ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 68: นี่มันยุ่งเหยิงกันชะมัด
ทั้งห้องโถงต่างตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลาสามวินาที
วินาทีต่อมา คลื่นพายุที่น่าหวาดกลัวก็ระเบิดออกมา มันได้บดขยี้โต๊ะและเก้าอี้ภายในทั้งหมดกลายเป็นชิ้นๆ!
“ใครคือคนร้ายกัน!? ลูกศิษย์! บอกข้ามานะว่าใครเป็นคนทำลายสถานะการฝึกตนของเจ้า!?”
เมื่อเห็นความกราดเกรี้ยวของเซี่ยวอู่โยวแล้ว เฉินเฉินตื้นตันใจมาก
‘ไม่เสียแรงที่ข้าได้ให้ความสำคัญกับอาจารย์ มันไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ’
“อะแฮ่ม อาจารย์ครับ ใจเย็นลงก่อน สถานการณ์ฝึกตนของข้ายังคงอยู่ ข้าแค่เสียจุดตันเถียนของข้าไปเท่านั้น”
เฉินเฉินไอเบาๆออกมาสองครั้ง ก่อนที่จะอธิบายอย่างละเอียด ในเวลาเดียวกัน ประกายไฟฟ้าก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา
เมื่อเห็นประกายไฟฟ้าปรากฏขึ้นมาเหมือนกับที่เขาทำมันแล้ว ตาของเซี่ยวอู่โยวแสดงให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อออกมา
‘เขาฝึกวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนโดยไม่ใช่จุดตันเถียนได้ยังไงกัน? นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ชัดๆ!’
…
15 นาทีต่อมา เฉินเฉินเริ่มอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้เซี่ยวอู่โยวฟัง รวมทั้งความจริงที่เขาดื่มน้ำวิญญาณไปจำนวนเยอะมาก หลังจากที่ดื่มไปหนึ่งหยดด้วย
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เซี่ยวอู่โยวตกอยู่ในห้วงความคิด หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆและพูดออกมา “ลูกศิษย์ เจ้าน่าจะยังไม่ถึงขั้นฝึกรากฐาน เมื่อถึงขั้นฝึกรากฐานแล้ว เคล็ดวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนนั้นจะทำให้กระแสทั้งสองต่างหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง…แต่กระแสทั้งสองของเจ้ายังคงทรงพลังมากอยู่ดี ข้ากลัวว่ากระแสไฟฟ้าของเจ้ามันไม่ได้ด้อยไปกว่ากระแสไฟฟ้าของข้าตอนอยู่ในขั้นฝึกรากฐานเลย..”
“ข้าจะทำยังไงดีกันครับ? เจ้านาย ข้ายังไปถึงขั้นฝึกรากฐานได้อยู่ไหมครับ?”
เฉินเฉินเริ่มที่จะกังวลใจมาก ถ้าเขาไม่สามารถไปสู่ขั้นฝึกรากฐานได้แล้ว เขาก็คงไม่สามารถที่จะสร้างเส้นทางการฝึกตนของตัวเองได้ใช่ไหม? มันจะแย่มากถึงเพียงใดกัน?
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง เซี่ยวอู่โยวก็พูดออกมาอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องกังวลไปหรอก เจ้าน่าจะก้าวข้ามไปสู่ขั้นนั้นได้ เจ้ารู้ไหม ในช่วงอดีตกาล มันมีร่างกายหลากหลายประเภทนับไม่ถ้วนบนโลกใบนี้แล้ว มันมีใครบางคนที่ก้าวข้ามเกินกว่าขั้นฝึกร่างกายสิบระดับอีกและยังเลื่อนไปถึงระดับที่สิบเอ็ด ต่อไปถึงระดับที่สิบสอง…มันยังมีข่าวลือที่ว่าตัวตนที่น่าหวาดกลัวสามารถที่จะเลื่อนไปถึงขั้นที่สิบห้าได้ด้วย ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะยังอยู่ในขั้นฝึกพลังปราณก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าขั้นฝึกรากฐานเลยสักนิด ส่วนสำหรับเจ้าแล้ว…”
ในจุดนี้นี่เอง เซี่ยวอู่โยวหยุดก่อนที่จะนึกถึงพลังปราณที่หนาแน่นของกระแสน้ำวนทั้งสองในร่างกายของเฉินเฉิน เขาก็รีบคำนวณโดยใช้วิธีคำนวณจากยุคโบราณ
“สำหรับเจ้าแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าน่าจะไปถึงแค่ขั้นยี่สิบของการฝึกพลังปราณเท่านั้น ในด้านความแข็งแกร่งของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้นกลางของฝึกรากฐานเลย”
หลังจากที่เขาพูดเสร็จ เซี่ยวอู่โยวอดที่จะยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
‘ขั้นฝึกพลังปราณระดับที่20? ดูน่าขำเสียจริง ทำไมไม่ระดับ 18กันละ?’
ยังไงก็ตาม คำพูดขำขันเหล่านี้กลับกลายเป็นเรื่องจริงเสียนี่!
เฉินเฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้นฝึกรากฐานขั้นกลางเลยสักนิด ตามวิธีการคำนวณโบราณแล้ว สถานะของเขาน่าจะอยู่ที่ระดับ 20!
“ขั้นฝึกพลังปราณระดับ 20 นั่นหมายความว่าข้าสามารถสร้างรากฐานได้แล้วหรือครับ?” เฉินเฉินถาม เขาตื่นเต้นเล็กน้อย
ตราบเท่ราที่เขาสามารถสร้างรากฐานได้แล้ว เขาก็สามารถที่จะเอาชนะผู้อื่นในด้านการฝึกตนได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ในขั้นที่ 10 หรือ 20 ของการฝึกพลังปราณก็ตาม
ยังไงก็ตาม การเพิ่มการฝึกตนมันเหมือนกับเกมสำหรับเขาเลยละ
“เจ้าทำได้ แต่ข้ากลัวว่าความยากในการก้าวข้ามไปสู่ขั้นสร้างรากฐานของเจ้าที่ระดับ 20 นั้นจะยากกว่าคนปกติที่อยู่ในระดับ 10 ไปนับร้อยเท่าเนี่ยสิ….ทรัพยากรที่เจ้าต้องใช้ก็จำเป็นที่จะต้อง…”
เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เซี่ยวอู่โยวไม่สามารถพูดไปต่อได้
ตั้งแต่ที่เฉินเฉินได้ดื่มน้ำระฆังวิญญาณสวรรค์ไปอึกใหญ่แล้ว ทำไมเขายังต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรอีกกัน?
ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปนั้นจำเป็นต้องใช้น้ำอมฤตของการสร้างรากฐาน เพื่อจำเป็นในก้าวข้ามไปสู่ขั้นนั้น แม้ว่าลูกศิษย์ของเขาจะต้องการมันกว่าร้อยขวด มันก็ไม่ได้มีค่ามากสักเท่าไหร่
สุดท้ายแล้ว ขวดน้ำระฆังวิญญาณสวรรค์ของเขาก็มีค่ายิ่งกว่าขวดน้ำอมฤตขั้นสร้างรากฐานร้อยขวดอยู่ดี
ถ้าเฉินเฉินไม่สามารถหามันได้แล้ว เขาก็จะไปหามันมาให้กับลูกศิษย์ของเขา แม้ว่ามันจะทำให้เขาล้มละลายไปก็ตาม
“อาจารย์ครับ ข้าเข้าใจแล้ว! ขอบคุณท่านมากเลย ข้าจะกลับไปวางแผนเพื่อก้าวข้ามไปสู่ขั้นนั้นครับ!”
เฉินเฉินครุ่นคิดสักพักหนึ่งก่อนที่จะยิ้มกว้างออกมา เขาโค้งให้กับเซี่ยวอู่โยวก่อนที่จะเดินออกไปจากที่พำนักของเจ้าสำนัก
เซี่ยวอู่โยวจ้องไปที่แผ่นหลังของเฉินเฉิน ก่อนที่จะไปดูเศษซากโต๊ะและเก้าอี้บนพื้น เขาอดที่จะหัวเราะกับตัวเองออกมาไม่ได้
“ข้าแก่ถึงเพียงนี้แล้วยังตื่นตระหนกได้ถึงระดับนี้เลยเนี่ยนะ จิตใจของข้ายังคงอ่อนด้อยไป….แต่ว่าเจ้าเด็กนี่มันทำให้ข้าประหลาดใจมากเกินไปจริง”
…
ในทางกลับไปยังสวน หูเซียงเอ๋อทำตัวเชื่อฟังอย่างมาก ในขณะที่มันนอนอยู่บนไหล่ของเฉินเฉิน เธอก็นวดหลังของเฉินเฉินไปด้วย
“เจ้านายคะ สถานะฝึกตนของท่านอยู่ถึงระดับที่ 20เลย! มันน่าตกใจมากเลยค่ะ!”
“โอ้ เลิกยกยอได้แล้ว! เจ้ามีหางเพิ่มมาอีกหาง ความแข็งแกร่งเจ้าเพิ่มมาด้วยไหม?”
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เฉินเฉินได้อ่านเกี่ยวกับตำนานมากมายเกี่ยวกับอสูรจิ้งจอก ยิ่งพวกมันมีหางมากเท่าไหร่ พวกมันจะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น ในตอนนี้หูเซียงเอ๋อนั้นมีหางงอกมาอีกเส้น เขาจึงเชื่อว่าเธอน่าจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“ท่านเจ้านายค่ะ ท่านช่างปราดเปรื่องมากเลยค่ะ ความแข็งแกร่งของข้านั้นอยู่ในขั้นฝึกรากฐานแล้วค่ะ แต่ข้ายังคงอ่อนแอกว่าท่านอยู่มากอยู่ดีค่ะ เจ้านาย”
“ชิ ตั้งแต่ที่พวกเราแข็งแกร่งขึ้นกันทั้งคู่แล้ว พวกเราไปฉลองกันเถอะ ไปทำอาหารมาให้ข้าสักยี่สิบจานซะ”
หลังจากที่พูดเสร็จ เฉินเฉินรู้สึกว่าอุ้งมือของหูเซียงเอ๋อที่ทุบลงมาบนไหล่ของเขานั้นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่มันจะกลับมานุ่มนวลในทันที
“ได้ตามที่ปรารถนาเลยค่ะ เจ้านาย”
…
เมื่อเขากำลังเดินกลับมาที่สวนบนยอดเขาหลัก คนสองคนที่ปรากฏขึ้นหน้าทางเข้าสวนก็ดึงดูดความสนใจของเฉินเฉิน
“จ้าวเสี่ยวหยาและมู่หลงหยุนหลาน? พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่เนี่ย?”
เฉินเฉินเห็นผู้หญิงทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูและเขาก็ตื่นตระหนก
ในเวลาเดียวกัน หูเซียงเอ๋อไม่ได้อยู่ในสวน มันทำให้ภายในสวนมันว่างเปล่ามาก
เขาไม่ได้คาดคิดจะให้เจ้าผักบุ้งน้อย เจ้าเหลืองน้อยมาเฝ้าสวนเขาอยู่แล้ว
สิ่งของในสวนของเขานั้นล้ำค่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติสวรรค์ในสวนสมุนไพรของเขาแล้ว มันมีค่าอย่างมาก แม้ว่าคนอื่นจะแค่เหลือบตามองพวกมันก็ตาม
“เจ้านายค่ะ ทั้งสองอาจจะมาขโมยของก็ได้ รีบกลับไปกันเถอะ!”
หูเซียงเอ๋อรีบแปลงร่างกลับมาสู่ร่างมนุษย์ก่อนที่จะมองไปยังประตูของทางเข้าสวน
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเธอไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นขโมยของหรอก” เฉินเฉินเม้มปากพูด
ยังไงก็ตาม ก่อนที่เขากำลังจะเดินไปทักทายพวกเธอ เขาก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองสาวก่อน มันทำให้เขาสะดุ้ง
“ศิษย์น้องมู่หลง ข้าแนะนำว่าเจ้าควรที่จะหลีกเลี่ยง ไม่ต้องมายังยอดเขาหลักบ่อยนักนะ มันรบกวนศิษย์พี่เฉิน”
“ศิษย์พี่จ้าวค่ะ ไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่เฉินได้ช่วยข้าผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากในด้านนอกสำนัก วันนี้ข้าจึงมาขอบคุณเขาค่ะ นี่คือสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ นอกจากนี้แล้ว แม้ว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว พี่เฉินและข้าก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันค่ะ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่พวกเราจะทักทายกันใช่ไหมละคะ? นอกจากนี้แล้ว ศิษย์พี่จ้าวและศิษย์พี่เฉินยังไม่ได้รู้จักกันสักเท่าไหร่ด้วย ท่านจะมาทำอะไรที่สวนบนยอดเขาหลักกันละคะ?”
เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินเฉินอดที่จะตัวสั่นสะท้านไม่ได้ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างผู้หญิงทั้สอง
พูดตามปกติแล้ว เขาควรที่จะปรากฏตัวขึ้นและขัดบทสนทนานี้ แต่ว่าเขาอดที่จะแอบฟังต่อไปไม่ได้
“ศิษย์น้องมู่หลง ข้านั้นตกอยู่ในสภาพครอบงำเมื่อคืนยามตกดึก ศิษย์พี่เฉินเฉินได้เข้ามาในห้องของข้าและช่วยชีวิตข้าเอาไว้ มันแปลกหรือยังไงกับการมาขอบคุณเขา?”
จ้าวเสี่ยวหยาเน้นคำว่า ‘เมื่อคืนยามตกดึก’ และ ‘ห้องของข้า’
มู่หลงหยุนหลานเริ่มกังวลใจทันทีหลังจากที่ได้ยินมัน เธอถามออกมาตรงๆ “ศิษย์พี่เฉินไปทำอะไรในห้องศิษย์พี่กันคะ? ในยามค่ำคืนเช่นนั้น”
“ศิษย์น้องมู่หลง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรับรู้ไปหรอก เจ้ารู้อย่างเดียวก็พอแล้ว ว่าความสัมพันธ์ของคนไม่สามารถที่จะวัดได้และมันไม่ได้สำคัญกับเวลาที่รู้จักกันหรอก พูดตามตรงแล้ว ศิษย์น้องมู่หลงก็เป็นแค่ศิษย์นอกสำนักเท่านั้นอง ในขณะที่ศิษย์พี่เฉินเฉินเป็นถึงผู้สืบทอดของสำนัก สถานะของพวกเจ้ามันแตกต่างกันมากเกินไปนะ…”
จ้าวเสี่ยวหยาพูดออกมาด้วยท่าทางที่พึงพอใจ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังได้เปรียบอยู่
ในเวลาเดียวกัน มู่หลงหยุนหลานก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เฉินเฉินรู้สึกรบกวนออกมา
“ศิษย์พี่จ้าว ท่านอาจจะเป็นศิษย์ในสำนักก็จริงค่ะ แต่มันมีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าต้องบอกท่านเอาไว้ มันคงจะไม่เป็นแบบเดิมไปอยู่เสมอหรอกค่ะ ท่านไม่ควรที่จะดูถูกคนที่อ่อนแอกว่าท่านนะคะ ในเวลาอีกสามปีข้างหน้า สถานะการฝึกตนของข้าจะต้องก้าวข้ามท่านไปได้อย่างแน่นอน!”
…
“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย?!” เฉินเฉินพูดไม่ออก เพียงแค่เขากำลังจะไอเตือนผู้หญิงทั้งสองแล้ว เสียงของจางจีก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“พี่ใหญ่ พี่ยืนทำอะไรอยู่เนี่ย? ไม่ใช่ที่พักอยู่ด้านหน้าพวกเราหรอครับ?”
คอมเม้นต์