ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 131: ความแตกต่างของระดับลูกศิษย์

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 131 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

สำนักพยัคฆ์ขาวและสำนักเทียนหยุนต่างตั้งอยู่ที่ทางเหนือของรัฐจิน เมื่อพวกเขาเดินทางมายังเมืองหลวงด้วยเรือเหาะได้แล้ว เฉินเฉินก็ข้ามผ่านสำนักพยัคฆืขาวไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ทางกลับ

 

เมื่อเขาบินมาถึงด้านบนสำนักพยัคฆ์ขาว ภาพที่เกิดขึ้นด้านล่างมันคล้ายคลึงกับที่เขาจินตนาการเอาไว้

 

มันมีร่องรอยของการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งและมีเพียงสำนักอู๋ซิ่นเท่านั้นที่ได้รับชัยชนะไป

 

หลังจากที่อยู่ในระดับแก่นทองคำ สัมผัสของเฉินเฉินได้รับการพัฒนาขึ้นมาหลายต่อหลายเท่า ด้วยเหตุนี้นี่เองเขาจึงสัมผัสได้ถึงอาจารย์ของเขา เซี่ยวอู่โยว

 

ออร่าของเขาไม่ได้เก็บซ่อนไว้ด้วยเช่นกัน วินาทีต่อมาลำแสงก็บินขึ้นมาบนฟ้าและยืนอยู่ด้านหน้าเขา

 

เซี่ยวอู่โยวมองไปที่เฉินเฉินที่อยู่หน้าเขาและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

 

ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะพบกันมาก่อน ก่อนหน้านี้เฉินเฉินได้พลางตัวเอาไว้ นอกจากการสื่อสารทางสายตาแล้ว พวกเขายังไม่ได้มีการพูดคุยธรรมดาทั่วไปเลย

 

ในตอนนี้หน้ากากของลูกศิษย์เขาได้หายไปแล้ว เขาจึงกลับมายังสำนักเทียนหยุน?

 

มันมีคำถามมากมายหลายอย่างอยู่ในหัวของเขา แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกตกตะลึง มันได้กลบทุกสิ่งทุกอย่างไป!

 

“ลูกศิษย์ เจ้าอยู่ในขั้นแก่นทองคำแล้ว!”

 

เมื่อมองไปยังสีหน้าที่ตกตะลึงของอาจารย์เขาแล้ว เฉินเฉินไอออกมาเบาๆและพูด “มันเป็นแค่ขั้นแก่นทองคำเล็กน้อยแค่นั้นเองครับ มันไม่มีอะไรต้องห่วงไปเลย ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านอับอายครับ ท่านอาจารย์”

 

เซี่ยวอู่โยวพูดไม่ออก

 

‘มันหมายความว่ายังไงกันกับแก่นทองคำเล็กน้อย? ข้าใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างมันขึ้นมาเลยนะ โอเคไหม?’

 

ยังไงก็ตามเขาก็สัมผัสได้อันตราย ถ้าเฉินเฉินกลายเป็นผู้ฝึกตนในระดับวิญญาณแก่นแท้ในอนาคต เขาจะไม่สามารถเรียกเฉินเฉินว่าลูกศิษย์ได้อีกต่อไป มันเป็นเพราะว่าเขานั้นอยู่ในก่อกำเนิดวิญญาณแค่นั้นเอง

 

มันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก!

 

มันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนที่ว่าลูกศิษย์ได้นำอาจารย์ของเขาไป แต่เรื่องแบบนั้นมันใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายสิบปีหรือร้อยปี มันไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้ที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ปี!

 

เซี่ยวอู่โยวอดที่จะกังวลไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นตัวตลกต่อโลกฝึกตน เมื่อมันเคยมีเรื่องแบบนี้บันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์

 

“อาจารย์ ข้าไม่ได้เห็นท่านมานานแล้ว ข้าจึงมีของขวัญมามอบให้กับท่านละ”

 

เมื่อเห็นสีหน้าเซี่ยวอู่โยวเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินเฉินหัวเราะออกมาและหยิบแหวนเก็บของหลายสิบวงที่เขาเตรียมไว้นานแล้วออกมาก่อนจะยัดไปในมือของเซี่ยวอู่โยว

