้นเขาก็เก็บน้ำอมฤตภายในเอาไว้ในกล่องที่แต่เดิมเคยเก็บน้ำอมฤตขั้นสร้างรากฐานเอาไว้
เขาไม่รู้ว่ากล่องนี้มีราคาเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่ามันสามารถกันไม่ให้พลังเซียนกระจายไปรอบ ๆได้ ด้วยการเก็บน้ำอมฤตอสูรเอาไว้ภายในกล่อง จิ้งจอกสองหางก็จะไม่สามารถเรียกมันกลับไปได้
ตามที่คาดเอาไว้ เมื่อเห็นน้ำอมฤตอสูรถูกเก็บเอาไว้ในกล่องนั้น เจ้าจิ้งจอกสองหางก็พยายามต่อต้านเหมือนพวกมักเกิ้ล (คนที่ไม่มีพลังเวทย์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์) แล้วแสดงความสิ้นหวังออกมาทางดวงตาของมัน
“ทำไมเจ้าถึงใจเสาะขนาดนี้ เจ้านำความอับอายมาให้ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ!”
จิ้งจอกสองหางสบถออกมาดังลั่น ตอนนี้ความหวังในการหนีรอดได้หายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดสุภาพอีกแล้ว
เมื่อได้ฟังคำพูดของอสูร เฉินเฉินก็ยิ้มแล้วตอบกลับ “ถ้าข้าใจแคบจริง ๆ ข้าคงจะฆ่าเจ้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
“เอาหล่ะ กลับมาที่ประเด็นหลักเลยแล้วกัน เจ้าเป็นอสูรตัวแรกที่ข้าเคยเจอ ข้าอยากจะถามคำถามเจ้านิดหน่อย”
ที่เฉินเฉินไม่ฆ่าจิ้งจอกสองหางก็เพราะมีเหตุผลอยู่ อสูรจิ้งจอกตัวนี้ไม่ใช่แค่อสูรตนแรกที่เขาเคยพบ แต่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตฝึกตนที่ไม่ใช่มนุษย์ตัวแรกที่เขาเคยเห็นด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่ามันรู้จักโลกมากกว่าชาวบ้านอย่างเขา ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยโอกาสรีดข้อมูลที่มีประโยชน์แบบนี้ให้หลุดรอดไปแน่
“เหอะ ทำไมข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วย?” จิ้งจอกสองหางหลับตา แล้วตัดสินใจที่จะไม่ตอบอะไร
“ทำไมงั้นหรอ? ข้าจะแสดงให้เจ้าดูละกันว่าข้ามีอะไรบ้าง!”
หลังจากที่พูดจบ เฉินเฉินก็เปิดย่าม ข้างในนั้นมีของกระจุกระจิกอย่างพวกหินกับกระดูกอยู่ ซึ่งพวกมันทั้งหมดสามารถยับยั้งอสูรได้
“ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะเอาย่ามนี้แขวนไว้กับตัวเจ้า และใช้หนังของเจ้าเป็นกระดาษชำระหลังจากที่เจ้าตาย”
จิ้งจอกสองหางอดตัวสั่นไม่ได้ในตอนที่มันได้เห็นของในย่าม หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ๆ มันก็ยอมแพ้ในที่สุด
อสูรตัวนี้ยังไงก็ไม่รอดแล้ว ดังนั้นทำไมไม่พยายามจะตายแบบที่สบายขึ้นหน่อยหล่ะ?
“ว่ามาเจ้าหนู จะถามอะไรก็ถาม ข้ายอมแพ้แล้ว!”
“เจ้าฝึกตนไปถึงขั้นไหนแล้ว”
“น่าจะเทียบเท่ากับฝึกพลังปราณระดับแปดสำหรับผู้ฝึกตนอย่างเจ้า”
“ฝึกพลังปราณขั้น 8? อ่อนแอจังเลยนะ…แล้วที่เจ้าแปลงเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะมีสถานะการฝึกตนถึงระดับที่เพียงพอหรอ?”
จิ้งจอกรู้สึกโมโหมาก เหตุผลหลักที่มันพ่ายแพ้ก็อย่างที่เห็น เจ้าเด็กนี่มีของมากมายที่เอาไว้ต่อกรกับอสูร—แม้กระทั่งสมบัติอย่างไม้ควบคุมมังกรด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพึ่งอุปกรณ์มากมาย แต่อีกฝ่ายก็ยังหัวเราะเยาะมัน
“ที่ข้าแปลงเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะพ่อแม่ของข้ามีความสามารถนั้น”
“เจ้ารู้จักอสูรตนอื่นไหม? แถวนี้มีอสูรอีกรึเปล่า?”
…
ในจุดนี้ เฉินเฉินได้กลายเป็นเด็กขี้สงสัย และยิงคำถามไม่หยุด ตอนแรก เจ้าจิ้งจอกรู้สึกค่อนข้างรำคาญกับคำถาม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฉินเฉินอ่านบทไถ่โทษอสูรออกมาเสียงดัง ความรำคาญของมันก็หายไปเกือบหมด เพราะมันเริ่มตอบคำถามในลักษณะที่เหมือนกับหุ่นยนต์แทน
ก่อนที่เฉินเฉินจะรู้สึกตัว เวลาก็ล่วงเลยไปสามสิบนาทีแล้ว ครู่ต่อมา เสียงม้ากลุ่มนึงก็ดังขึ้นใกล้ ๆ จางจีได้กลับมาแล้วพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน
“พี่ใหญ่ พวกนั้นฆ่ากันเองจริง ๆด้วยครับ ในตอนที่ข้าไปถึง หัวหน้าอัศวินกำลังสู้กับลูกน้องสามคน ส่วนคนที่เหลือตายหมดแล้ว”
หลังจากที่ฟังคำพูดของจางจีและเป็นไปตามที่คาดไว้ เขาก็ถามต่อ “เจ้าฆ่าหัวหน้านักรบไปรึเปล่า?”
“ตามที่พี่สั่งเลยครับ” จางจีตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดีแล้วหล่ะ”
“แต่พี่ใหญ่ พี่รู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นจะสู้กันเอง?” จางจีไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุผลที่พวกนักรบต่อสู้กันเองได้เลย ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงถามเฉินเฉินที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย
เฉินเฉินหยิกหูจิ้งจอกสองหางที่อยู่ในมือ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าก็ไม่มั่นใจหรอก แต่ไม่ว่ายังไงก็น่าจะมีพวกนั้นส่วนนึงที่อยากจะกลับ”
“จางจี เจ้าก็รู้ว่าพวกเรามีข้อมูลเรื่องในสถานี ถ้าไม่มีใครกลับไปได้และฝั่งนั้นส่งคนไปถามที่สถานี เจ้าคิดว่าพวกเราจะถูกกล่าวโทษเรื่องที่พวกนั้นหายไปไหมหล่ะ?”
เหงื่อที่หน้าของจางจีเริ่มไหลลงมา
ในตอนนั้น พวกเขาอาจจะถูกเหมารวมเรื่องการหายตัวไปของกลุ่มนักรบ เช่นเดียวกับความตายของนายน้อยของพวกนั้นด้วย!
“พี่ใหญ่ พี่พูดถูกแล้ว! ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก”
“ในส่วนเรื่องที่พวกนั้นต่อสู้กันเอง มันก็เดาได้ไม่ยากหรอก นักรบบางคนอยากกลับ ในขณะที่มีบางส่วนไม่อยากกลับ พวกนั้นก็เลยต้องต่อสู้กันถึงตาย เพราะถ้าพวกที่กลับไปอธิบายสถานการณ์ให้เจ้านายฟัง พวกที่ไม่ได้กลับก็จะต้องเผชิญกับการไล่ล่าไม่รู้จบ”
ในขณะที่เฉินเฉินอธิบายต่อ ใบหน้าของจางจีก็เริ่มแสดงความสับสน
ในขณะนั้นเองเจ้าจิ้งจอกก็เริ่มพูดขึ้นมาด้วยท่าทีรังเกียจ “พวกมนุษย์ก็แค่ชอบต่อสู้กันเองเท่านั้นแหล่ะ มันจะมีเหตุผลอะไรนักหนา?”
“หืม? แล้วทำไมมนุษย์ถึงชอบต่อสู้กันเองขนาดนั้นหล่ะ? อธิบายมาให้ชัด ๆซิ” ดวงตาของเฉินเฉินเปล่งประกาย ความสนใจของเขากลับมาที่เจ้าจิ้งจอก
ณ จุดนี้ เจ้าจิ้งจอกรู้สึกเสียใจที่พูดมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันไม่กล้าปิดปากเงียบ มันจึงเริ่มเล่าเรื่องราว
เฉินเฉินพยักหน้าไม่หยุดในขณะที่ฟัง หลังจากที่เรื่องจบ เขาก็เข้าใจโลกนี้มากขึ้น
ประเทศที่เขาอยู่ในขณะนี้ถูกเรียกว่ารัฐจิ้น ซึ่งอยู่เบื้องหลังสำนักที่แข็งแกร่ง
มีทั้งหมด 36 รัฐที่ถูกปกครองโดยรัฐจิ้น โดยในแต่ละรัฐนั้นจะมีหนึ่งสำนักคอยคุ้มครองอยู่ ซึ่งสำนักเทียนหยุนก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากนี้ ยังมีสำนักเล็ก ๆกระจายไปทั่วภูเขา
สำนักและรัฐจิ้นนั้นส่วนใหญ่จะพึ่งพากันเอง เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง รัฐโจว
ผู้ฝึกตนในรัฐโจวนั้นบูชาลัทธิมาร และมีพื้นฐานที่ต่างกับรัฐจิ้น ซึ่งส่งผลให้มีสงครามระหว่างรัฐและสำนักไม่มีที่สิ้นสุด
ถึงแม้ว่าโดยหลักแล้วรัฐจิ้นจะผนึกกำลังกันเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู แต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจริง ๆแล้วไม่ได้เข้ากันดีเลย การเย้ยหยันดูถูกถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องพูดถึงการใช้กำลังเข้าปะทะกันเลย
ด้วยเหตุนี้เอง คำกล่าวของจิ้งจอกสองหางที่บอกว่ามนุษย์ชอบสู้กันเองจึงไม่ได้ไร้เหตุผล
“ลัทธิมารคืออะไร? อธิบายมาซิ แล้วก็เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสำนักเทียนหยุนบ้าง? แข็งแกร่งแค่ไหน?”
เมื่อได้ฟังคำถามที่รัวเข้ามาของเฉินเฉิน จิ้งจอกก็เริ่มรู้สึกอยากจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายขึ้นมา ไม่ว่าชายที่รัวคำถามพวกนี้อยู่จะเป็นใคร แต่เขาดูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย เขาดูเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรไลย!
และเจ้าจิ้งจอกก็ถูกชาวบ้านคนนี้จับเป็นโดยที่ถอดน้ำอมฤตอสูรของมันออกไปอีก!
…
ในขณะที่เวลาผ่านไป ในที่สุดทั้งกลุ่มก็ออกมาจากป่าลึกและภูเขาก็อยู่เบื้องหลัง เฉินเฉินยังคงหาเวลาไปขุดนู่นขุดนี่เป็นบางครั้ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาออกไป เขาก็จะเอาเจ้าจิ้งจอกไปด้วยแล้วถามคำถามมันไม่หยุด
ในตอนนี้ เจ้าจิ้งจอกได้ตอบคำถามจนคอแห้งอย่างเข้าใจได้ ลิ้นสีชมพูของมันแลบออกมาเหมือนหมา และลมหายใจก็ถี่ขึ้น
“เจ้าทำแบบนั้นด้วยหรอ? หรือจริง ๆแล้วเจ้าเป็นหมา?” เฉินเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อได้ฟังคำถามของเฉินเฉิน ในที่สุดเจ้าจิ้งจอกก็ฟุบไปด้วยน้ำตาที่เอ่อนอง แล้วร้องไห้ฟูมฟาย “หมาอสูรอะไรกัน เจ้านั่นแหล่ะหมาอสูรตัวจริงที่มีจมูก! ฆ่าข้าเถอะ ข้าขอหล่ะ ข้าอยากจบกับคำถามปัญญาอ่อนพวกนี้แล้ว!”
คอมเม้นต์