ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 58: คุกคาม

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 58 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ที่จัตุรัสของยอดเขาเทียนฉิน กลุ่มศิษย์ภายในและภายนอกได้มารวมตัวกัน

 

วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะมันคือวันที่ศิษย์ภายในจะมาเล่าประสบการณ์การฝึกตนของพวกเขาให้กับศิษย์ภายนอก

 

เรื่องพวกนี้เป็นงานของศิษย์ภายใน ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลเป็นหินวิญญาณ

 

เมื่อเทียบกับภารกิจกำจัดปีศาจหรืองานตามหายาแล้ว งานนี้ถือว่าง่ายที่สุด ดังนั้นศิษย์ภายในหลายคนจึงมาที่ยอดเขาเทียนฉินในวันนี้ รวมทั้งซุนเทียนกังและเหล่าศิษย์น้องของเขาที่อยู่สำนักภายในด้วย

 

ศิษย์ภายในกำลังอธิบายประสบการณ์การฝึกตนของพวกเขาอยู่ที่กลางจัตุรัสในขณะที่ศิษย์ภายนอกนั่งฟังอยู่รอบๆด้วยความตั้งใจ มีผู้อาวุโสของศิษย์ภายนอกคนนึงกำลังมองภาพนี้อย่างเงียบๆจากที่ไกลๆ

 

 

ในตอนนั้นเอง หวังเฟิงก็เดินมาถึงทางเข้าจัตุรัสด้วยแรงใจที่เต็มเปี่ยมและสังเกตเห็นจ้าวเสี่ยวหยาที่อยู่ตรงกลางในทันที

 

“ยัยนั่นอยู่ที่นี่ด้วยหรอ? อ้ะ ข้าลืมไปว่าวันนี้มันวันที่พวกนั้นจะมาอธิบายความรู้และประสบการณ์ของตัวเองนี่หน่า”

 

หลังจากสบถอย่างเงียบๆ หวังเฟิงก็ตรงไปนั่งในกลุ่มศิษย์

 

ศิษย์ภายนอกที่รู้จักเขาพยายามออกห่างจากเขาอย่างเต็มที่ ส่วนศิษย์ใหม่ที่ไม่รู้จักเขาก็ยังคงนั่งฟังต่อไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ

 

หวังเฟิงไม่ได้สนใจพวกที่ตีตัวออกห่างจากเขาและเริ่มสังเกตดูศิษย์ใหม่

 

“ยัยอัปลักษณ์นั่นตัวอะไรกัน? ข้าให้เจ้า 8 เต็ม 100”

 

“ชิ คนนี้ไม่เลว แต่อ้วนไปหน่อยนะ”

 

หวังเฟิงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับศิษย์ที่อยู่ในฝูงชนอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ศิษย์หญิงจ้องมาที่เขาตาเขม็ง

 

มีศิษย์หญิงบางคนโมโหถึงขั้นที่รู้สึกอยากจะเข้าไปด่า แต่หลังจากที่ถูกศิษย์พี่ดุ พวกเธอก็อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้

 

“โห คนนี้ไม่เลวเลย ข้าให้เธอ 93 คะแนน!”

 

หวังเฟิงไม่สนใจสายตาของคนอื่นในขณะที่เขามองมู่หลง หยุนหลาน ที่นั่งอยู่ไกลออกไปพร้อมกับกระดาษและปากกาในมือ

 

เหมือนกับแมวที่ได้กลิ่นปลา เขาขยับไปหามู่หลงหยุนหลาน

 

“ศิษย์น้อง เจ้าชื่ออะไรหรอ?”

 

“มู่หลงหยุนหลานค่ะ”

 

มู่หลงหยุนหลานกำลังตั้งใจฟังมากๆ ความไม่พอใจปรากฎขึ้นบนหน้าของเธอเนื่องจากถูกกวนสมาธิอย่างกระทันหันแต่ก็ยังคงตอบคำถามของหวังเฟิงไปโดยดีและบอกชื่อของเธอไปตามมารยาท

 

“ชื่อเพราะดีนะ! ข้าชื่อหวังเฟิงเป็นศิษย์แลกเปลี่ยนจากสำนักอู๋ซินที่ถูกส่งมาที่สำนักเทียนหยุน พูดตามตรง เจ้าโง่นั่นกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่หล่ะนั่น? มันเลวร้ายกว่ามหากาพย์เต๋าของสำนักอู๋ซินคนละโลกเลย!”

 

หวังเฟิงชี้ไปทางซุนเทียนกังที่อยู่กลางจัตุรัสอย่างไม่แยแสในขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น

 

ความสับสนปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่หลงหยุนหลานแล้วเธอก็ไม่รู้สถานการณ์ในสำนักเทียนหยุนเอาซะเลย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์จากอู๋ซินถึงได้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเธอ

 

“ศิษย์น้อง เจ้าอยากฟังมหากาพย์เต๋าของสำนักอู๋ซินไหมหล่ะ? วันนี้มาหาข้าที่ห้องสิ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะสอนให้เอง ข้าสัญญาเลยว่าเจ้าจะได้เข้าสู่หนทางเซียนในทันที…”

 

ในขณะที่หวังเฟิงพูด เขาก็เอื้อมมือไปจับข้อมือของมู่หลงหยุนหลาน

 

ผั่วะ!

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้แตะต้องมู่หลง หยุนหลาน เขาก็ถูกตบเข้าที่หน้าอย่างรุนแรง

 

หลังจากที่ถูกตบ หวังเฟิงก็นิ่งอยู่กับที่ ครู่ต่อมา ดวงตาของเขาก็ถูกเติมเต็มด้วยความโกรธ

 

ถึงยังไงจ้าวเสี่ยวหยาก็อยู่ขั้นสร้างรากฐาน อย่างไรก็ตาม เด็กสาวตรงหน้าเขานั้นดูเหมือนจะเป็นคนใหม่ของสำนัก เธอเอาความกล้าจากไหนมาตบเขากัน?

 

‘ดูเหมือนว่าคนของสำนักเทียนหยุนจะลืมไปแล้วสินะว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหนหลังจากที่ข้าไม่อยู่มาพักใหญ่ๆ’

 

ในขณะที่หวังเฟิงกำลังจะออกหมัด เขาก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของผู้อาวุโสสำนักภายนอกดังมาจากด้านนอก

 

“หวังเฟิง พอได้แล้ว รับหินวิญญาณ 50 ก้อนพวกนี้แล้วออกไปซะ!”

 

หวังเฟิงเย้ยหยันคำพูดของเขา “อะไรกัน? ท่านไม่ยอมให้ข้าศิษย์แลกเปลี่ยนคนนี้ได้เรียนในสำนักเทียนหยุนหรอ? ท่านคิดว่าข้าอยากอยู่ในสำนักเทียนหยุนของท่านรึไง? ถ้าท่านกล้าพอ ก็ลองส่งข้ากลับไปดูสิ!”

 

ผู้อาวุโสสำนักภายนอกโกรธขึ้นมาจริงๆแล้วกับการที่เซียนระดับฝึกพลังปราณมาพูดเถียงเขาแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรกับหวังเฟิง

 

ถ้าสำนักเทียนหยุนพูดไม่ดีกับสำนักอู๋ซินต่อหน้าสายลับของอู๋ซิน สำนักเทียนหยุนก็อาจจะต้องสูญเสียทรัพยากรเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งในสนามรบ พวกเขาก็คงจะถูกสำนักอื่นตีตัวออกห่างและจบลงที่การได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผู้อาวุโสสำนักภายนอกก็ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วพูด “ถ้าเจ้าอยากเรียนก็เรียนได้แต่ถ้าเจ้าพูดคุกคามศิษย์หญิงอีกครั้ง อย่ามาโทษที่ข้าไม่ใจดีกับเจ้าก็แล้วกัน!”

 

หวังเฟิงไม่สนใจผู้อาวุโสแล้วนอนลงบนพื้นพร้อมกับฮัมเพลงโดยไม่สนอะไร

 

หลังจากที่ศิษย์ภายในที่อยู่กลางจัตุรัสเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์เล่าอีกต่อไปแล้วเร่งความเร็วในการบรรยายของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็คือรีบสอนให้จบให้เร็วที่สุดแล้วออกไปจากความวุ่นวายนี้

 

เหล่าผู้อาวุโสสำนักภายนอกกำหมัดอย่างไม่พอใจเพราะพวกเขาทำได้แค่ดูอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าไอ้บัดซบหวังเฟิงชอบออกไปเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆ เขาคงจะถูกพวกเขาสังหารไปแล้ว

 

 

แม้ว่าหวังเฟิงจะทำลายบรรยากาศที่สำนักภายนอก แต่เฉินเฉินกำลังฝึกตนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบในสวนที่ยอดเขาหลักซึ่งไม่มีใครมารบกวนเขา แล้วเขาก็ได้ปล่อยวางความคิดเกี่ยวกับสำนักอู๋ซินไปแล้วด้วย

 

“ฟู่ ฟู่ ฟู่! นายท่านฝึกตนตลอดทั้งเช้าเลย ตอนนี้ถึงเวลาพักแล้ว แล้วก็ พี่เซียงเอ๋อ ไปทำอาหารซะ”

 

เจ้าผักบุ้งน้อยในสวนสมุนไพรพูดอย่างร่าเริง

 

เฉินเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หลังจากผ่านไปแค่วันเดียว เจ้าผักบุ้งก็สามารถเรียนรู้วิธีพูดได้แล้ว นอกจากนั้น มันยังคอยเตือนเขาเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญด้วย แค่เท่านี้มันก็ดีกว่า AI พูดได้ในชีวิตก่อนของเฉินเฉินแล้ว

 

เฉินเฉินไม่สงสัยเลยว่าเขาจะสามารถสอนมันร้องเพลงได้ตราบใดที่เขาใส่ความพยายามเข้าไป

 

“ผักบุ้งน้อย เจ้าต้องพูดให้เพราะกว่านี้นะ เจ้าควรพูดว่า ‘พี่เซียงเอ๋อ ช่วยทำอาหารให้หน่อย’ เข้าใจไหม?” เฉินเฉินพูด และสอนให้เจ้าดอกไม้สุภาพขึ้น

 

“เข้าใจแล้ว พี่เซียงเอ๋อ ช่วยทำอาหารให้หน่อย!” เจ้าผักบุ้งตอบ

 

ในตอนที่หูเซียงเอ๋อได้ยินคำสั่ง เธอก็ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเริ่มเดินตรงไปที่ครัวอย่างไม่เต็มใจ

 

หลังจากพยายามฝึกตนมาครึ่งวัน เฉินเฉินก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากต่อแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้เหนื่อยมากขนาดนั้นก็ตาม หลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับมันซักพักและกินอาหารเสร็จ เขาก็ออกไปจากสวน

 

ยอดเขาหลักนั้นกว้างขวางและนอกจากตำหนักหลักก็ยังมีป่าไม้และป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ ซึ่งเขายังไม่ได้ออกไปสำรวจเลย ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจถือโอกาสนี้ในการออกไปค้นหาสมบัติ

 

หลังจากที่เฉินเฉินนำวิญญาณดินเหลืองหนึ่งหมื่นปีเข้ามาเพิ่มในสวนสมุนไพร พลังปราณในสวนก็เพิ่มขึ้นมา 50% เฉินเฉินรู้สึกว่าตราบใดที่เขาพบสมบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ และนำพวกมันมาไว้ในสวน เขาก็จะสร้างดินแดนแห่งเซียนขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

 

ในการทำเช่นนี้ เขาจะได้รับสิ่งที่จำเป็นสำหรับการฝึกตนของเขาและเขาก็แค่ดูดซับมันผ่านพลังปราณในอากาศ

 

เขาจะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการขยี้หินวิญญาณเหมือนที่เขาทำอยู่ในตอนนี้

 

 

“ท่านเจ้าของ มีหน่อไม้เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยพลังปราณ ซึ่งเก็บพลังปราณที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับหินวิญญาณระดับต่ำสามก้อนเอาไว้ ตำแหน่งของมันอยู่ทางขวาข้างหลังไม้ไผ่ตรงหน้าท่านค่ะ”

 

“ท่านเจ้าของ ใต้เท้าของท่านลึกลงไปสองเมตร มีรากไม้กลายพันธุ์ที่เก็บพลังชีวิตเอาไว้อยู่ การกินมันเข้าไปจะช่วยเพิ่มอายุขัยของท่านได้หนึ่งปี”

 

 

หลังจากขุดของต่างๆที่เขามองว่าดีขึ้นมา เฉินเฉินก็กลับมาที่สวนอีกครั้งอย่างมีความสุขแล้วขอให้หูเซียงเอ๋อทำซุปหน่อไม้กับรากไม้ให้เขา นอกจากนี้เขายังเพิ่มโสมม่วงเข้าไปชิ้นนึงด้วย

 

ไอที่ฟุ้งขึ้นมาจากน้ำซุปนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณ ซึ่งทำให้เฉินเฉินตกตะลึง

 

น่าจะมีอยู่แค่ไม่กี่คนที่จะฟุ่มเฟือยได้เหมือนเขาด้วยการกินของที่มีพลังปราณเข้าไปทุกวัน แม้กระทั่งมนุษย์ธรรมดาก็คงจะกลายเป็นเซียนได้ถ้าพวกเขาทำสิ่งที่เขาทำ

 

ในตอนที่พูดถึงมนุษย์นั้นเอง เฉินเฉินก็อดรู้สึกนึกถึงพ่อแม่ของเขาที่อยู่ที่บ้านไม่ได้

 

เขาใช้ชีวิตในสำนักเทียนหยุนมาหลายวันแล้วและเขาก็คิดว่าพ่อแม่ของเขาน่าจะยังไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของเขา เขารู้สึกว่าเขาต้องหาวิธีรายงานกลับไปหาพวกเขาว่าเขาปลอดภัยดี มันคงจะดีที่สุดถ้าเขาสามารถฝากสมบัติไปให้พ่อแม่ของเขาได้ด้วย

 

“อ้ะ!”