 

เมื่อมองไปยังดแหวนเก็บของในมือ ริมฝีปากของเซี่ยวอู่โยวก็กระตุก

 

แหวนเก็บของมันเป็นของล้ำค่ามากและมีเพียงผู้ฝึกตนที่อยู่สูงกว่าแก่นทองคำเท่านั้นในสำนักที่จะใช้มัน

 

ผู้อาวุโสขั้นสร้างรากฐานธรรมดาทั่วไปจะใช้กระเป๋าเก็บของแทน

 

‘เจ้าเด็กนี่ไปเอาแหวนเก็บของมามากขนาดนี้จากไหนกัน?’

 

ก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าเขาเอามาจากไหน เฉินเฉินพูดต่อ “ข้างในมันมีของด้วยครับ”

 

“อะไรนะ!?!”

 

เซี่ยวอู่โยวอุทานออกมาก่อนที่จะขมวดคิ้ว เขามองไปยังแหวนเก็บของและตรวจสอบของด้านในและพบว่ามันมีของจำนวนมากอยู่ในนั้น

 

‘มันบรรจุไปด้วยหินวิญญาณอย่างน้อยก็สองแสนก้อน!’

 

“นี่..มัน…”

 

เซี่ยวอู่โยวพูดตะกุกตะกัก ก่อนที่เขาจะตรวจสอบแหวนเก็บของวงที่สอง

 

‘เยี่ยม นี่มันมีขวดยานับพันขวดและยารักษาอีกร้อยขวดที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานระดับกลาง!’

 

‘นอกจากนี้แล้ว กองเสื้อใหญ่นั่นคืออะไรกัน? ไม่ใช่ว่ามันคือชุดของลูกศิษย์ภายในของสำนักอู๋ซิ่นหรืออะไรกัน?’

 

“ข้าเห็นว่าวัตถุดิบของเสื้อมันดีมากและมันใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณเลย ดังนั้นข้าจึงเก็บพวกมันมานับพันชุด หลังจากได้รับการปรับแต่งไปแล้ว มันก็น่าจะดูไม่เหมือนกับชุดของสำนักอู๋ซิ่นอีกแล้ว”

 

เฉินเฉินพูดอย่างรู้สึกผิด

 

เขาขโมยมาแม้แต่ไม้กวาดและไม้ถูพื้นจากสำนักอู๋ซิ่น นอกจากนี้แล้วเขารู้สึกช่วยไม่ได้ที่จะขโมยมันออกมา เนื่องจากคุณภาพของจากสำนักอู๋ซิ่นมันยอดเยี่ยมมาก

 

หลังจากตรวจสอบแหวนเก็บของทั้งหมดแล้ว เซี่ยวอู่โยวตกตะลึงและตาของเขาหลุดโฟกัสไป ของขวัญจากลูกศิษย์ที่ให้เขามันมากเพียงพอเท่ากับสมบัติของครอบครัวนับร้อยครอบครัวรวมกันเลย

 

‘ข้ายากจนขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? เมื่อตอนที่ข้ามอบหินวิญญาณ ข้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ใจกว้างมากแล้วนะ…’

 

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น สีหน้าของเฉินเฉินก็เปลี่ยนไปอีกครั้งก่อนที่จะรีบหยิบยาที่ทำให้ใจเย็นลงมาและป้อนให้กับเซี่ยวอู่โยว

 

“อาจารย์ อย่าพึ่งตื่นเต้นมากเกินไปครับ อย่าทำให้ร่างกายของท่านบาดเจ็บด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลยครับ!”

 

หลังจากกินยาทำให้ใจเย็นลงไปแล้ว เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกใจเย็นขึ้นมาก เขาเก็บแหวนเก็บของไปและพูดต่อ “ลูกศิษย์…เจ้าไปปล้นรังของสำนักอู๋ซิ่น?”

 

“อะแฮ่ม ข้าได้เผลอระเบิดแก่นวิญญาณของสำนักอู๋ซิ่นมาแล้วเนี่ยสิครับ” เฉินเฉินพูด เขารู้สึกอับอายเล็กน้อยจนหน้าเขาแดง สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาแคร์ก็คือเกียรติยศของเขา

 

เซี่ยวอู่โยวยิ้มก่อนที่จะหายใจเข้าลึกและใช้ผลของยาช่วยทำให้ใจเย็นอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมันทำให้เขาใจเย็นลงมาก

 

“ข้าไปหาลูกศิษย์แบบเจ้ามาได้ยังไงกันเนี่ย….เจ้าทำให้ข้าเครียดแทบตายเลย! ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมบรรพบุรุษของสำนักอู๋ซิ่นถึงรีบกลับไปแบบนั้น”

 

ทันทีที่เขาพูดจบ สมาชิกของสำนักพยัคฆ์ขาวตะโกนออกมา

 

“ตั้งแต่ที่ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน ทำไมเขาถึงไม่ลงมาพูดคุยเรื่องสำคัญกันด้วยละ?!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เซี่ยวอู่โยวพยักหน้าและมองไปยังเฉินเฉิน “เจ้าสำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาดและสำนักเต่าดำต่างอยู่ที่นี่ มากับข้าสิ พวกเราจะไปคุยเรื่องที่เหลือกันอย่างเป็นส่วนตัว”

 

“โอเค!”

 

เฉินเฉินตอบ

 

ในตอนนี้ เมื่อผู้คนจากสำนักอู๋ซิ่นกลับไปแล้ว สำนักทั้งสี่ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการรวมตัว

 

เขาไม่สามารถที่จะพลาดเรื่องแบบนี้ไปได้ ไม่อย่างงั้นแล้ว สำนักเทียนหยุนอาจจะขาดทุนไปมากก็ได้

 

 

ชั่วขณะต่อมา เฉินเฉินได้เข้ามาในพระราชวัง

 

เซี่ยวอู่โยวและเฉินเฉินต่างนั่งอยู่ในห้องพระราชวังของสำนักพยัคฆ์ขาว

 

เฉินเฉินไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าสำนักพยัคฆ์ขาวจะตายลงไปเมื่อสองวันที่แล้ว ก่อนที่เขาจะตาย เขาได้ทำให้ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณของสำนักอู๋ซิ่นได้รับบาดเจ็บไปและเย่หวู่เชิงก็ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าสำนักแทน

 

เย่หวู่เชิงได้ก้าวขึ้นมาสู่ขั้นแก่นทองคำแล้วด้วยเช่นกันและแม้แต่เกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ที่เขาสวมอยู่ก็หายไป จนเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงของเขาออกมา

 

เฉินเฉินตรวจดูหน้าตาของเย่หวู่เชิงที่มีผมสีขาวและมีใบหน้าที่หล่อเหลาและดูเย็นชา

 

ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยวอู่โยวมองไปยังรูปภาพของเจ้าสำนักคนก่อน

 

เขาคือไป๋จานที่ทรงพลังและทรงอำนาจ ซึ่งเป็นเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักพยัคฆ์ขาว

 

ไป๋จานและเซี่ยวอู่โยวต่างเป็นคู่แข่งกันตั้งแต่ยังเยาว์วัยและในภายหลังทั้งสองก็เป็นดั่งศัตรูและเพื่อนกัน

 

เมื่อมองไปยังรูปภาพของคนที่ทะเลาะกันถูกแขวนไว้อยู่แบบนั้น เซี่ยวอู่โยวอดที่จะถอนหายใจออกมาและพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “พี่ไป๋ นี่คือระดับความแตกต่างกันของลูกศิษย์ของพวกเรา ดูที่ข้าสิ ข้าได้รับลูกศิษย์ที่ดีมาและเขาได้มอบแหวนเก็บของมาให้กับข้าหลายสิบวง ดูเจ้าสิ เจ้ารับลูกศิษย์ที่เชื่อถือไม่ได้และเจ้าก็ได้ตายไปแล้วแบบนี้ สิ่งที่เหลืออยู่มันมีเพียงแค่รอยยิ้มของเจ้าที่อยู่บนรูปแค่นั้นแหละ!”

 

หลังจากที่มีความคิดนี้ในหัวของเขา เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ลบมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

 

‘ผู้ฝึกตนระดับก่อกำเนิดวิญญาณไม่ควรที่จะทำตัวเช่นนี้!’

 

 

เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ เจ้าสำนักวิหคสีชาดและคนอื่นพูดอย่างใจเย็น “สี่สำนักต่างร่วมมือกันแล้ว แต่พวกเรายังคงต้องเลือกสำนักที่เป็นผู้นำ ดังนั้นพวกเราจะสามารถร่วมมือกันและทำตัวอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่ที่สำนักมังกรสีมรกตได้ถูกทลายไปแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สำนักพยัคฆ์ขาวจะเป็นผู้นำ แต่ว่าพี่ไป๋ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว….สำนักไหนจะเหมาะสมกันอีก?”

 

“แน่นอนว่ามันต้องเป็นสำนักเทียนหยุน มันยังมีเรื่องอะไรที่ต้องปรึกษากันอีก? ก่อนอื่นเลย ระดับการฝึกตนของอาจารย์ข้านั้นสูงที่สุด อย่างที่สอง สำนักเทียนหยุนคืออันดับสองในรัฐจิน จะมีใครที่ไหนเหมาะสมในการเป็นผู้นำนอกจากพวกเราอีก?”

 

เฉินเฉินตอบกลับด้วยอย่างเต็มไปด้วยความเด็ดขาด

 

ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าสำนักวิหคสีชาดและเต่าดำต่างขมวดคิ้ว

 

‘เมื่อเทียบกับเซี่ยวอู่โยวแล้ว ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนดูทรงอำนาจกว่ามาก จะมีผู้สืบทอดธรรมดาทั่วไหนกันที่กล้าพูดคุยกับข้าแบบนี้กัน?’

 

‘ยังไงก็ตาม ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนยังเป็นยอดฝีมือที่สูงสุดของรัฐจินและเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะภาคภูมิใจแบบนี้!’

 

‘นอกจากนี้แล้ว เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้แล้ว สำนักเทียนหยุนน่าจะเป็นผู้นำ’

 

‘ยังไงก็ตาม ยอดฝีมือของสำนักเทียนหยุนนั้นมีเพียงแค่เซี่ยวอู่โยวและผู้สืบทอดของเขา ในด้านพื้นฐานแล้ว สำนักเทียนหยุนนั้นแย่กว่าสำนักพยัคฆ์ขาวและสำนักวิหคสีชาดมาก’

 

‘และเมื่อเทียบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสำนักแล้ว มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คนหรือสองคน…’

 

เมื่อมีความคิดนี้ในหัวแล้ว ทั้งสองคนต่างมองไปที่เย่หวู่เชิงโดยสัญชาตญาณ

 

ในด้านมรดกแล้ว สำนักพยัคฆ์ขาวนั้นแข็งแกร่งที่สุด ไม่อย่างงั้นแล้วพวกเขาคงไม่เลือกที่จะต่อสู้กันที่สำนักพยัคฆ์ขาว

 

อารมณ์ของเย่หวู่เชิงนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อมองไปยังเจ้าสำนักทั้งสองที่มองมายังเขา เขาพูดออกมาอย่างจริงจัง “มันมีผู้อาวุโสขั้นแก่นทองคำแปดคนในสำนักพยัคฆ์ขาว พวกเขาสามารถที่จะเลื่อนระดับไปสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณได้ทุกเมื่อ…’

 

เย่หวู่เชิงหยุดพูด เนื่องจากว่าเขาเห็นเฉินเฉินหยิบเหรียญตราออกมา

 

เหรียญตรานี้คือเหรียญที่เขามอบให้กับเฉินเฉินเพื่อเป็นของแลกเปลี่ยนในเมืองหลวง ในเวลานั้น เขาได้ประกาศออกมาแล้วว่าตราบเท่าที่เหรียญตรานี้ได้ถูกแสดงขึ้น เขาจะตอบรับคำขอทุกอย่าง แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตามที

 

ในตอนนี้ที่เฉินเฉินหยิบเหรียญตราออกมา… มันได้แสดงเจตจำนงคุกคามอย่างเห็นได้ชัด

 

“เจ้าสำนักเย่ โอ้อวดได้ต่อเลย ข้าฟังอยู่..” เฉินเฉินเล่นกับเหรียญตราในมือด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น

 

เย่หวู่เชิงหน้าแดงฉานด้วยความอับอายและตัวแข็งทื่อ จนเขาพูดอะไรไม่ออก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด