ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 52: สำนักเทียนหยุนนี่มันช่างยอดเยี่ยม
สถานการณ์ฝึกตนของเฉินเฉินนั้นอยู่ในระดับสูงสุดของระดับฝึกปราณขั้นหก ซึ่งมันแตกต่างอย่างมากกับระดับฝึกพลังปราณขั้นสามที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เขาก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยก็สิบเท่า
ด้วยเหตุนี้นี่เอง เมื่อเขาเดินลงมาจากบนภูเขา เขากระโดดลงมาอย่างน้อยสิบขั้นต่อการก้าวหนึ่งขั้น ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเขาก็ได้ลงมาถึงตีนเขาหลัก
เมื่อเขาลงมาถึงตีนเขา เฉินเฉินได้ตั้งคำถามกับใครบางคน เพื่อที่จะถามหาตำแหน่งของศิษย์ภายนอก
ถึงแม้ว่าภูเขาเทียนหยุนจะใหญ่ สำนักเทียนหยุนนั้นครอบครองเพียงแค่ยอดเขาเจ็ดถึงแปดยอดเขาของใจกลางหมู่ภูเขาเท่านั้น ยอดเขาที่เหล่าลูกศิษย์ภายนอกตั้งอยู่ถูกเรียกว่ายอดเขาเทียนฉิน ซึ่งมันห่างจากยอดเขาหลักไปเพียงแค่สามพันเมตร
เพียงไม่กี่ชั่วขณะต่อมา เฉินเฉินวิ่งไปยังยอดเขาเทียนฉิน
เมื่อเทียบกับยอดเขาหลักแล้ว ซึ่งไม่ได้มีคนมากสักเท่าไหร่ ยอดเขาเทียนฉินเต็มไปด้วยคนมากมาย ศิษย์ภายนอกที่สวมชุดขาวต่างถูกพบเห็นได้ทั่วทุกแห่ง
เมื่อเห็นฝูงชนมากมายถึงเพียงนี้ เฉินเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ตั้งแต่ที่เขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักเทียนหยุน ลูกศิษย์เหล่านี้จะกลายเป็นลูกน้องของเขาในอนาคต
“ระวังตัวด้วย อย่าทำมันหกละ”
เมื่อเฉินเฉินเห็นศิษย์ภายนอกแบกน้ำเดินเซไปเซมา เขารีบเดินไปช่วยทันที
“ขอบ…ขอบคุณมากครับ ศิษย์พี่” ศิษย์นอกขอบคุณเฉินเฉิน ก่อนที่เขาจะแบกถังน้ำต่อไป
“หื้มม เจ้าเด็กหนุ่มนั่นมันขยันขันแข็งจริง” เฉินเฉินพูด เขายิ้มและจ้องไปยังแผ่นหลังของลูกศิษย์ เขาดูเหมือนกับผู้ว่าจ้างที่กำลังดูพนักงานที่ทำงานอย่างพากเพียร
เพียงแค่เขากำลังจะเดินขึ้นไปบนภูเขา คนที่คุ้นหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น
คนนั้นคือมู่หลง หลังจากที่สวมชุดศิษย์ภายนอกแล้ว เธอดูไม่สง่างามเท่าที่เคย ยังไงก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือหญิงสาวที่โด่งดังในจี๋โจวและเป็นที่รู้จักกันในฐานะที่สวรรค์โปรดปรานกำลังแบกถังน้ำอยู่
“เธอยังตั้งใจทำขนาดนี้! ฉันสงสัยจริงว่าเธอจะรู้ไหมว่าฉันได้กลายเป็นผู้สืบทอดแล้วเนี่ย…” เฉินเฉินพึมพำ
หลังจากนั้นเขาก็เดินไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของมู่หลง
เมื่อเห็นคนยืนขวางทางเธอไว้ มู่หลงก็หยุดเดินด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ แต่พอพบว่ามันเป็นเฉินเฉิน เธอรีบวางถังลงก่อนที่จะโค้งตัวให้เขาเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะ ผู้สืบทอด”
สายตาของเฉินเฉินสว่างวาบขึ้น เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ในความคิดของเขา เขาได้ชื่นชมมู่หลงไปนับสิบแปดรอบได้เลย
‘ดูความสุภาพและความยอดเยี่ยมของเธอเนี่ยสิ!’
หลังจากที่เขาคิด เฉินเฉินยิ้มและตอบกลับอย่างใจเย็น “ศิษย์น้อง เจ้าไม่ต้องสุภาพมากไปหรอก มันก็แค่ฐานะเท่านั้นแหละ เธอและข้าต่างเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน เรียกข้าว่าศิษย์พี่ก็พอ”
เมื่อเขาพูดออกมา น้ำเสียงของเฉินเฉินนั้นดังมาก เขาได้พูดมันออกมาเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความที่เขาเป็น ‘ผู้สืบทอด’ ให้ทุกคนต่างได้ยิน
“เขาคือผู้สืบทอดอย่างงั้นเหรอ?”
“มันดูเหมือนจะใช่นะ ดูมู่หลงหยุนหลานที่เย่อหยิ่งอยู่ตลอดเวลานั่นสิ เธอยังสุภาพต่อหน้าเขาเลย”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของฝูงชน เสียงของเฉินเฉินก็ดังกว่าก่อนหน้านี้อีกเล็กน้อย “ศิษย์น้อง ข้ามาที่นี่เพื่อหาเพื่อนเก่าของข้า เจ้าได้พบเห็นจางจีบ้างไหม?”
หลังจากที่ได้ยินและยืนยันตัวตนของเฉินเฉินได้แล้ว ศิษย์ภายนอกต่างรีบกรูเข้ามาทักทายเขาทันที
“สวัสดีครับ ผู้สืบทอด! ข้าคือโจวเจียนเป็นศิษย์ภายนอกครับ!”
“สวัสดีคค่ะ ผู้สืบทอด! ข้าคือฉู่เจียงค่ะ!”
…
ทันทีทันใด ทุกคนต่างก้มหัวให้และมันทำให้สีหน้าของมู่หลงหยุนหลานซับซ้อนมากขึ้น
เธอไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าเด็กหนุ่มที่ปฏิเสธที่จะติดตามเธอไปตอนนั้น เขาจะกลับกลายเป็นผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนแทนเสียแบบนี้ แม้ว่าในอนาคต เธอจะเข้าร่วมเป็นศิษย์ภายในก็ตาม เธอยังคงอยู่ภายใต้เขาอยู่ดี
“เจ้าไม่ต้องสุภาพไปหรอก ทุกคน พวกเรามาจากสำนักเดียวกัน ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่ได้เลย”แม้ว่าจะพูดแบบนั้น เฉินเฉินก็ยังมีความสุขมากอยู่ดี
ตัวตนของเขาในการเป็นผู้สืบทอดนั้นค่อนข้างมีประโยชน์มากเลยในเวลานี้
“ศิษย์พี่ จางจีน่าจะอยู่ครึ่งทางของบนภูเขา พวกเราพึ่งจะเข้าร่วมกับสำนักส่วนนอก พวกเราจึงต้องไปตักน้ำมาเทใส่ทุกวัน ก่อนที่พวกเราจะได้ฝึกบ่มเพาะพลังค่ะ” มู่หลงหยุนหลานพูดออกมาด้วยความนับถือ หลังจากที่เธอปรับอารมณ์ของเธอเสร็จแล้ว
“โอ้ ข้าเข้าใจ ข้าจะขึ้นไปบนภูเขาและตามหาเขา พวกเจ้าทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อกันไปเถอะ”
เฉินเฉินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม หลังจากที่เดินตรงขึ้นภูเขาไป
เพียงเวลาไม่นานที่เขาจากไป ศิษย์นอกสำนักต่างพูดคุยกันอย่างเสียงดัง
“เขาคือผู้สืบทอดนี่เอง เขาดูไม่เย่อหยิ่งและดูเป็นกันเองมากเลย เขาดูไม่เหมือนคนแย่เลยสักนิด!”
ศิษย์นอกสำนักที่เฉินเฉินได้ช่วยไว้ ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
“ใช่เลย เขาหล่อมากด้วย!” ศิษย์หญิงนอกสำนักอีกคนตะโกนออกมา
…
ไม่นานหลังจากที่เฉินเฉินเดินขึ้นไปบนภูเขา เขาก็พบจางจีที่อยู่บนภูเขา
จางจีกำลังแบกถังสองถังและตัวของเขาเปียกเหงื่อซก แต่เหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่….ใหญ่?”
จางจีประหลาดใจที่เห็นเฉินเฉิน แต่เพียงเวลาไม่นานเขาก็ตื่นเต้นและดีใจ
“พี่ใหญ่ มันเป็นพี่จริงด้วย ข้าได้ยินมาว่าท่านได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนัก! ข้าตื่นเต้นจนข้าแทบนอนไม่หลับทุกคืนเลย!”
เมื่อมองเห็นท่าทางตื่นเต้นของจางจีแล้ว เฉินเฉินรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดถึงจางจีมากสักเท่าไหร่และเขารู้สึกว่าตัวของเขานั้นเลวร้ายมาก
“จางจี ข้าได้ยินมาจางมู่หลงหยุนหลานว่าศิษย์นอกสำนักจะต้องแบกน้ำไปเติมทุกวันใช่ไหม? การทำแบบนั้น เจ้าถึงจะได้ไปบ่มเพาะพลังปราณสินะ แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าได้ถึงระดับการฝึกพลังปราณขั้นแรกแล้วงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉิน จางจีแสดงให้เห็นท่าทางอันลึกลับ
หลังจากที่สำรวจพื้นที่รอบข้างแล้ว เขากระซิบออกมา “พี่ใหญ่ พี่นี่ไม่รู้อะไรเลย ก่อนที่ข้าจะมีระดับการฝึกตน ข้าจะได้รับหินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งก้อนทุกครั้งที่ข้าเดินขึ้นเขาลงเขาสองรอบ ในตอนนี้ เมื่อข้ามีระดับการฝึกพลังปราณขั้นแรกแล้ว ข้าสามารถที่จะเดินขึ้นลงเขาได้ถึงแปดครั้งต่อวัน โดยที่ไม่เหนื่อยเลยสักนิด! ข้าหาเงินได้ 40,000 ตำลึงต่อวันในการแค่ยกน้ำแบบนี้! โอ้พระเจ้า สำนักเทียนหยุนมันช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”
หลังจากพูดเสร็จ จางจีก็ดึงหน้า เหมือนกับว่าเขากำลังภาคภูมิใจกับสติปัญญาและความเจ้าเล่ห์ของเขา
เมื่อเฉินเฉินได้ยินมัน ดวงตาข้างขวาเขากระตุกไม่หยุด ‘เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มันก็ทำให้เขาพึงพอใจได้แล้วนี่มัน…’
ในเวลาเดียวกัน เขาตระหนักได้ถึงสิทธิพิเศษที่เขาได้รับการปฏิบัติ เมื่อเขากลายเป็นผู้สืบทอดเช่นนี้
เขาได้ใช้หินวิญญาณไปนับพันก้อนและเจ้าสำนักยังไม่บ่นอะไรเขาเลยสักคำ ถ้าจางจีได้ยินมันแล้ว เขาคงเริ่มจะสงสัยในชีวิตของตัวเขาเองแล้วละ
“ข้ากำลังวางแผนที่จะให้ผู้อาวุโสนอกสำนักลงสถานการณ์ฝึกตนของข้า หลังจากที่ข้าหาหินวิญญาณได้สักร้อยก้อน ยังไงก็ตาม พี่ใหญ่ พี่ขาดแคลนหินวิญญาณไหมครับ?”
เมื่อจางจีพูดเสร็จ เขาก็หยิบหินวิญญาณสามก้อนที่มีเหงื่อติดออกมา ก่อนที่จะยัดมันลงไปในมือของเฉินเฉินอย่างใจกว้าง
“จางจี ข้าคือผู้สืบทอด ข้าจะขาดแคลนหินวิญญาณได้ยังไง? รีบไปลงระดับการฝึกตนให้เร็วซะ อย่าไปแบกน้ำอีกละ ข้าคือผู้สืบทอด แต่เจ้ากลับยกน้ำเพื่อหาหินวิญญาณไม่กี่ก้อนแบบนี้เนี่ยนะ มันทำให้ข้าอับอายนะ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าเจ้าขาดหินวิญญาณก็แค่มาหาข้าก็พอ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณของเจ้าเลยสักนิด”
เฉินเฉินรีบคืนหินวิญญาณสามก้อนให้กับจางจี แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนดีสักเท่าไหร่ เขายังไม่พอใจมากอยู่ดีที่เขาจะรับหินวิญญาณที่จางจีทำงานอย่างยากลำบากแบบนี้ไป
“แต่…นี่มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากเลยนะครับ…” จางจีดูสับสนมาก
ในหัวของเขา มันมีแต่ความคิดที่ว่า ’40,000 ตำลึงต่อวัน วนไปมาในหัว’
“อย่าเอาแต่คิดเรื่องไร้สาระแบบนี้สิ เมื่อข้าคุ้นเคยกับสำนักเทียนหยุนแล้ว ข้าจะจัดการให้เจ้ามาอยู่บนยอดเขาหลักให้ได้เอง แล้วเจ้าจะได้รับรู้ว่าหินวิญญาณสี่ก้อนต่อวันมันก็เป็นแค่เม็ดถั่วในมหาสมุทรเท่านั้นแหละ” เฉินเฉินพูด เขาคาดหวังให้จางจีนั้นได้รับสิ่งที่ดีมากกว่านี้
…
เมื่อเฉินเฉินและจางจีพบกับบนภูเขา ข่าวของการปรากฏตัวขึ้นของเฉินเฉินบนยอดเขาเทียนฉินก็ได้แพร่กระจายไปถึงศิษย์ภายในสำนักที่อยู่บนยอดเขา
เมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว กลุ่มของศิษย์ภายในต่างเดินตรงไปหาสวนที่โดดเด่นที่สุดทั้งสองแห่งบนยอดเขาด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม
“โอ้? เจ้าเด็กนั่นลงไปยังยอดเขาเทียนฉินงั้นหรือ?”
ภายในสวน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความซุกซนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายที่มีมัดกล้าม หลังจากที่เขาได้รับรายงานนี้
ปู่ของเขาคือหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุน ดังนั้นเขาจึงถึงรู้ตัวตนของเฉินเฉินดี
“ครับ” ศิษย์ภายในที่รายงานเรื่องราวนี้ตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ชายบึกบึนลุกขึ้นยืนและเยาะเย้ย “ตัวตลกก็ยังเป็นตัวตลกอยู่วันยังค่ำ แม้ว่าเขาจะได้ขึ้นไปบนนั่งบัลลังก์ทองคำก็ตาม วันนี้ ข้าจะทำให้ทุกคนสำนักเทียนหยุนได้ตระหนักถึงความเป็นจริงนี้เอง”
คอมเม้นต์