 

เฉินเฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและตักซุปถ้วยนึงก่อนที่จะมุ่งหน้าตรงไปตำหนักหลักซึ่งเป็นของเจ้าสำนัก

 

เนื่องจากอาจารย์ของเขาคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี เขาจึงอยากจะแสดงความกตัญญูกลับไปบ้าง

 

ในทันทีที่เขาเข้าไปในตำหนักหลัก เสียงของเซี่ยวอู่โยวก็ดังเข้ามาในหูของเขา

 

“ศิษย์เอ๋ย เจ้ามาหาข้ามีเหตุอันใดหล่ะ? เจ้าใช้หินวิญญาณหมดแล้วหรอ?”

 

ใบหน้าของเฉินเฉินหม่นหมองในทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของอาจารย์ ‘คิดว่าฉันมาที่นี่เพื่อขอของพวกนั้นอย่างเดียวรึไง อาจารย์ท่านกำลังดูถูกผมนะ!’

 

“อะแฮ่ม คือว่านะครับท่านอาจารย์ พอดีข้าขุดหน่อไม้ขึ้นมาได้แล้วรู้สึกว่ามันเป็นของดี ข้าก็เลยนำมันไปต้มซุบเพื่อมาแสดงความเคารพต่อท่านซักเล็กน้อยครับ”

 

ในทันทีที่เขาพูดจบ เซี่ยวอู่โยวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน หลังจากที่เห็นซุปซึ่งปล่อยไอที่เต็มไปด้วยพลังปราณออกมา ใบหน้าของเซี่ยวอู่โยวก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย

 

“เป็นยังไงบ้างครับ? ท่านอาจารย์ ซุปถ้วยนี้ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหมครับ?”

 

เฉินเฉินถามเหมือนกับว่าเขากำลังยกสมบัติให้

 

“เสียดายของจริงๆ!” เซี่ยวอู่โยวอดขมวดคิ้วไม่ได้ในตอนที่เขาเห็นโสมม่วงที่ลอยอยู่

 

พอได้ฟังคำตอบนี้ เฉินเฉินก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

 

“เอ่อ คือว่าท่านอาจารย์ ข้าได้ออกเดินทางมาค่อนข้างนานแล้วแต่ครอบครัวของข้าไม่รู้…”

 

เซี่ยวอู่โยวยิ้มและยังคงเงียบอยู่ในขณะที่เขาคว้าถ้วยซุปแล้วดื่มมันจนหมดก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าได้รายงานกับพ่อแม่ของเจ้าไปแล้วว่าเจ้าปลอดภัยดีในตอนที่ส่งคนไปสืบค้นตัวตนของเจ้า แล้วข้าก็ได้แจ้งเจ้าเมืองให้ดูแลพ่อแม่ของเจ้าเป็นพิเศษด้วย”

 

เฉินเฉินตกอยู่ในความเงียบเพราะเขาถูกครอบงำด้วยอารมณ์ต่างๆ

 

‘ท่านอาจารย์ดูแลฉันดีจริงๆ ซุปของฉันไม่ได้สูญเปล่าหรอก’

 

ในตอนที่เฉินเฉินกำลังคิดคำพูดเวิ่นเว้อเพื่อสรรเสริญอาจารย์ของเขา คนๆนึงก็เข้ามาอย่างกะทันหัน เขาคือผู้อาวุโสสำนักภายนอก

 

เขาดูค่อนข้างทุกข์ใจและคุกเข่าในทันทีที่เข้ามา

 

“ท่านเจ้าสำนัก หวังเฟิงก่อปัญหาในระหว่างการบรรยายของสำนักภายนอกครับ ตอนนี้ เขาถึงกับขู่ที่จะท้าทายศิษย์ทุกคนของสำนักเทียนหยุนด้วย….ข้ารับมือไม่ไหวแล้ว ท่านเจ้าสำนักโปรดตัดสินใจด้วย!”

 

“หืม? เขาอยู่แค่ระดับฝึกพลังปราณขั้นที่หกแต่กลับอยากท้าทายศิษย์ทุกคนในสำนักเทียนหยุนหรอ?” เซี่ยวอู่โยวถาม ใบหน้าของเขาหดหู่ในขณะที่ฟังคำพูดของผู้อาวุโส

 

ผู้อาวุโสสำนักภายนอกอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ในขณะที่ตอบกลับ “ท่านเจ้าสำนัก ถึงเขาจะมีวรยุทธ์ที่ต่ำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าโจมตีเขาเลยครับ เขาท้าทายศิษย์ภายในหลายคนให้ต่อสู้แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็แพ้ให้กับเขา ตอนนี้ เขากำลังดูถูกสำนักเทียนหยุนอยู่ครับ…”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด