ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 204.2 ถึงที่ (2)
ชูซย่าเดาใจนางออกจึงหยักยิ้มขึ้น “ทำไมหรือ พักนี้บรรดาขุนน้ำขุนนางชนชั้นสูงมาหาท่านอ๋องที่จวนไม่น้อย ทุกวันนี้เจ้าเข้าๆ ออกๆ ก็น่าจะชินได้แล้ว มีอันใดให้น่าแปลกใจกัน”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หันไปมองแล้วเอ่ยว่า “แต่ก็มีเพียงเยี่ยนอ๋องท่านนี้มิใช่หรือที่สนิทสนมกับท่านอ๋องเราที่สุด แม้จะไปมาหาสู่หลายครั้งหลายครา แต่วันนี้ข้าพึ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก คิดไม่ถึงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าท่านอ๋องสามเลย อีกทั้งดูๆ แล้วอายุอานามของเยี่ยนอ๋องก็น่าจะยังมิได้แต่งงานกระมัง”
ชูซย่าเห็นท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของนางแล้วในใจยิ่งเยือกเย็นสุขุมขึ้น แม่นางผู้นี้คงจะถูกตาต้องใจเยี่ยนอ๋องเข้าให้แล้ว ที่นางถูกเหนียงเหนียงข่มขู่วันนั้นแม้จะมิกล้าคิดอยากได้ท่านอ๋องสามแล้ว แต่ก็ยังวางใจมิได้ ไม่กี่วันมานี้ได้ยินมาว่านางมักจะแอบดูคนที่มาเยี่ยมเยือนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของจวน คงจะกำลังมองหาตระกูลดีๆ อยู่ นึกไม่ถึงว่านางจะถูกใจเยี่ยนอ๋องเข้า จึงตั้งใจเอ่ยว่า “เยี่ยนอ๋องเพิ่งจะชันษาได้สิบห้าปีเต็มเมื่อไม่นานมานี้จึงยังมิได้แต่งงาน อย่าว่าแต่แต่งงานเลย ขนาดสนมสักนางก็ยังไม่มี”
สีหน้าของหลี่ว์ชีเอ๋อร์ปรากฏความยินดี นางไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ
ชูซย่าเลือกของขวัญที่คลังเก็บของเสร็จก็กลับเรือนมา นางจัดกล่องของขวัญไปพลาง กล่าวถึงเรื่องนี้กับอวิ๋นหว่านชิ่นไปพลางว่า “ก่อนหน้านี้เหนียงเหนียงเคยพูดกับบ่าวว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์นางนี้ใส่ซื่อบริสุทธิ์ จิตใจกว้างขวาง ซ้ำยังรู้จักคิดไตร่ตรองวางแผนให้ตัวเอง ตอนนั้นบ่าวยังไม่เชื่อนะเจ้าคะ มาวันนี้พอได้มาเห็นจึงได้รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางบอกว่าถูกใจข้าราชการหนุ่มผู้หนึ่ง บ่าวก็ไม่ทันคิดอันใด แต่นางใจกล้านัก ไปตกหลุมรักโอรสขององค์ฮ่องเต้…เหนียงเหนียง ท่านว่าควรห้ามนางสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ให้นางหยุดคิดเพ้อฝันเสียที”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบว่า “มิต้องหรอก นางถูกใจเยี่ยนอ๋องก็เป็นเรื่องของนาง ต้องดูว่าเยี่ยนอ๋องจะโต้ตอบด้วยหรือไม่ หากเยี่ยนอ๋องต้องการนาง ก็นับว่าเป็นวาสนาของนาง หากไม่ต้องการ ต่อให้ยัดเยียดอย่างไรก็ไร้ผล มีคนบางประเภทที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไม่ยอมเชื่อฟัง เจ้าให้พวกเจินจูจับตาดูนางไว้ยามว่างๆ แม่นางผู้นี้จะได้มิคิดทำเรื่องเสื่อมเสียต่อจารีตประเพณีเพื่อไต่เต้าให้ตัวเองมีฐานะขึ้นมา ทำให้เยี่ยนอ๋องอับอาย แล้วก็ทำจวนฉินอ๋องขายหน้า”
ชูซย่าฟังแล้วก็เข้าใจได้ทันทีจึงรับคำว่า “เจ้าค่ะเหนียงเหนียง”
มื้อค่ำได้ผ่านพ้นไป อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าค่ำแล้วจึงคิดว่าสองคนนั้นน่าจะหารือกันเสร็จสิ้นแล้ว ไม่นานก็น่าจะกลับมาแล้ว ขณะนั้นเองก็มีรายงานจากเรือนฮั่นม่อว่าท่านอ๋องสามกับเยี่ยนอ๋องเข้าวังไปประชุมกับอวี้เหวินผิงและจิ่งหยางอ๋อง หากประชุมกันนาน คืนนี้ก็จะพักอยู่ที่วังไม่กลับจวน
คงจะหารือกันเรื่องวิธีแก้ปัญหาของเขตตลาดการค้าข้ามแดนเจียงเป่ยและการตอบโต้อี๋ซื่ออ๋อง นางจึงรับคำไป
หลังจากคนมารายงานจากไป เจินจูก็กล่าวอย่างซื่อตรงว่า “ก่อนหน้านี้เป็นเหนียงเหนียงที่ถูกขังไว้ในวัง มายามนี้กลายเป็นท่านอ๋องสามเสียแล้ว พบหน้ากันยากเช่นนี้ จะยอมให้ได้อย่างไร”
“ไอ้หยา ดูเจ้าพูดเข้าสิ ท่านอ๋องมิใช่ราชกิจรัดตัวหรอกหรือ ได้รับการไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท ซ้ำยังถูกเหล่าขุนนางเคารพยกย่อง นี่ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น ขุนนางที่ได้ตำแหน่งใหม่ก็ต้องเร่งทำผลงานเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนเป็นธรรมดา รอให้ช่วงนี้ผ่านพ้นไปสักหน่อย เรื่องก็จะจัดการง่ายขึ้น มิใช่เรื่องดีหรือ” ฉิงเสวี่ยกลัวว่าเหนียงเหนียงจะไม่พอใจจึงเอ่ยวาจาน่าฟังออกมา
เจินจูทอดถอนใจ “เฮ้อ…เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อใดจะได้มีทายาทน้อยๆ กันเล่า” หยุดไปพักหนึ่งนางก็ก้มหน้าบ่นต่อโดยไม่สนใจสิ่งใดว่า “รีบมีทายาทแต่เนิ่นๆ ในจวนก็จะได้มีโอรสคนโตเสียที เหนียงเหนียงจะได้มีความมั่นคง พอคุณหนูสกุลหานเข้าจวนมาก็สร้างคลื่นลมอันใดมิได้แล้ว…”
เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเลือกสนมแก่ฉินอ๋องก็ค่อยๆ ลอยมาถึงหูบ่าวไพร่ในจวนแล้ว ชูซย่า เจินจูและฉิงเสวี่ยแอบไม่พอใจกันอยู่เงียบๆ กล่าวถึงอยู่หลายครั้งหลายครา วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เอ่ยขึ้นมาต่อหน้าพระชายา
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจความเป็นห่วงของเจินจูดี พระชายายังไม่ทันจะมีทายาทก็จะรับสนมเข้ามาแล้ว ก่อนที่สนมจะเข้าจวนมา ต้องรีบพยายามมีทายาทแล้วให้กำเนิดโอรสองค์โต เพื่อมิให้สนมที่เพิ่งแต่งเข้าจวนมาชิงตัดหน้ามีโอรสก่อน
ชูซย่าเห็นนางไม่อยากพูดถึงจึงรีบส่งสายตาให้เจินจูกับฉิงเสวี่ย “พอแล้ว เรื่องที่ไร้ที่มาที่ไปจะพูดให้ได้อันใดขึ้นมา”
เจินจูกับฉิงเสวี่ยสบตากัน ไร้ที่มาอันใดกัน ช่วงไว้ทุกข์ให้แก่ฮองเฮาก็ผ่านไปแล้ว เกรงว่าจะถึงคราต้องจัดงานมงคลแล้วน่ะสิ ทว่าพวกนางก็มิได้เอ่ยอันใดออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นมิใช่ว่าอารมณ์ไม่ดี เพียงแต่ถูกเตือนเช่นนี้ก็นึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ จึงสั่งว่า “ไปเชิญหมออิงมานี่ที”
เพียงไม่นานหมออิงก็มาถึงเรือนหลัก ฉิงเสวี่ยกับเจินจูพาเขาเข้ามายังห้องโถงเล็ก แล้วลากม่านปิด
ภายในโถงอบอวลด้วยไออบอุ่น ควันหอมลอยละล่อง ชูซย่าที่อยู่ข้างกายสตรีงดงามไร้หญิงใดเปรียบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ”
หมออิงพอจะคาดเดาได้ถึงเจตนาที่เหนียงเหนียงเรียกตนให้มาเข้าเฝ้าได้ ได้ยินเพียงเสียงไอของนางสองครา แล้วเอ่ยถามเขาว่า “ยาของท่านอ๋อง หมออิงทำเสร็จแล้วหรือ”
หมออิงคาดว่าคงเป็นท่านอ๋องสามที่บอกกับนางจึงประสานมือตอบไปว่า “ข้าส่งคนไปทดสอบกับสิ่งมีชีวิตที่สวนดอกซิ่ง[1]ตามวิธีของเหนียงเหนียง ผลปรากฏว่าระยะเวลาสั้นลงจริงๆ ประสิทธิภาพก็สูงขึ้น เมื่อเดือนก่อนผสมของเย็นเก้ารสเข้าด้วยกัน อบจนได้เป็นลูกกลอนห้ามเลือด หลังจากทดลองกับสิ่งมีชีวิตแล้วพบประสิทธิภาพที่น่าประหลาดใจ ข้าได้สอบถามและปรึกษากับเหยาย่วนพั่นแล้วคิดว่าน่าจะสามารถระงับความร้อนภายในร่างกายและเลือดลมรุนแรงได้ ดังนั้นจึงให้ท่านอ๋องสามลองได้” เขาหยุดเว้นช่วงหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “เพียงแต่อาการป่วยของท่านอ๋องเหนียงเหนียงนั้นทราบดี หยูกยาเป็นของเย็น รวมถึงลูกกลอนห้ามเลือดในครานี้ก็ด้วย เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ธาตุเย็นเข้มข้นนัก ฤทธิ์ยาก็รุนแรงกว่า แม้ส่วนใหญ่จะเคยทดลองในสิ่งมีชีวิตแล้วไม่มีปัญหาใด แต่เพื่อความปลอดภัยข้าจะพยายามสกัดให้บริสุทธิ์ที่สุด เพื่อลดผลข้างเคียงที่เย็นเยียบของมัน แต่เหนียงเหนียงวางใจได้ ฤทธิ์ยาลูกกลอนมั่นคงแล้ว สามารถหยุดยาได้เมื่อกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แม้ว่าจะไม่ได้กินล่วงหน้าก็ตาม” หยุดเว้นครู่หนึ่ง “ยามมีสัมพันธ์กันก็มิได้เป็นอุปสรรคใด”
มิน่าเขาถึงบอกว่าต้องใช้เวลาสักพัก ที่แท้ยานี้พอใช้แล้วมีความเสี่ยงเช่นนี้เอง อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “หมออิงหมายความว่ายานี้ธาตุเย็นรุนแรง เกรงว่าจะทำลายภายใน…เช่นนั้นหากผสมกับธาตุอุ่น ให้ความอุ่นคุมความเย็นเอาไว้ จะปรับสมดุลได้หรือไม่”
“เหนียงเหนียงหลักแหลมนัก ข้าก็กำลังคิดแบบนี้เช่นกัน ยังต้องหาส่วนผสมที่เป็นของร้อนมาเสริม คาดว่าหลังจากเพิ่มส่วนผสมยาอื่นๆ เข้าไปในลูกกลอนห้ามเลือดแล้ว สัดส่วนของส่วนผสมในตัวยาจะต้องเปลี่ยนไปแน่ แล้วจะส่งผลต่อฤทธิ์ยาเดิมด้วยหรือไม่ ไม่ว่าจะทางไหนก็ยากทั้งสิ้น แต่เหนียงเหนียงโปรดวางใจ ข้าจะรีบหาวิธีที่เหมาะสมมาให้ได้ หากเหนียงเหนียงต้องการสิ่งใดก็โปรดบอกมาได้เลยพะยะค่ะ” หมออิงคารวะด้วยความจริงใจ เหนียงเหนียงผู้นี้ใช้วิธีที่ไม่เหมาะไม่ควรไปบ้างในบางครา แต่ก็สามารถทำให้สำเร็จได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าเข้าใจ “ลำบากหมออิงแล้ว” จากนั้นนางก็สั่งให้ชูซย่าออกไปส่งเขากลับ
พอตื่นมาในวันรุ่งขึ้น หมอนก็ว่างเปล่า ท่านอ๋องมิได้กลับมา คงจะค้างอยู่ที่วังแล้วออกว่าราชการในเช้านี้เลย
อวิ๋นหว่านชิ่นจัดการอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็หาข้ออ้างเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเดินทาง ศีรษะสวมหมวกเหวยเม่า[2] เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้สองสามคนให้ยกของกำนัลขึ้นรถ แล้วออกเดินทางไปยังถนนหลิ่วถีพร้อมด้วยชูซย่า
เหมันต์ใกล้จะมาถึง บรรยากาศของวสันต์ก็ใกล้เข้ามา ตลอดทางเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์มีชีวิตชีวา ที่พักอาศัยของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าไม่มั่นคงเท่าจวนอ๋อง ถึงจะเป็นมุมๆ เหลี่ยมๆ แต่รูปแบบและการตกแต่งกลับแฝงด้วยกลิ่นอายของประเพณีชาวบ้าน แต่ละหลังต่างโดดเด่นมีดีเป็นของตัวเอง ทำคนมองมองอย่างไรก็ไม่เบื่อ
[1] ดอกซิ่ง ดอกแอพริคอต มีความคล้ายกับดอกท้อ
[2] เหวยเม่า เดิมเป็นเครื่องแต่งกายของชาวหู แรกเริ่มเรียกว่ามี่หลี(幂蓠) ทำจากผ้ามัสลินสีดำ ขอบหมวกห้อยม่านตาข่ายจนถึงคอ ปิดบังบริเวณใบหน้าไว้
คอมเม้นต์