ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 125-1 หมาป่าถอดคราบลูกแกะ
ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังเดินออกจากร้านน้ำชา อวิ๋นจิ่นจ้งและชูซย่าก็เดินเข้าไปหา
กระนั้นอวิ๋นจิ่นจ้งก็เห็นญาติผู้พี่เรียกพี่สาวเข้าไปกระซิบกระซาบกันตามลำพังอยู่นาน ผ่านไปชั่วครู่พี่สาวเริ่มดูนิ่งเงียบไป ดวงตาดูสั่นไหวเล็กน้อยราวกับจะไม่มีสติ แต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านพี่ ญาติผู้พี่เรียกท่านพี่ไปมีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึเปล่า” สวี่มู่เจินก็เดินสาวเท้าเข้ามา พร้อมกับลูบหัวน้องชายด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากับพี่สาวของเจ้ามีสิ่งใดต้องทำก็ไปจัดการเถิด” อวิ๋นหว่านชิ่นแสดงออกทางแววตาว่ามันจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่ พร้อมกับพาน้องชายและชูซย่าไปศาลาว่าการกรมพระคลังจัดการเรื่องราวให้ถูกต้องเสียก่อน
สวี่มู่เจินที่เห็นว่าสองสามคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ก็ครุ่นคิดไปมา พอหันศีรษะ กำลังจะเดินไปร้านเซียงหยิงซิ่ว เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นหงเยียนออกมาจากร้าน ยืนกอดอกอยู่ด้านหน้า กระโปรงสีชมพูพลิ้วไหวเล็กน้อย ที่ดูธรรมดา เสมือนก้อนเมฆที่ตกลงไปในฝุ่นละอองสีแดงของดอกไม้ไฟ คิ้วโค้งสวยได้รูป และสายตาพินิจพิเคราะห์อยู่
ทำเอาในใจสวี่มู่เจินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย คิ้วคมเข้มของเขาพลันเลิกขึ้น “แปลกจริงคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เจ้าจะออกมาต้อนรับข้า” หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ทุกครั้งที่มาเซียงหยิงซิ่ว นางก็ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว อยากทำสิ่งใดก็ทำ เหมือนคุยกับตนเอง หรือไม่ก็พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับร้านขายของ ไม่มีเรื่องอื่นใดเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร ทุกครั้งที่เห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจของสวี่มู่เจินเหมือนมีลูกตุ้มตาชั่งกดทับ รู้สึกลนลานอย่างหนัก วันนี้นางกระตือรือร้นออกมาตอนรับประหนึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษจากจักรพรรดิ ในใจจึงรู้สึกร่าเริงไม่น้อย
หงเยียนกลับท่าทางดูสุภาพอ่อนโยนไม่เหมือนครั้งก่อนๆ “คุณชายสวี่พูดอะไรกับคุณหนูใหญ่รึ”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความยินดีของสวี่มู่เจินสงบลง ที่แท้รอยยิ้มนั้นก็เพื่อผู้อื่น รู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก จึงเดินเข้าไปข้างในร้าน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “พี่น้องพบปะกันจะทำสิ่งใดได้เล่า ก็คุยกันเล่นเรื่องสัพเพเหระเท่านั้นเอง”
หงเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับเดินเข้าไปในร้าน ฉวยโอกาสตอนที่อาจู้สี่กับอาหลั่งไม่ทันได้สนใจ เปิดผ้าม่าน พาเขาลากไปด้านหลัง แล้วพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “คุณหนูใหญ่ดูเหมือนจะคิดอะไรในใจ ถ้าหากไม่ได้มีความรู้สึกกับท่านอ๋องสามแม้แต่น้อย ก็คงคิดหาทุกวิถีทางที่จะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ตอนนี้งานแต่งงานก็กำลังใกล้เข้ามาแล้ว เหตุใดมิขอให้นางแต่งงานได้อย่างราบรื่นเล่า ฉินอ๋องปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่ดีหรือไม่ ในใจคุณหนูใหญ่เองก็มิรู้แน่ชัด มิสามารถตัดสินได้หรือ ตอนนี้เจ้าจะบอกว่าไม่ใช่ฉินอ๋องหรือ คงไม่ใช่ว่าทำพวกเขาทั้งสองไม่มีความสุขหรอกนะ”
ในเมื่อนางได้ยินเช่นนั้นแล้ว สวี่มู่เจินก็คร้านจะวกกลับเรื่องนี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเขา “ไม่มีความสุขรึข้าเป็นญาติผู้พี่ของชิ่นเอ๋อร์ ในเมื่อนางถูกคนหลอก จะให้ข้าดูดายไม่สนใจรึไง แต่กลับเป็นเจ้า ทำไมต้องปกป้องฉินอ๋องมากขนาดนี้เจ้าสนิทคุ้นเคยกับองค์ชายสามรึทำไมถึงแน่ใจนักว่าฉินอ๋องจะซื่อสัตย์มั่นคง จริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่คิดร้ายต่อชิ่นเอ๋อร์”
แววตาของหงเยียนที่มีหยาดน้ำตาเล็กน้อยจ้องไปที่สวี่มู่เจินพร้อมหันกลับเตรียมจะเดินจากไป สวี่มู่เจินจับแขนเรียวบางของหญิงสาวขึ้นพร้อมหมุนร่างบางกลับมา และคว้านางไว้ได้สำเร็จ
หงเยียนตื่นตกใจ บนใบหน้าปรากฏความเหยียดหยาม ไม่ว่าเขาจะคิดอันใด ครั้งที่แล้วไปให้บทเรียนถึงหน้าประตูจวนเขาแล้ว สมแล้วที่เป็นเพียงคุณชายรุ่นสองเท่านั้น ใช้พละกำลังเพียงห้าหกส่วนแล้วหมุนข้อมือก็สามารถหลุดจากพันธนาการของผู้ชายได้ คาดไม่ถึงว่าสวี่มู่เจินจะเตรียมตัวมาอย่างดี ห่วงเหล็กเงินเลื่อนมายังฝ่ามือจากปลายกระบอกเสื้อของแขนอีกข้างที่ว่างอยู่
นี่คืออะไรกัน หงเยียนยังคงไม่ได้สติ สวี่มู่เจินเชิดริมฝีปากบางเล็กน้อย เกิดเสียงดังแกร๊งๆ ห่วงเหล็กเงินก็แยกออกทันที ทำให้เกิดช่องว่างเหมือนกับมีสร้อยบนข้อมือของนาง ห่วงกลมอีกฝั่งหนึ่งก็ถูกตรึงไว้กับเสาข้างชานเรือน! มือของหงเยียนแขวนอยู่บนเสาด้วยห่วงเหล็ก นางใจร้อนดังไฟขึ้นทันที “เจ้าเล่นบ้าอะไร! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ไม่ว่าจะใช้แรงเท่าไร พยายามงอกระดูกให้อ่อนเพียงไหนก็มิสามารถคลายออกได้ สร้อยข้อมือเหล็กทำจากเหล็กบริสุทธ์ มีขนาดใกล้เคียงกับเส้นรอบวงของข้อมือ อีกยังถูกรัดไว้แน่นประหนึ่งต้องคำสาปของซุนหงอคง ผิวหนังบริเวณข้อมือของนางเจ็บหลังจากดิ้นรนอย่างหนัก และเมื่อมองไปที่สวี่มู่เจินก็พบว่ามีกุญแจห้อยอยู่บนนิ้วชี้ที่แกว่งไปมา ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงออกว่าเขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ของเล่นกระไรกันไม่ใช่แค่ให้นางที่ดุจลิงป่าสงบนิ่ง! พละกำลังมาก และยังมีฝีมือการต่อสู้อีกอีก เดิมทีที่สวี่มู่เจินอยู่กับนางก็ไม่ได้ครอบครองอันใด มีสหายเต็มบ้านเต็มเมืองเสียยังดีกว่า กุญแจมือทองแดงนี้จะถูกนำเข้ามาจากประเทศตะวันตกโดยฝากสหายซื้อมา ไม่ว่าจะมีวิชาวรยุทธ์สูงส่งและดุร้ายแค่ไหนก็ไม่สามารถปลดออกได้หากไม่มีกุญแจ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชาวต่างชาติภาคตะวันตกก็คิดเช่นเดียวกัน กุญแจมือขนาดเล็ก ไม่ใหญ่เท่าฝ่ามือผู้ชาย สามารถผูกมัดจนขยับไม่ได้
เห็นนางพยายามดิ้นรนอย่างรุนแรง สวี่มู่เจินเกรงว่านางจะทำร้ายตนเอง เปลือกตาที่ดูอิดโรย ใบหน้าสวยอ่อนโยนราวกลับดอกไม้จ้องเขม็งมาที่ตนเอง
หงเยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างเคร่งขรึม แล้วอุทานเสียงไม่พอใจว่า “สวี่มู่เจิน เจ้าเป็นผู้ชายภาษาอะไร! ถึงได้ใช้วิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้!เจ้าบ้าไปแล้วรึ”
สวี่มู่เจินก็ไม่ได้ปฏิเสธ พลางขยับร่างเข้ามาประชิดแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย “ใช่!ข้าบ้าไปแล้ว เจ้าเป็นคนยั่วยุข้าเองมิใช่รึ หลายวันมานี้ที่ทำเป็นไม่สนใจข้า จะไม่ให้ข้าบ้าได้อย่างไร”
หงเยียนเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาใกล้เข้ามา กลิ่นหอมอำพันจากเสื้อคลุมส่งกลิ่นคลุ้งขึ้น พร้อมขมวดคิ้ว “เรื่องตอนนั้นเป็นข้าเองที่สับสนอยู่ชั่วครู่ มิใช่ว่าคุณชายสวี่ต้องการผลักดันให้ข้าออกไปหรอกหรือ มีสิ่งใดที่น่าอึดอัดใจรึ”
สวี่มู่เจินย่อตัวลง บีบนิ้วของนางไว้แน่น แล้วจับกรามของนางแน่นขึ้น ทำให้ฟันกระทบกัน
ในชีวิตนี้มีเพียงตนที่หยอกเย้าสตรี ยังไม่มีสตรีคนใดเย้าแหย่ข้าได้ แต่ในวันนั้นที่ได้ถูกนางกอดบนรถม้าได้ทำให้สวี่มู่เจินรู้สึกประหลาดใจและเกิดความอึดอัดใจเล็กน้อย เมื่อคิดไปคิดมาอย่างมีเงื่อนไขว่านางเคยเอาใจชายคนอื่นแบบนี้หรือเปล่า กิริยาแบบนี้จะเป็นความเคยชินของนางหรือไม่ ทันใดนั้นก็ได้ผลักนางออกไปทันที จนถึงตอนนี้ข้ายังจำความผิดหวังและความอึดอัดบนใบหน้าของหงเยียนได้ในขณะที่นางถูกผลักออกไป…แรงผลักนั้นผลักให้คนสองคนออกห่างกันไปไกลหลายหมื่นลี้
คอมเม้นต์