ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 123-1 มอบความไว้วางใจแก่ฮุ่ยหลาน การฝึกอบรมก่อนพิธีสมรส
ในระหว่างที่สายลมสีทองพลัดปลิว ราวกับว่าในชั่วข้ามคืน เมืองหลวงเปลี่ยนสภาพอากาศไปในพริบตาอุณหภูมิลดลงฮวบ และเริ่มเข้าสู่ฤดูที่มีกลางวันสั้นแต่กลางคืนนั้นยาวนาน สายลมเย็นกลางแจ้ง ประหนึ่งคมมีด ที่พัดทีบาดผิวหนังจนเจ็บ
เนื่องจากเข้าฤดูหนาวอย่างสมบูรณ์แบบ ภายนอกจวนจึงเกิดความเงียบเหงาและความหนาวเย็น ส่วนทางด้านเรือนหยิงฝูของตระกูลอวิ๋นดุจดั่งเมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏ ดอกไม้ริมแม่น้ำจะแดงราวกับไฟโชติช่วง[1] คอยช่วยคุณหนูใหญ่จัดเตรียมสินเดิม[2] คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากพูดแทงน้ำใจของอวิ๋นเสวียนฉั่งในวันนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันศีรษะไปยังเรือนตะวันตกก่อน นำเรื่องที่ห้องโถงมาเล่าใหม่อีกครั้ง เล่าเพียงเรื่องไม่มีผู้อาวุโสหลังจวน ขอให้ท่านย่ารับหน้าที่คอยช่วยเหลือตนกับฮุ่ยหลาน
ถงซื่อเมื่อเห็นความกตัญญูและความเคารพของหลานสาวตัวเองก็ยิ้มจนหน้าบาน ไหนเลยจะไม่เห็นด้วย จึงพยักหน้ารับอย่างไม่หยุดหย่อน
เหล่าไท่ไท่ถึงกับต้องเรียกอวิ๋นหว่านชิ่นมาช่วยเมื่ออวิ๋นหว่านเฟยแต่งเข้าจวนเว่ยอ๋องในฐานะนางสนม ไหนจะขั้นตอนอันมากพิธีที่หลานสาวจะออกเรือนเป็นนางสนม เมื่อพูดไปแล้วว่าจะรับผิดชอบ ทว่าฝืนสังขารร่างกายไม่ได้นัก ส่วนมากจึงให้ฮุ่ยหลานจัดการแทน แม้ว่าฮุ่ยหลานจะเป็นคนเงียบๆ แต่นางก็เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ และคอยขอความเห็นกับอวิ๋นหว่านชิ่นในทุกเรื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ อำนาจของหัวหน้าผู้ดูแลก็หวนคืน แต่ยังคงอยู่ในกำมือของอวิ๋นหว่านชิ่น
ในวันรุ่งขึ้นอวิ๋นหว่านชิ่นไปที่ฝ่ายบัญชี หยิบสมุดบัญชีทรัพย์สินที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ แล้วเริ่มตรวจทีละเล่ม
เหลียนเหนียงเห็นว่าคุณหนูใหญ่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้มองว่าตัวเองมีพื้นฐานการทำอาหาร จึงกดดันและซ้ำเติมตัวเอง ในทางกลับกันเพียงไม่กี่วันฮุ่ยหลานก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งสามารถมีส่วนร่วมในกิจการอาหารขนาดใหญ่กับทางหลังจวนได้ด้วยตนเอง เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรม ภายในใจเป็นทุกข์จนเครียด ทุกครั้งที่นายท่านมาที่หอเจี่ยวเย่ว์ จะเข้าไปสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของฝ่ายชาย แล้วร่ำไห้สองต่อสองเป็นเวลาหลายวัน
อวิ๋นเสวียนฉั่งทุกข์ใจเจียนตาย คิดอยากจะให้เหลียนเหนียงเข้าไป แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นบุตรสาว ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ด้วยท่าทีของอวิ๋นหว่านชิ่นที่คิ้วสีอ่อนและแววตาเย็นชา ก็พูดออกมาไม่ได้จริงๆ เมื่อรู้ว่านางต้องการอย่างนั้น พูดไปก็เสียเวลาเปล่า ทำได้เพียงแค่กัดฟันเท่านั้น
พี่น้องของตระกูลสวี่วัยหนุ่มสาว ต่างก็พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีงาม สวี่เจ๋อเทาน้องสาวผู้นี้ ช่วงที่น้องสาวจะถึงวัยปักปิ่น[3]ไม่กี่ปีก่อนก็รวบรวมและซื้อสินเดิมต่างๆ ให้แก่นาง ยามที่นางออกเรือนจะได้เจิดจรัสสง่าผ่าเผย ไม่น้อยหน้าคนอื่นเขา หลังจากที่ตระกูลสวี่แต่งงานกับตระกูลอวิ๋น และได้ให้กำเนิดบุตรสาว ก็ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างสามีกับไป๋ซื่อ จึงไม่ลังเลที่จัดเตรียมงานแต่งในอนาคตให้แก่บุตรสาว โดยสร้างคลังสำหรับสินเดิมเล็กๆ เอาไว้ให้
หลังจากย้อนอดีตกลับมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็จับตาดูคลังเก็บของแทบตลอดเวลา มิให้ถูกผู้ใดจับจ้อง ต่อมาพอไป๋ซื่อถูกส่งตัวไปที่อาราม จึงปล่อยวางใจชั่วคราว ไม่ได้มาดูแลอย่างระมัดระวังเท่าไรนัก บัดนี้จวนใกล้ออกเรือนแล้ว จึงเปิดคลังสินสอดที่ท่านแม่ทิ้งไว้ นางเลยได้รู้ว่า สินเดิมที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ตนก็เรียกได้ว่ามากมายเสียจนตะลึงพรึงเพริด
ปราสาทเขาโย่วเสียนที่กว้างใหญ่หลังหนึ่ง ร้านค้ามากมายขนาดกลาง เครื่องประดับและเครื่องเรือนผ้าแพรไหมเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีตั๋วแลกเงินที่เป็นทองแท้เงินแท้อีกด้วย
ในชาติที่แล้ว หลังจากแต่งงานกับจวนกุยเต๋อโหว นางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร บัดนี้เพิ่งจะรู้ว่าไม่ใช่ตัวเองไม่มีเงิน แต่ก่อนแต่งงานนั้นสินเดิมถูกตระกูลอวิ๋นริบไปมากเหลือเกิน!
เมื่อนึกถึงชาติที่แล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็รับผิดชอบเรื่องการแต่งงานเพียงลำพัง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่เคยได้ดูแล บางครั้งไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็แสร้งให้นางดูรายการที่ต้องตรวจสอบอย่างคร่าวๆ ส่วนนางก็พูดรับคำเบาๆ สองเสียงแล้วเดินผ่านไป ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่รู้ว่าให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยชุบมือเปิบไปมากน้อยเพียงใดแล้ว เนื่องจากไป๋เสวี่ยฮุ่ยปากหวานก้นเปรี้ยวต่ออวิ๋นเสวียนฉั่ง และด้วยที่นางเป็นคนใจอ่อน คำนึงถึงบุญคุณที่เลี้ยงดูมา อีกทั้งกลัวว่าหากน้องชายไม่มีท่านแม่ในบ้านแล้วจะลำบาก จึงยินดีจะแบ่งสินเดิมส่วนหนึ่งแก่ตระกูลอวิ๋น สุดท้ายแล้วก็นำเงินของท่านแม่ไปให้ไป๋ซื่อและบุตรสาวได้กินดีอยู่ดี ทั้งยังอำนวยให้ท่านพ่อนำไปเลี้ยงผู้หญิงกำเนิดบุตรนั่นอีก! แล้วจุดจบของน้องชายเล่า!
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของนาง นางไม่อาจให้ผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบได้อีก แม้แต่เก้าอี้พับตัวหนึ่งหรือกระโถนใบหนึ่งในสินสอด!
แม้แต่หยากเยื่อเล็กน้อยก็จะไม่เหลือให้พวกเขา!
เดิมทีสวี่ซื่อมีร้านค้าสามแห่งที่ยังคงอยู่ในกำมือของอวิ๋นเสวียนฉั่ง เอาแต่ใช้ข้ออ้างว่าบุตรสาวยังไม่ถึงวัยปักปิ่นและออกเรือนแต่งงาน คอยยื้อเวลาตลอดมา
ในวันที่สองของการดูแลตระเตรียมพิธีสมรส อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไปที่เรือนหลัก เปิดอกคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจว่าต้องการใบโฉนดคืน
อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นตายอย่างไรก็ไม่คาดว่าบุตรสาวผู้นี้จะไร้น้ำจิตน้ำใจเช่นนี้ ที่แท้ก็คิดจะฮุบเอาไว้คนเดียว ไม่นึกถึงฝั่งตระกูลภรรยาแม้แต่น้อย ร้านค้าสองสามร้านที่ถูกตนเอามาก่อนนานแล้ว แต่ภรรยาผู้ล่วงลับได้มอบแก่บุตรสาวเป็นสินสอดทองหมั้น ก็ไม่สามารถพูดอะไรมากได้ คนเป็นพ่อเพื่อที่จะกู้หน้าคืน จึงยิ้มเย็นชาพลางสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยต่อหน้าผู้คนว่า “บุตรสาวตระกูลอื่น ไหนเลยจะไม่ปกป้องฝั่งตระกูลภรรยาเล่า เจ้าราวกับว่า…ช่างเถิด ช่างเถิด! เจ้าเอาไปให้หมดทุกอย่าง! ตระกูลอวิ๋นของข้ามิได้ด้อยกว่าเจ้าแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ข้าช่วยเจ้าดูแลร้านค้าไปอย่างเสียเปล่าแล้ว!” ดูสินางจะยังเกรงใจบ้างอยู่หรือไม่!
อวิ๋นเสวียนฉั่งที่หน้าดำคร่ำเคร่ง อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะไม่เห็น ยังจะพูดอย่างแค้นเคืองต่อความอยุติธรรมอีกนะ ราวกับตนเองกลายเป็นลูกอกตัญญู ในดวงตาพลันวาบประกายปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ลูกคำนวณมาแล้ว ท่านพ่อดูแลร้านค้าทั้งสามมาหกปีแล้ว ทุกร้านเมื่อหักต้นทุนออก กำไรก็ถือว่าต่ำ ปีหนึ่งได้ดอกเบี้ยต่ำสุดก็สองพันตำลึง ร้านค้าทั้งสามก็เป็นหกพัน หกปีก็สามหมื่นหกพันตำลึง ทั้งหมดนั่นก็เข้ากระเป๋าเงินท่านพ่อ ร้านค้าเหล่านี้ ควรจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่านแม่ ยามนี้ลูกกตัญญูเชื่อฟังแต่บิดา มิรับสามหมื่นหกพันคืนแล้ว เงินเดือนขุนนางต่อปีได้เท่าไรกันนะ ท่านเป็นเจ้ากรมมาสิบปี คงได้รับเงินเดือนไม่ถึงครึ่งสามหมื่นหก! นี่ก็เป็นทรัพย์สินที่ไม่น้อยเลย! ท่านพ่อยังจะพูดว่าลูกไม่ปกป้องตระกูลภรรยาหรือ”
ใครบอกว่าช่วยข้าดูแลร้านค้าไปอย่างเสียเปล่า คิดแต่จะข้ามแม่น้ำทุบสะพาน[4] ยกชื่อเสียงไม่ดีอย่างอกตัญญูขาดความเคารพเชื่อฟังให้ข้าหรือ ฝันไปเถิด ไม่จ่ายค่าแรงท่านให้เปลืองหรอก!
——
[1] ดอกไม้ริมแม่น้ำจะแดงราวกับไฟโชติช่วง (日出江花红胜火) มาจากส่วนหนึ่งในบทกวี 《忆江南》 จากนักกวีในช่วงราชวงศ์ถังนามว่าไป๋จวี่อี้ เป็นบทกวีที่พรรณารำพึงเจียงหนานในยามวสันตฤดู
[2] สินเดิม (嫁妆) หรือเจี้ยจวง คือสินเดิมที่พ่อแม่ให้ลูกสาวนำไปสร้างครอบครัวใหม่กับสามี
[3] วัยปักปิ่น (及笄) คือช่วงวัยของเด็กสาวที่มีอายุสิบห้าปี ซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว
[4] ข้ามแม่น้ำทุบสะพาน (过河拆桥) หมายความว่า พอถึงเป้าหมายก็ไม่สนใจคนที่เคยมีบุญคุณ
คอมเม้นต์