ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 135-3 เครื่องหอมสะกดจิตระลึกความทรงจำในอดีตชาติ
ยามเฝ้าประตูเมื่อได้ยินก็โล่งอก คุณชายหรือนายท่านของตระกูลสูงศักดิ์เมื่อกระทำผิดต่อกฎหมาย มีหรือที่คนในตระกูลจะไม่มาตรวจดูความเป็นอยู่ เมื่อมองเห็นแท่งเงินในมือ ท่าทีของเขาก็ดีขึ้นมาก “หากเป็นอาชญากรรมทั่วไปก็คงปล่อยผ่านไปได้ แต่คุณชายของจวนพวกเจ้านั้นเป็นความผิดลอบทำร้ายองค์ชายและไทเฮา ความผิดนี้ใหญ่หลวงนัก เวลานี้ก็ถูกควบคุมตัวอย่างแน่นหนา อย่างมากข้าทำได้แค่พาเจ้าเข้าไปด้านใน แต่ใต้เท้าที่หน้าประตูคุกจะให้เจ้าพบหน้าเขาหรือไม่ ข้าไม่สามารถตบปากรับรองได้”
ขอแค่ได้เข้าไปก็พอแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นรีบกล่าว “ขอบพระคุณนายท่านเป็นอย่างสูง”
“อืม” ยามเฝ้าประตูตอบรับ เรียกคนเฝ้าประตูอีกคนมาเฝ้าแทนตัวเอง แล้วเดินนำอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนจำขนาดใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ได้รับการออกแบบอย่างเป็นขั้นๆ จะพบกับนรก 18 ชั้นที่ผู้คนเรียกมักเรียกกัน ยิ่งเดินลึกลงไปด้านล่างมากเท่าไหร่ โทษของอาชญากรก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น
บรรยากาศภายในคุกนั้นดูแปลกและมืดมน ยิ่งเข้าไปด้านในแสงก็ยิ่งมืดลง ผู้คุมที่ยืนเฝ้าอยู่หันศีรษะมาเป็นระยะ กวาดสายตาของเขามาบนตัวหญิงสาวที่มาเยี่ยมคุกเป็นระยะๆ มองเห็นหน้าตาของนางได้ไม่ชัดเจนนัก แต่นางมีท่าทางอ้อนแอ้น และเชื่องช้าสง่างาม มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่านางต้องเป็นหญิงสาวที่งดงามมากอย่างแน่นอน
นักโทษผู้มีเกียจคร้านเหนื่อยหน่ายถูกขังอยู่ในห้องขังที่ถูกกั้นด้วยรั้ว พวกเขาถูกนางผู้นี้ดึงดูดความสนใจด้วยเช่นกัน ถูกคุมขังมาเป็นเวลาเนิ่นนาน สำหรับพวกเขาแล้วแม่หมูยังสวยกว่าเตียวเสียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อพบเห็นหญิงงามประหนึ่งเทพยธิดานี้ ยิ่งทำให้พวกเขาคึกคักผิวปากเกี้ยวนางอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อเดินมาถึงห้องชั้นใต้ดิน ภายในมีตะเกียงน้ำมันแขวน แสงสว่างวาบไหวอยู่กลางอากาศ ภายในห้องมืดมิดยิ่งนัก ความชื้นก็สูงยิ่งนัก อุณหภูมิด้านไหนหนาวเย็นกว่าภายนอกมาก แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะสวมใส่อาภรณ์ที่แน่นหนา ก็ยังห้ามความหนาวสั่นไว้ไม่ได้
บนโต๊ะซอมซ่อที่มันเยิ้ม มีสุราเกาเหลียงอยู่กาหนึ่ง ยังมีถั่วลิสงหนึ่งจาน และถั่วแระหนึ่งจาน เป็นกับแกล้มวางอยู่ด้วย ด้านข้างมีผู้คุมร่างกำยำบึกบึนนั่งอยู่ กลิ่นสุราฉุนจมูก ใบหน้าแดงก่ำที่เกิดจากการดื่ม ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าเขาต้องเป็นผู้คุมที่มักทำร้ายนักโทษอย่างเกลียดชัง ดูท่าแล้ว เขาต้องเป็นหัวหน้าผู้คุมของคุกใต้ดินนี้
หัวหน้าผู้คุมฟังคำรายงานของผู้คุม สะอึกเรอกลิ่นสุรามา ใช้ไม้จิ้มฟันแคะฟัน “ไปๆๆ ไปให้พ้น ความผิดเข้าเจ้ามู่หรงไท่นั้นไม่น้อย มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าขอเข้าพบก็จะได้เข้าพบ” กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วเดินวนรอบไปมา กลับเห็นหญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยื่นมือเผยให้เห็นสิ่งอยู่ที่อยู่ในมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาดุจปุยเมฆที่ล่องลอย “ใต้เท้า เช่นนี้เล่า พอจะให้เข้าพบได้หรือไม่”
ผู้คุมมองปราดเดียวก็เห็นป้ายหยกรูปปี้อ้านในฝ่ามือของหญิงสาว ถึงกับสร่างเมาไปครึ่งนึง ไม้จิ้มฟันถึงขั้นหล่นลงพื้น พวกเขาเป็นข้าราชการ และรับตำแหน่งในกรมราชทัณฑ์มาหลายปี ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งของที่อยู่ในมือนั้นคืออะไร หัวหน้าผู้คุมคุกหลวงของกรมราชทัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมองเห็นว่ามีสิ่งของนี้ในมือ ทันใดนั้นลิ้นก็พันกันเป็นปม “เจ้า เจ้ามี เจ้าทำไมถึงมี” มีความพยายามอย่างมากในการมองใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น
“ใต้เท้าไม่ต้องสนใจว่าข้าเป็นใครหอกเจ้าค่ะ ขอเพียงให้ข้าได้พบมู่หรงไท่ครานั้นก็พอแล้ว ไม่ทำให้ใต้เท้าสูญเสียผลประโยชน์สักแดงแน่นอน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ชายวัยกลางคนหายใจเข้าลึกๆ ไม่คิดเยอะให้มากความอีก น้ำเสียงก็นอบน้อมกว่าเดิม “เชิญตามข้ามาเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก งอข้อมือเก็บของมีค่าที่เจี่ยงอิ่นมอบให้ ดูท่าแล้วของชิ้นนี้ไม่เป็นเพียงของที่ระลึก แต่ยังมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย ในอนาคตไม่แน่ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้อีกบ้าง ไม่ได้การล่ะ เมื่อกลับไปแล้วต้องจัดเก็บป้ายหยกรูปปี้อ้านนี้ไว้อย่างดี ต้องไม่ให้ตกแตกไปอย่างเด็ดขาด
“รบกวนใต้เท้าช่วยเปิดประตูกรงขังให้ด้วย ข้าจะเข้าไปพูดคุยกับเขาสักสองสามประโยค”
“นี่มัน…” ผู้คุมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่หญิงสาวก็กล่าวเพิ่มอีกว่า “มือและเท้าของเขาถูกมัดแน่นขนาดนั้น ใต้เท้าใยต้องกลัวด้วยเจ้าคะ”
จากนั้นผู้คุมก็ดึงกุญแจออกมาจากพวกกุญแจที่คาดอยู่ตรงเอวอ้วนของเขา และเปิดประตูกรงขังให้นางเข้าไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไป เดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของมู่หรงไท่ มองไปที่เขาในระยะใกล้ ดูน่าสังเวชยิ่งกว่าตอนมองจากด้านนอกมากนัก จากสภาพของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาไม่ได้กินดื่มมาหลายวันแล้ว ริมฝีปากแห้งผากจนแตกและมีเลือดซิบ ซูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั่วร่างสกปรกมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง โหนกกระดูกและซี่โครงที่โผล่ให้เห็นก็มีร่องรอยบาดแผลที่ถูกฟาดด้วยแซ่
ว่ากันว่าคู่สามีภรรยาเป็นคู่ศัตรูกันในชาติปางก่อน สำหรับชายหนุ่มคนนี้ที่ทำร้ายตนอย่างต่อเนื่องทั้งในอดีตและชีวิตนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นคิดเพียงแต่ว่า เวรกรรมต่างๆ ที่เขาได้ก่อไว้กับนางควรจบสิ้นกันเสียที ในชาติที่แล้ว นางเกลียดเขามากจนอยากให้เขาตกนรก ยิ่งตายเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ตอนนี้ นางไม่รู้สึกอะไรแล้ว เพราะสภาพของเขาในวันนี้ ตายไปเสียยังดีกว่าอยู่ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะจากเมืองหลวงไปไกล อยู่ห่างไกลจากนาง เมื่อประเมิณดูจากสภาพของเขาในตอนนี้แล้ว คาดว่าคงฝืนอยู่ต่อได้อีกไม่นานนัก
“มู่หรงไท่” หญิงสาวเปิดปากเรียก ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นอย่างไม่สนใจ ดึงผ้าคลุมหน้าลงเล็กน้อย
เหมือนมีสายลมเย็นพัดผ่าน มู่หรงไท่ได้ยินเสียงจากคนที่เขาใฝ่ฝันถึงตลอดเวลาตั้งแต่เกิดใหม่ จึงดิ้นรนจากความเจ็บปวดปานตาย รูม่านตาที่มืดมนสว่างขึ้นทันใด และริมฝีปากที่แห้งกรังสั่นไหวแล้วพูดว่า “ชิ่น ชิ่นเอ๋อร์ นี่ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่ เจ้าหรือ…เจ้าจะมาที่นี่ได้อย่างไร…ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ…”
“เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก ข้ามาที่นี่เพราะมีคำถามติดอยู่ในใจตลอด มาครั้งนี้ก็เพื่อมาถามเจ้า”
ภายใต้รอยยิ้มที่อ่อนแรงของมู่หรงไท่มีความตื่นเต้นและอ้อนวอนอยู่ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้ารู้ ข้าจะตอบเจ้าทุกอย่าง ตอบเจ้าหมดทุกอย่าง!”
หญิงสาวไม่ได้รังเกียจความสกปรกบนร่างกายของเขา นางถึงขั้นโน้มหน้าเข้ามา เขยิบเข้าใกล้ข้างหูของเขา ท่าทางนี้ทำให้มู่หรงไท่หวั่นใจเป็นอย่างมาก นี่นางเห็นว่าเขามีตกต่ำถึงจุดนี้ จึงยอมยกโทษให้เขาแล้วใช่หรือไม่ หากนางยอมให้อภัยเขาจริง แม้นจะถูกเนรเทศไป เขาก็สบายใจแล้ว เพิ่งจะสงบสติที่กระเจิงของตัวเองได้ไปครู่เดียว จมูกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่หอมหวน สมองขาวโพลนไปทันที เสมือนหมอกที่หนาทึบในป่าลึก ไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นวางมือลง รีบเอาขวดดินเผาในมือใส่เข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะมาที่นี่ นางคิดไว้แล้วว่าพอถึงเวลา นางจะถามเรื่องที่นางอยากรู้ได้อย่างไร คำนึงถึงสาเหตุข้อที่หนึ่ง หากมู่หรงไท่พอมีความทรงจำของเรื่องราวในชาติที่แล้วบ้าง เขาคงไม่ยอมรับอย่างแน่นอน หากเป็นตัวนางเอง นางก็คงไม่กล้าบอกใครให้รู้อย่างง่ายดายว่าตัวเองเป็นผู้ข้ามเวลามาเกิดใหม่ ใครๆ ก็ต้องกลัวโดนหาว่าเป็นภูติผีปีศาจบ้างเล่า และข้อที่สอง ต่อให้เขายอมรับ ไม่แน่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง ดังนั้น นางเอาเครื่องหอมใส่เข้ามาในกระเป๋าเครื่องแต่งหน้าที่เอามาใช้กับไทเฮาเข้าวังมาด้วย เครื่องหอมนี้ได้รวมสมุนไพรและสูตรยาจากเหยากวางเย่า เป็นสิ่งที่นางทำขึ้นมาใช้เพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้มีสรรพคุณช่วยเรื่องบำรุงความงามและสุขภาพ แต่มีความอัศจรรย์ข้อหนึ่งก็คือใช้สะกดจิตได้ สามารถทำให้คนเข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ มากไปกว่านั้น สติสัมปัชชัญญะของผู้ที่ถูกสะกดจิตยังถูกดึงเข้าสู่อีกหนึ่งอาณาบริเวณ ถามอะไรไปก็ต้องตอบ
นางยังไม่เคยทดลองกับผู้ใด วันนี้ลองมาใช้กับมู่หรงไท่ดูก็ดีเหมือนกัน
คอมเม้นต์