ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 61: เจ้ากำลังดึงดูดปัญหา
“เจ้าใช้เหรียญสื่อสารนี้ยังไง?” เฉินเฉินถามอย่างเย็นชาพร้อมขมวดคิ้ว
หวังเฟิงส่ายหัวไม่หยุดและมีสภาพจนปัญญาทางอย่างสมบูรณ์
“ช่างมันเถอะ ข้าจะอัดเจ้าให้ตาย แบบนั้นก็ได้ผลเหมือนกัน”
เฉินเฉินโยนเหรียญสื่อสารทิ้งแล้วอัดหวังเฟิงจนถึงจุดที่เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“คนๆนี้อยากจะอัดข้าให้ตายจริงๆ!”
ในขณะที่ถูกอัด หวังเฟิงก็เริ่มสติเลือนราง และรู้สึกว่าเฉินเฉินอยากจะฆ่าเขาแล้วไปเข้าร่วมเป็นศิษย์สำนักอู๋ซินจริงๆ
‘มีคนที่โหดร้ายขนาดนี้อยู่ในโลกด้วยหรอ!? เขาช่างขี้รังแกจริงๆ!’
หวังเฟิงสบถอยู่ในใจ แต่ก็อดที่จะร้องขอความเมตตาออกมาไม่ได้
“ท่านผู้สืบทอด ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!
“ข้าจะไม่ต่อสู้อีกแล้ว! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
เสียงอ้อนวอนขอความเมตตาของเขาดังก้องไปทั้งจัตุรัส ศิษย์ภายในและภายนอกแอบรู้สึกสะใจอยู่ข้างใน ณ เวลานี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้จดจำเฉินเฉิน ในฐานะผู้สืบทอดและนักบุญแห่งสำนักเทียนหยุน
อย่างไรก็ตามสายตาของซุนเทียนกังและเจ้าเสี่ยวหยานั้นมีความกังวลอยู่ การต่อสู้นี่มันทำให้รู้สะใจอยู่ก็จริงแต่ถ้าหวังเฟิงตอบโต้หล่ะ? เฉินเฉินจะฆ่าเขาได้จริงๆหรอ?
ครู่ต่อมา ในที่สุดเฉินเฉินก็หยุดลงแล้วลากหวังเฟิงมา
“ศิษย์พี่เฉิน… พี่อยากจะ…”
จ้าวเสี่ยวหยาเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องหายากสำหรับเธอ แล้วมันก็ไม่มีร่องรอยความเป็นห่วงอยู่ในน้ำเสียงของเธอด้วย
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้านี่กล้ามารังแกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน ต่อให้เขามาจากสำนักอู๋ซิน ข้าก็ไม่อนุญาต! ถ้าสำนักอู๋ซินอยากจะลงโทษสำนักเทียนหยุนจริงๆ ข้าก็จะไม่ใช้ทรัพยากรของสำนักในการชดเชยบทลงโทษ”
หลังจากที่เฉินเฉินพูดเรื่องที่ยุติธรรมพวกนี้ออกมา เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับ แล้วเอาหลังเผชิญหน้ากับฝูงชนแทน
“ศิษย์พี่เฉินเฉิน ท่านจะรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวหรอคะ? แต่ว่า…” มู่หลงหยุนหลานพึมพำ สายตาของเธอเปล่งประกาย ณ เวลานี้ เธอรู้สึกตื้นตันจริงๆและหวังว่าเธอจะสามารถเสนอตัวเพื่อเขาได้
‘ศิษย์พี่อาจจะเป็นผู้สืบทอดแต่สำนักก็น่าจะยังลงโทษเขาที่ทำเรื่องแบบนี้ใช่ไหม?’
ศิษย์ภายในและภายนอกคนอื่นๆก็ดูรู้สึกผิดในตอนที่พวกเขาได้ฟัง
ผู้สืบทอดควรจะได้ฝึกตนอย่างสงบสุขในยอดเขาหลักและไม่ต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเขาก็ยังออกมาที่สำนักภายนอกแล้วยืนหยัดเพื่อทุกคนโดยไม่ลังเล
ความชอบธรรมนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นไหว
…
ในตอนที่ออกมาจากยอดเขาเทียนฉิน เฉินเฉินก็ผ่อนคลายร่างกายของเขา เขารู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหลังจากที่แกล้งทำตัวให้ดูน่ายกย่องเป็นเวลานานขนาดนั้น
“ตอนนี้ฉันน่าจะสร้างความประทับใจที่ดีให้กับพวกเขาได้แล้วใช่ไหม? ฮ่าฮ่า! การเป็นผู้สืบทอดที่ทุกคนเคารพนับถือก็รู้สึกสนุกดีนะ!”
หลังจากหัวเราะแล้วพึมพำกับตัวเอง เฉินเฉินก็ยกมือขึ้นแล้วมองหวังเฟิง ที่ถูกอัดจนหน้าบวมปูดไปหมด
“เห้อ ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจนะ? ในสำนักเทียนหยุน มีแค่ข้าเท่านั้นที่จะทำตัวไร้กฎได้ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”
ในขณะที่สายหัว เฉินเฉินก็ลากหวังเฟิงที่หมดสติไปแล้วตรงไปที่ยอดเขาหลัก
การซ้อมเขาจนน่วมอย่างเดียวมันยังไม่พอ เขาต้องทำการล้างสมองด้วย
มันคงจะดีที่สุดถ้าเขาไม่พิการไปซะก่อน
…
สิบห้านาทีต่อมา เฉินเฉินก็ลากหวังเฟิงเข้าไปในสวนของยอดเขาหลัก จากนั้นก็ทิ้งเขาไว้กลางตำหนัก
หลังจากนั้น เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางแล้วเอนพิงอย่างสบายๆ ถ้าตอนนี้เขามีบุหรี่อยู่ เขาคงจะดูเหมือนเจ้าพ่อ
“เซียงเอ๋อ ไปเอาเห็ดหลินจือสีม่วงมาให้เจ้านี่หน่อย”
เฉินเฉินสะบัดมือและทำเป็นเหมือนคีบบุหรี่อยู่ในมือ
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา หูเซียงเอ๋อที่อยู่ข้างๆก็มองหวังเฟิงด้วยความเห็นใจ เธอรู้ว่าเจ้านายของเธอกำลังจะสอนบทเรียนให้เขา…
โดยปกติ หลังจากที่ถูกซ้อมมานั้น หัวก็จะค่อนข้างสับสน และด้วยเหตุนั้นเองจึงโดนหลอกได้ง่ายมาก เหมือนกับหูเซียงเอ๋อในตอนที่หลุดพ้นจากการถูกขังอยู่สองสามวัน
หลังจากเอาเห็ดหลินจือสีม่วงส่วนนึงให้หวังเฟิง หูเซียงเอ๋อก็ไปยืนอยู่ข้างหลังเฉินเฉินในฐานะฉากหลังอย่างรู้งาน
ไม่นานนัก เสียงไอก็ดังขึ้น
ผลของเห็ดหลินจือสีม่วงนั้นรวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานก่อนที่หวังเฟิงจะได้สติกลับมา อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาเห็นเฉินเฉิน เขาก็นึกถึงฉากน่ากลัวที่เขาถูกเล่นงานก่อนหน้านี้แล้วคุกเข่าคำนับขอความเมตตา
“ท่านผู้สืบทอด โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“เจ้าจะร้อนรนอะไรขนาดนั้น? นั่งลงก่อนสิ”
เฉินเฉินชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ถัดจากเขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
หวังเฟิงยิ้มแล้วไปนั่งเก้าอี้อย่างหวาดกลัว ณ จุดนี้ ถ้าเฉินเฉินพูดดังขึ้นอีกเล็กน้อย เขาคงจะสะดุ้งแล้วคุกเข่าขอความเมตตาในทันที
“เซียงเอ๋อ ไปรินน้ำชาให้คุณหวังซักแก้วซิ” เฉินเฉินบอกด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียงเอ๋อก็เดินไปหาหวังเฟิงเพื่อรินน้ำชาให้เขาในทันที
หวังเฟิงดูสับสนเล็กน้อยในตอนที่เห็นแบบนี้ เขาครุ่นคิด ‘หรือว่าเฉินเฉินจะรู้ตัวแล้วว่าเขาใจร้อนเกินไปแล้วอยากจะขอโทษสำหรับการกระทำของเขา?’
ในทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ความโกรธในใจเขาก็ปะทุขึ้นเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด!
‘ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่จะยอมรับความผิดของเจ้าแล้ว!’
ในขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีแก้แค้น เฉินเฉินก็ตะคอกสุดเสียงขึ้นมาอย่างกระทันหัน!
“หวังเฟิง! ตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันยังไม่รู้ตัวอีกสินะ!”
เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้ หวังเฟิงก็สะดุ้งจากเก้าอี้ในทันทีเหมือนกับนกขี้ตกใจ แล้วลงไปคุกเข่า
“ท่านผู้สืบทอด โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ความคิดที่จะแก้แค้นของเขาหายไปหมดในทันที
เฉินเฉินเย้ยหยันแล้วจิบชาเข้าไป
“ไว้ชีวิตเจ้าแล้วได้ประโยชน์อะไร? ข้าไม่ใช่คนที่อยากฆ่าเจ้าซักหน่อย”
หวังเฟิงเหงื่อแตกพลั่กในตอนที่เขาได้ยินแบบนี้
‘ถ้าเฉินเฉินไม่อยากฆ่าข้า ก็หมายความว่าคนของสำนักเทียนหยุนอยากฆ่าข้าแทนใช่ไหม?’
ในขณะที่เขาอยู่ในสภาพพูดไม่ออก เฉินเฉินก็ถามขึ้นมาคำถามนึง
“หวังเฟิง ขอถามตรงๆเลยนะ เจ้าคิดว่าอนาคตสำหรับสำนักเทียนหยุนและอู๋ซินจะเป็นยังไง?”
หวังเฟิงตกตะลึงไม่กล้าที่จะตอบคำถาม
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา เฉินเฉินก็พูดต่ออย่างใจเย็น “เจ้าคงจะรู้ดีว่าสำนักอู๋ซินวางแผนจะทำอะไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีสองทางเลือกสำหรับอนาคตของสำนักเทียนหยุนและอู๋ซิน ทางเลือกแรกคงจะเป็นการที่สำนักเทียนหยุนถูกสำนักอู๋ซินกำจัดจนราบคาบ
“ส่วนทางเลือกที่สอง สำนักเทียนหยุนจะถูกสำนักอู๋ซินยึดไปและกลายเป็นสาขานึงของสำนักอู๋ซิน ในขณะที่ผู้อาวุโสระดับสูงจะถูกจัดตำแหน่งเพื่อให้ไปรับใช้ในเมืองหลวง จากนั้นคนของสำนักอู๋ซินก็จะเข้ามาปกครอง
“ในส่วนของผลลัพธ์แรก สำนักเทียนหยุนจะต้องทำการต่อต้านกลับไปบ้างอย่างแน่นอน ไม่ว่าพวกเราจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น เจ้าคงปฏิเสธไม่ได้สินะว่าเจ้าจะได้รับความสูญเสียในตอนที่เวลามาถึง?”
หวังเฟิงยิ้มอย่างอึดอัดใจแล้วตอบกลับ “แน่นอน ข้าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น มันคงจะดีที่สุดถ้าสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอู๋ซินอย่างสันติ…”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ยิ้มอย่างเย็นชา
เขาถาม “เจ้าคิดจริงๆหรอว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดถ้าสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนนึงของสำนักอู๋ซินอย่างสันติ…”
หวังเฟิงดูตึงเครียดขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ได้ฟังคำพูดนี้ ความสับสนปรากฎขึ้นบนหน้าของเขา
เพื่อเป็นการตีเหล็กในตอนที่มันร้อน เฉินเฉินจึงพูดต่อ “หวังเฟิง ข้าขอถามเจ้าหน่อยนะ เจ้าได้ล่วงเกินคนในสำนักเทียนหยุนมาถึงขนาดนี้ ถ้าในอนาคตสำนักเทียนหยุนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอู๋ซินขึ้นมาจริงๆ เจ้าสำนักก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซิน ในขณะที่เจ้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา แล้วมันจะต้องใช้ความพยายามซักเท่าไหร่กันเชียวในการที่พวกเขาจะฆ่าศิษย์ธรรมดาอย่างเจ้า?”
ใบหน้าของหวังเฟิงซีดเผือด
มันฟังดูมีเหตุผลจริงๆ สำนักเทียนหยุนมีแรงจูงใจในการฆ่าเขาสำหรับความประพฤติชั่วร้ายทั้งหมดที่เขาเคยทำมาในอดีต
เฉินเฉินพยายามหลอกล่อเขาต่อ
“แล้วคิดว่าสำนักอู๋ซินจะทำอะไรในทันทีหลังจากที่เข้ามาในสำนักเทียนหยุนเข้ามาหล่ะ? แน่นอนว่าพวกเขาจะพยายามเข้าใกล้ทุกคนและเอาชนะใจพวกเขาใช่ไหมหล่ะ? แม้กระทั่งตัวเจ้าในตอนนี้เองก็พยายามทำอยู่ไม่ใช่หรอ?
“ข้าพนันเลยว่าสำนักอู๋ซินได้คิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว พวกเขาอยากให้เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าถูกเกลียดชังมากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะฆ่าเจ้าแล้วทุกคนในสำนักอู๋ซินก็จะถูกโกรธน้อยลง ซึ่งแบบนั้นมันจะทำให้ปกครองสำนักเทียนหยุนได้ง่ายกว่า”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของหวังเฟิงก็ยิ่งซีดหนักขึ้นไปอีก
อันที่จริง มันเป็นไปตามที่เฉินเฉินพูด สำนักอู๋ซินได้แนะนำให้หวังเฟิงก่อความวุ่นวายและสร้างความไม่พอใจในสำนักเทียนหยุนจริงๆ…
‘พวกเขาวางแผนจะให้ข้าเป็นกันชนในตอนที่เวลามาถึงและใช้ข้าเป็นเครื่องมือรับความโกรธของสำนักเทียนหยุนเพื่อให้ตัวเองเอาชนะใจพวกเขาได้ง่ายขึ้นอย่างนั้นสินะ?’
หลังจากที่มาคิดทบทวนดูดีๆ หวังเฟิงก็อดตัวสั่นไม่ได้ในขณะที่เหงื่อไหลท่วมบนหน้าผากของเขา
ในตอนที่หูเซียงเอ๋อเห็นท่าทีของหวังเฟิง เธอก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ มันเห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้นั้นกำลังถูกเจ้านายของเธอล่อลวง
“อา!”
เฉินเฉินเดินเข้าไปหาหวังเฟิง แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นมา แถมยังปัดฝุ่นออกจากตัวเขาให้ด้วย
“หวังเฟิง ถึงแม้ว่าสำนักอู๋ซินจะไม่ได้คิดแบบนั้นและผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเอาคืนเจ้า เจ้าก็ยังต้องคิดให้ดีนะว่าเจ้าได้อะไรจากสำนักเทียนหยุนไปมากขนาดไหนในช่วงหลายปีมานี้”
“เหมือนที่เขาว่ากันว่า คนที่ถูกยุยงนั้นไม่ควรถูกกล่าวโทษ เจ้าเป็นศิษย์ไร้ประโยชน์ที่อยู่ระดับฝึกพลังปราณขั้นที่หก เจ้าจะสามารถเก็บรักษาหินวิญญาณมากมายขนาดนั้นได้หรอ? ซักวันนึงเจ้าอาจจะถูกฆ่าตายในป่าก็ได้นะ…
“หวังเฟิง ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เจ้าได้ตายแน่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจ้ากำลังดึงดูดปัญหามาให้ตัวเอง!”
เมื่อได้ฟังดังนี้ หวังเฟิงก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ถ้าเป็นไปตามีที่เฉินเฉินพูด เขาได้ตายจริงๆแน่
ณ ตอนนี้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยวิธีการที่ทำให้เขาตายได้ทุกรูปแบบ และในขณะที่เขาคิดถึงมันมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตใจของเขาก็รับไม่ไหวอีกต่อไป
จิตใจของเขาได้พังทลายแล้ว
คอมเม้นต์