ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 69-1 แสดงเป็นนางจิ้งจอก

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยอดหญิงอันดับหนึ่ง ตอนที่ 69-1 แสดงเป็นนางจิ้งจอก อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

อวิ๋นหว่านชิ่นทอดถอนใจ แม่เล็กฟางไหนเลยจะคาดคิดว่า รัชทายาทที่นางชื่นชมนักชื่นชมหนา ความจริงแล้วเป็นเจ้านายที่ทำอะไรไม่เหมือนเจ้านายคนอื่น!

 

 

กับอิสตรี เขาย่อมอ่อนโยนละมุนละไมด้วย แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ห้ามรบกวนเวลาดูละครของเขา!

 

 

อวิ๋นหว่านถงร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

 

 

รัชทายาทก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ จนใบหน้าแดงไปหมด และอดไม่ได้ที่จะทุบอกตนเอง

 

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นผู้หญิง เจ้าแหลกคามือเราแน่!”

 

 

เสียงร้องไห้ทำให้ผู้หญิงสกุลอวิ๋นที่อยู่ห้องข้างๆ ตื่นตระหนก

 

 

อนุฟางวิ่งออกมาก่อน พอเห็นประตูห้องข้างๆ เปิดอ้าซ่า เห็นลูกสาวของตนนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่กับพื้น ส่วนรัชทายาทก็หน้าแดงถึงใบหู ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปีติยินดี คิดว่าเรื่องสำเร็จแล้ว จึงก้าวเข้าไปกอดลูกสาวไว้ แล้วแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ “เป็นอะไรถงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับรัชทายาท…”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะเยาะ แล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้อนุฟางฟังคร่าวๆ จากนั้นก็รอดูว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร

 

 

และเมื่ออนุฟางฟังจบ สีหน้าของนางก็ราวกับดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไป ทั้งม่วงทั้งเขียว อีกทั้งเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่พอได้สติ ก็รีบดึงมือลูกสาวให้คุกเข่าลง พลางพูดวกไปวนมา

 

 

“รัชทายาทเพคะ คุณหนูสามไม่ประสีประสา ขอทรงอภัยให้นางด้วย รัชทายาทเพคะ!”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูถึงตรงนี้ ก็เข้าใจเรื่องราวแล้ว จึงยิ้มเย็นชาออกมา ที่แท้ฟางเย่ว์หรงพาลูกสาวออกนอกห้อง ก็เพื่อมาทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ที่น่าอายเช่นนี้นี่เอง ล่อลวงกระทั่งรัชทายาท สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วมั้ง แต่ที่สำคัญคือ อนุฟางล่วงเกินรัชทายาท สกุลอวิ๋นย่อมปัดความรับผิดชอบไม่พ้น ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงยังคงถอนสายบัว แล้วพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

 

“เป็นเพราะหม่อมฉันเข้มงวดกวดขันได้ไม่ดีพอ คุณหนูสามถึงได้ล่วงเกินรัชทายาท ขอทรงประทานอภัย หลังจากกลับถึงบ้าน หม่อมฉันต้องลงโทษนางตามกฎของบ้านแน่!”

 

 

หวงน้าสี่จูงมือเด็กทั้งสองยืนดูอยู่ห่างๆ คิดว่า กำลังดูละครสนุกๆ เรื่องหนึ่ง

 

 

รัชทายาทเหลือบมองอวิ๋นหว่านถงที่กำลังสะอึกสะอื้น แล้วจึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น ความเดือดดาลในใจค่อยคล้ายน้ำในทะเลสาบที่กระเพื่อมเมื่อถูกลมพัด นับว่าสงบนิ่งลงบ้าง จึงนวดหน้าอกไปมา แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เหมือนเด็กๆ ก็มิปาน ริมฝีปากบางๆ ยื่นยาวออกมาจนเกือบจะแขวนของได้

 

 

“คุณหนูอวิ๋นว่าอย่างไร เราก็อยากจะเห็นแก่มู่เจินและคุณหนูอวิ๋นเหมือนกัน แต่เราก็ยังรู้สึกไม่พอใจที่ไม่ได้ดูละครฉากนั้น!”

 

 

ปากตรงกับใจเสียจริงนะท่านรัชทายาท อวิ๋นหว่านชิ่นยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น

 

 

แต่ก็ยังดี ที่เขาดูตาม้าตาเรืออยู่บ้าง ไม่ได้เรียกตนว่าชิ่นเอ๋อร์ต่อหน้าผู้อื่น หาไม่แล้ว ต่อให้มีร้อยลิ้นก็ไม่

 

 

สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลอกตากลมๆ ไปมา กวาดตามองอวิ๋นหว่านถง แล้วยิ้มบางๆ

 

 

“เมื่อคุณหนูสามทำให้รัชทายาทพลาดชมการแสดง ก็ต้องให้คุณหนูสามแสดงให้รัชทายาทดูแทน ไม่ทราบว่าเช่นนี้ พอจะทำให้รัชทายาทอารมณ์ดีขึ้นหรือไม่เพคะ”

 

 

“โอ้? เจ้าลองว่ามาซิ” พอรัชทายาทได้ยิน ก็สนใจทันที หน้าที่ดำอยู่ แดงกลับมาหลายส่วน ขณะบอกให้นางพูดต่อ

 

 

“ฮือๆ…หม่อมฉัน หม่อมฉันเล่นละครไม่เป็นเพคะ” อวิ๋นหว่านถงแอบอยู่ในอกอนุฟาง เหมือนกระต่ายน้อยที่ยังไม่หายตื่นตกใจ

 

 

“คุณหนูสาม ได้โอกาสทำคุณไถ่โทษให้รัชทายาทแล้ว ยังเลือกนั่นเลือกนี่อีก?” สวี่มู่เจินยืนพูดด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ด้านข้าง

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถลึงตามองมา อวิ๋นหว่านถงจึงเงียบเสียงลง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นชี้ไปที่เวทีด้านล่าง “หม่อมฉันดูลำดับการแสดงในวันนี้แล้ว เรื่องต่อไปเหมือนจะเป็นเรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นก็เพิ่มตัวละครตัวหนึ่ง แทรกเข้าไปให้คุณหนูสามเล่น”

 

 

“สังหารปีศาจจิ้งจอก? เรื่องนี้ดี! นักเขียนเขียนได้เก่งมาก บทละครก็สนุกน่าติดตาม! แต่…นางจะแสดงเป็นใครล่ะ” รัชทายาทลูบคางไปมาอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

เรื่อง สังหารปีศาจจิ้งจอก เป็นนิยายยอดนิยมในยุคนี้ เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อปีกลาย เป็นนิยายที่โรงละครทุกแห่งต้องนำมาทำเป็นละคร เพราะผู้คนแห่มาชมกันเต็มทุกรอบ บทละครก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน เสียดายที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง มิฉะนั้นเขาย่อมโด่งดังเป็นพลุแตก ชนิดเจ้าของโรงละครไม่รู้มากมายเท่าไหร่ต้องตามตัวให้มาเขียนบทละครกันวุ่นวาย

 

 

โดยนิยายประเภทเทพนิยายพื้นบ้านนี้ เล่าเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่แม้มีฐานะยากจน แต่ก็รักใคร่ปรองดอง พึ่งพาซึ่งกันและกัน ชายหนุ่มนั้น หน้าหนาวก็ห่มผ้าให้หญิงสาว หน้าร้อนก็จุดยากันยุงให้ ปีไหนที่แห้งแล้ง ก็ไม่สนใจตัวเอง ยกอาหารที่มีอยู่ให้หญิงสาวทั้งหมด สรุปก็คือ รักภรรยามาก ส่วนหญิงสาวก็พยายามเก็บเงินให้ชายหนุ่มนำไปใช้สอบขุนนางในเมืองหลวง เช้าออกไปทำงานในไร่ เย็นกลับมาทำงานบ้านต่อ เหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

 

 

ทว่าขณะชายหนุ่มเร่งรีบเดินทางไปสอบ ก็ได้พบกับสาวสวยในคราบปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา นางมองออกว่าชายผู้นี้คือดาวนำโชคมาจุติ ต่อไปต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน นางอยากดื่มด่ำเกียรติยศชื่อเสียงและความมั่งคั่ง จึงเนรมิตภาพมายา พร้อมหว่านเสน่ห์ล่อลวง จนชายหนุ่มค่อยๆ หลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น ลบภาพทรงจำของความรักที่มีต่อภรรยาจนหมดสิ้น

 

 

หลังจากสอบผ่าน ชายหนุ่มก็ตั้งรกรากในเมืองหลวงเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายบุ๋น โดยไม่สนใจว่ายังมีภรรยาอีกคนหนึ่งในชนบทอยู่ ส่วนปีศาจจิ้งจอกก็สมปรารถนา กลายเป็นสาวงามเคียงข้างบัณฑิต หรือฮูหยินขุนนางที่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

 

หญิงสาวเข้าเมืองตามหาสามี ถึงได้รู้ว่าสามีถูกเสน่ห์ยาแฝด ซ้ำตัวนางเองยังถูกปีศาจจิ้งจอกลอบสังหารในทุกวิถีทาง ทว่าด้วยความช่วยเหลือของนักพรตเฒ่า หญิงสาวจึงรอดพ้นภยันตรายมาได้ และสุดท้ายก็สังหารปีศาจจิ้งจอกสำเร็จ เผยร่างจริงของมันให้ทุกคนเห็น

 

 

สุดท้าย พอชายหนุ่มฟื้นคืนสติ ก็เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป จึงจัดเกี้ยวขนาดใหญ่ชนิดแปดคนหาม และบ่าวอีกนับร้อย ไปรับภรรยาให้มาอยู่ในจวนขุนนางด้วยกัน โดยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างยินดีปรีดา จบบริบูรณ์อย่างมีความสุข

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนตอบกลับรัชทายาท

 

 

“พระนางบทสนทนามากเกินไป ในระยะเวลาอันสั้น คุณหนูสามไหนเลยจะท่องจำได้ทั้งหมด ย่อมต้องแสดงเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว”

 

 

“ดี! ดี!” รัชทายาทปรบมือ ก่อนโบกมือเรียกคน “พานางไปแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเอาขึ้นเวที!”

 

 

อวิ๋นหว่านถงยังไม่ทันแม้แต่จะร้อง ก็ถูกผู้คุ้มกันลากตัวออกไปแล้ว

 

 

“ไม่ได้นะเพคะ ไม่ได้” อนุฟางเพิ่งได้สติ จึงร้องขึ้น “คุณหนูจวนรองเจ้ากรมที่สง่างาม จะขึ้นเวทีไปเป็นนักแสดงได้อย่างไรกัน ถ้ามีคนรู้เข้า ต่อไปจะมีหน้าพบใครได้อีก!”

 

 

พลางคิด นี่มิสู้กลับบ้าน ปิดประตูเฆี่ยนตีไม่ดีกว่าหรือ! คนแสดงละครเป็นพวกเต้นกินรำกิน เป็นชนชั้นล่าง ระดับเดียวกับนางโลมหอโคมเขียว แต่อวิ๋นหว่านถงเป็น…เป็นความหวังหนึ่งเดียวของนาง ถ้าขึ้นเวทีแสดงละคร ต่อไปใครเขาจะแต่งงานด้วย

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “แม่เล็กคิดมากไปแล้ว ตอนอยู่บนเวที นักแสดงแต่ละคนแต่งหน้าแต่งตากันอย่างหนา ขอเพียงท่านไม่ตะโกนเรียกเปะปะ ก็ไม่มีใครดูออกหรอก”

 

 

อนุฟางรีบเอามือปิดปาก ไม่ส่งเสียงอีก

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหลือบมองฟางเย่ว์หรง ก่อนแค่นเสียงเย็นชา

 

 

หึ ถูกเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบเล่นงานเสียจนอยู่หมัด ขายหน้าจริงๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเหยียบซ้ำแล้ว จึงหันกาย กลับไปดูละครต่อที่ห้อง 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด